[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 799
๔. สังขชาดก
ว่าด้วยอานิสงส์ถวายรองเท้า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 799
๔. สังขชาดก
ว่าด้วยอานิสงส์ถวายรองเท้า
[๑๓๕๗] ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ท่านก็เป็นพหูสูต ได้ฟังธรรมมาแล้ว ทั้งสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ท่านก็ได้เห็นมาแล้ว เหตุไรท่านจึงแสดงคำพร่ำเพ้อ ในขณะอันไม่สมควร คนอื่นนอกจากข้าพเจ้า ใครเล่า ที่จะมาเจรจากับท่านได้.
[๑๓๕๘] นางฟ้าหน้างาม รูปสวยเลิศ ประดับด้วยเครื่องประดับทอง ยกถาดทอง เต็มด้วยอาหารทิพย์ มาร้องเชิญให้เราบริโภค นางเป็นผู้มีศรัทธา และปลื้มจิต เราตอบกะนางว่า ไม่บริโภค.
[๑๓๕๙] ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ วิสัยบุรุษ ผู้ยังปรารถนาความสุข ได้พบเห็นเทวดาเช่นนี้แล้ว ควรจะถามดูให้รู้แน่ ขอท่านจงลุกขึ้นประนมมือ ถามเทวดานั้นว่า นางเป็นเทวดาหรือมนุษย์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 800
[๑๓๖๐] เพราะเหตุที่ท่าน มาแลดูข้าพเจ้า ด้วยสายตาอันแสดงความรัก ร้องเชิญให้ข้าพเจ้า บริโภคอาหาร ดูก่อนนาง ผู้มีอานุภาพใหญ่ ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า ท่านเป็นเทวดาหรือมนุษย์?
[๑๓๖๑] ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ข้าพเจ้าเป็นเทวดา ผู้มีอานุภาพมาก มาในกลางน้ำสาครนี้ ก็เพราะเป็นผู้มีความเอ็นดู จะได้มีจิตประทุษร้าย ก็หาไม่ ข้าพเจ้ามาในที่นี้ ก็เพื่อประโยชน์แก่ท่านนั่นเอง.
[๑๓๖๒] ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ในสมุทรนี้ มีข้าว น้ำ ที่นอน ที่นั่ง และยานพาหนะมากอย่าง ใจของท่านปรารถนาสิ่งใด ข้าพเจ้าจะให้สิ่งนั้น สำเร็จแก่ท่านทุกอย่าง.
[๑๓๖๓] ข้าแต่เทพธิดา ผู้มีร่างงาม มีตะโพกผึ่งผาย มีคิ้วงาม ผู้เอวบางร่างน้อย ทาน ซึ่งเป็นส่วนบูชา และการเซ่นสรวงของข้าพเจ้า อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ ท่านเป็นผู้สามารถรู้วิบาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 801
แห่งกรรม ของข้าพเจ้าทุกอย่าง การที่ข้าพเจ้าได้ที่พึ่ง ในสมุทรนี้ เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร.
[๑๓๖๔] ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ท่านได้ถวายรองเท้า กะพระภิกษุรูปหนึ่ง ผู้เดินกระโหย่งเท้า สะดุ้ง ลำบากอยู่ ในหนทางอันร้อน ทักษิณานั้น อำนวยผลสิ่งน่าปรารถนาแก่ท่าน ในวันนี้.
[๑๓๖๕] ขอจงมีเรือ ที่ต่อด้วยแผ่นกระดาน น้ำไม่รั่ว มีใบสำหรับพาเรือ ให้แล่นไป เพราะในสมุทรนี้ พื้นที่ที่จะใช้ยานพาหนะอย่างอื่น มิได้มี ขอท่านได้ส่งข้าพเจ้า ให้ถึงเมืองโมลินี ในวันนี้เถิด.
[๑๓๖๖] นางเทพธิดานั้น มีจิตชื่นชมโสมนัส ปราโมทย์ เนรมิตเรืออันงามวิจิตร แล้วพาสังขพราหมณ์ กับบุรุษคนใช้ มาส่งถึงเมือง อันเป็นที่สำราญรื่นรมย์.
จบ สังขชาดกที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 802
อรรถกถาสังขพราหณชาดกที่ ๔
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภถวายบริขารทั้งปวง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า พหุสฺสุโต ดังนี้.
ได้ยินว่า ในพระนครสาวัตถี มีอุบาสกคนหนึ่ง ฟังธรรมเทศนา ของพระตถาคตแล้ว มีจิตเลื่อมใสในพระศาสดา จึงเข้าไปนิมนต์ เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น แล้วให้ทำมณฑป ใกล้ประตูเรือนของตน ประดับตกแต่งเป็นอย่างดี วันรุ่งขึ้น ให้คนไปกราบทูล ภัตกาลต่อพระตถาคต พระศาสดามีภิกษุ ๕๐๐ เป็นบริวาร เสด็จไป ณ ที่นั้น ประทับนั่งบนบวรพุทธาอาสน์ ที่อุบาสกปูลาดไว้ อุบาสกพร้อมด้วยบุตรภรรยา และบริวารชน ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้นิมนต์ฉัน ถวายมหาทานอย่างนี้ ต่อไปถึง ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้ถวายเครื่องบริขารทุกอย่าง แลเมื่อจะถวายนั้น ได้จัดทำรองเท้าถวาย เป็นพิเศษ คือ คู่ที่ถวายแด่พระทศพล ราคา ๑,๐๐๐ ที่ถวายพระอัครสาวกทั้งสอง ราคาคู่ละ ๕๐๐ ที่ถวายพระภิกษุ ๕๐๐ นอกนั้นราคาคู่ละ ๑๐๐. อุบาสกนั้น ครั้นถวายเครื่องบริขารทุกอย่าง ดังนี้แล้ว ได้ไปนั่งอยู่ ในสำนักพระผู้มีพระภาค กับบริษัทของตน.
ครั้งนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงอนุโมทนา ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ แก่อุบาสกนั้น ได้ตรัสว่า นี่แน่ะอุบาสก การถวายเครื่องบริขารทุกอย่าง ของท่าน โอฬารยิ่ง ท่านจงชื่นชมเถิด ครั้งก่อนเมื่อพระพุทธ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 803
เจ้ายังไม่เกิดขึ้น ชนทั้งหลาย ถวายรองเท้าคู่หนึ่ง แด่พระปัจเจกพุทธเจ้า เรือไปแตก ในมหาสมุทร ซึ่งหาที่พึงมิได้ เขายังได้ที่พึ่ง ด้วยผลานิสงส์ ที่ถวายรองเท้า ก็ตัวท่าน ได้ถวายเครื่องบริขารทุกอย่าง แก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ผลแห่งการถวายรองเท้า ของท่านนั้น ทำไมจักไม่เป็นที่พึ่งเล่า ดังนี้แล้วอุบาสกนั้น ทูลอาราธนา ให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนำเอา เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระนครพาราณสีนี้ มีนามว่า โมลินี พระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในกรุงโมลินี มีพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อ สังขะ เป็นผู้มั่งคั่ง มีโภคทรัพย์มาก มีเครื่องที่ทำให้ปลื้มใจ เช่น ทรัพย์ ข้าวเปลือก และเงินทองมากมาย ให้สร้างโรงทาน ๖ แห่ง คือ ประตูเมือง ๔ ประตู ที่กลางเมือง และที่ประตูเรือน สละทรัพย์วันละ ๖ แสน ให้ทานเป็นการใหญ่ แก่คนกำพร้า และคนเดินทาง เป็นต้น ทุกวัน วันหนึ่ง เขาคิดว่า เมื่อทรัพย์ในเรือนสิ้นแล้ว เราจักไม่อาจให้ทานได้ เมื่อทรัพย์ยังไม่สิ้นไปนี้ เราจักลงเรือไปสุวรรณภูมิ นำทรัพย์มา คิดดังนี้แล้ว จึงให้ต่อเรือ บรรทุกสินค้าจนเต็ม แล้วเรียกบุตรภรรยา มาสั่งว่า พวกท่าน จงให้ทานของเรา เป็นไปโดยไม่ขาด จนกว่าเราจะกลับมา แล้วก็แวดล้อมไปด้วยทาส และกรรมกร กั้นร่มสวมรองเท้า เดินตรงไปยังบ้านท่าเรือจอด ในเวลาเที่ยง.
ในขณะนั้น ที่ภูเขาคันธมาทน์ มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง พิจารณาดู ก็ได้เห็นพราหมณ์นั้น กำลังจะเดินทาง เพื่อนำทรัพย์มา จึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 804
พิจารณาดูว่า มหาบุรุษจักไปหาทรัพย์ จักมีอันตรายในสมุทร หรือไม่หนอ ก็ทราบว่า จักมีอันตราย จึงคิดว่า มหาบุรุษนั้น เห็นเราแล้ว จักถวายร่ม และรองเท้าแก่เรา เมื่อเรือแตกกลางสมุทร เขาจักได้ที่พึ่ง ด้วยอานิสงส์ที่ถวายรองเท้า เราจักอนุเคราะห์แก่เขา แล้วก็เหาะมาลง ณ ที่ใกล้สังขพราหมณ์ เดินเหยียบทรายร้อน เช่นกับถ่านเพลิง เพราะลมแรงแดดกล้า ตรงมายังสังขพราหมณ์.
สังขพราหมณ์ พอเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น เท่านั้น ก็ยินดีว่า บุญเขตของเรามาถึงแล้ว วันนี้เราควรจะหว่านพืช คือ ทาน ลงในบุญเขตนี้ จึงรีบเข้าไป นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพเจ้า ขอท่านได้ลงจากทางสักหน่อย แล้วเข้าไปที่โคนต้นไม้นี้ พอพระปัจเจกพุทธเจ้า เข้าไปโคนต้นไม้ ก็พูนทรายขึ้น แล้วเอาผ้าห่มปูลาด นมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วล้างเท้าด้วยน้ำที่อบ และกรองใสสะอาด ทาเท้าด้วยน้ำมันหอม ถอดรองเท้าที่ตนสวมออกเช็ด ทาด้วยน้ำมันหอม แล้วสวมเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ถวายร่ม และรองเท้า ด้วยวาจาว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงสวมรองเท้า กั้นร่มไปเถิด.
พระปัจเจกพุทธเจ้า เพื่อจะอนุเคราะห์สังขพราหมณ์ จึงรับร่ม และรองเท้า และเพื่อจะให้ความเลื่อมใสเจริญยิ่งขึ้น จึงเหาะไปภูเขาคันธมาทน์ ให้สังขพราหมณ์แลเห็น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 805
สังขพราหมณ์โพธิสัตว์ ได้เห็นดังนั้นแล้ว ก็มีจิตเลื่อมใสยิ่งขึ้น เดินไปสู่ท่าลงเรือ เมื่อสังขพราหมณ์ กำลังเดินทางอยู่กลางมหาสมุทร พอถึงวันที่ ๗ เรือได้ทะลุ น้ำไหลเข้า ไม่มีใครสามารถจะวิดน้ำให้หมดได้. มหาชนกลัวต่อมรณภัย ต่างก็พากันนมัสการเทวดาที่นับถือ ของตนๆ ร้องกันเซ็งแซ่. พระมหาสัตว์ กับอุปัฏฐาก คือคนใช้คนหนึ่ง ทาสรีระด้วยน้ำมัน เคี้ยวจุรณน้ำตาลกรวดกับเนยใส พอแก่ความต้องการแล้ว ให้อุปัฏฐากกินบ้าง แล้วขึ้นบนยอดเสากระโดงกับอุปัฏฐาก กำหนดทิศว่า เมืองของเราอยู่ข้างทิศนี้ เมื่อจะเปลื้องตน จากอันตราย จากปลา และเต่า จึงโดดล่วงไปสิ้นที่ ประมาณอุสภะ ๑ พร้อมกับอุปัฏฐากนั้น. มหาชนพากันพินาศสิ้น ส่วนพระมหาสัตว์กับอุปัฏฐาก พยายามว่ายข้ามมหาสมุทรไปได้ ๗ วัน วันนั้น เป็นวันอุโบสถ พระโพธิสัตว์ได้บ้วนปาก ด้วยน้ำเค็มแล้ว รักษาอุโบสถ.
ครั้งนั้น นางเทพธิดา ชื่อ มณิเมขลา ท้าวโลกบาลทั้ง ๔ ตั้งไว้ให้พิทักษ์ รักษาสมุทร ด้วยคำสั่งว่า ถ้าเรือมาแตกลง มนุษย์ที่ถือไตรสรณคมน์ก็ดี มีศีลสมบูรณ์ก็ดี ปฏิบัติชอบในมารดาบิดาก็ดี มาตกทุกข์ ในสมุทรนี้ ท่านพึงพิทักษ์รักษาเขาไว้. นางประมาทด้วยความเป็นใหญ่ ของตนเสีย ๗ วัน พอถึงวันที่ ๗ นางตรวจดูสมุทร ได้เห็นสังขพราหมณ์ ประกอบด้วยศีล และอาจาระ เกิดสังเวชจิตคิดว่า พราหมณ์นี้ ตกทะเลมาได้ ๗ วันแล้ว ถ้าพราหมณ์จักตายลง เราคงได้รับครหาเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 806
อันมาก แล้วนางได้จัดถาดทองใบหนึ่ง ให้เต็มไปด้วยทิพยโภชนะ อันมีรสเลิศต่างๆ เหาะไป ณ ที่นั้นโดยเร็ว ยืนอยู่บนอากาศ ตรงหน้าสังขพราหมณ์ กล่าวว่า ข้าแต่พราหมณ์ ท่านอดอาหารมา ๗ วันแล้ว จงบริโภคโภชนะทิพย์นี้เถิด. สังขพราหมณ์แลดูนางเทพธิดา แล้วกล่าวว่า จงนำภัตของท่านหลีกไปเถิด เรารักษาอุโบสถ. ลำดับนั้น อุปัฏฐากอยู่ข้างหลัง ไม่เห็นเทวดาได้ฟังแต่เสียง จึงคิดว่า พราหมณ์นี้ เป็นสุขุมาลชาติโดยปกติ มาถูกอดอาหารลำบากเข้า ๗ วัน ชะรอยจะบ่นเพ้อ เพราะกลัวตาย เราจักปลอบโยนเขา คิดดังนี้แล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ท่านก็เป็นพหูสูต ได้ฟังธรรมมาแล้ว ทั้งสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ท่านก็ได้เห็นมา เหตุไรท่าน จึงแสดงคำพร่ำเพ้อ ในขณะอันไม่สมควร คนอื่นนอกจากข้าพเจ้า ใครเล่าที่จะมาเจรจากับท่านได้?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุตธมฺโมสิ ความว่า แม้ธรรม ท่านก็ได้สดับมาแล้ว ในสำนักของสมณพราหมณ์ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมทั้งหลาย. บทว่า ทิฏฺา ความว่า ทั้งสมณพราหมณ์ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมทั้งหลาย อันท่านผู้ถวายปัจจัย แก่สมณพราหมณ์แล้วนั้น กระทำความขวนขวายอยู่ ก็ได้เห็นมาแล้ว ท่านแม้เมื่อกระทำอยู่ เห็นอยู่อย่างนี้ ก็ยังไม่เห็นสมณพราหมณ์ เหล่านั้นเลย. บทว่า อถกฺขเณ ตัดบทเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 807
อถ อกฺขเณ คือ ในขณะที่มิใช่โอกาสพูด เพราะไม่มีใครๆ ที่เจรจาด้วย. บทว่า ทสฺสยเส ความว่า ท่านเมื่อกล่าวว่า เรารักษาอุโบสถ ชื่อว่า แสดงคำพร่ำเพ้อ. บทว่า ปฏิมนฺตโก ความว่า คนอื่นนอกจากข้าพเจ้า ใครเล่าที่จะมาเจรจา คือ ที่จะมาให้ถ้อยคำกับท่านได้ เพราะเหตุไร ท่านจึงพร่ำเพ้ออย่างนี้.
สังขพราหมณ์ ได้ฟังคำของอุปัฏฐากแล้ว จึงคิดว่า ชะรอยเทวดานั้น จะไม่ปรากฏแก่เขา จึงกล่าวว่า แน่ะสหาย เรามิได้กลัวมรณภัย ผู้อื่นที่มาเจรจากับเรามีอยู่ แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
นางฟ้าหน้างาม รูปสวยเลิศ ประดับด้วยเครื่องประดับทอง ยกถาดทอง เต็มด้วยอาหารทิพย์ มาร้องเชิญให้เราบริโภค นางเป็นผู้มีศรัทธา และปลื้มจิต เราตอบกะนางว่า ไม่บริโภค.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุพฺภา แปลว่า ผู้มีหน้างาม. บทว่า สุภา ได้แก่ ผู้มีรูปร่างงามเลิศ น่าเลื่อมใส. บทว่า สุปฺปฏิมุกฺกกมฺพู คือ ประดับด้วยเครื่องอลังการทอง. บทว่า ปคฺคยฺห คือ ถาดภัตตาหารยกขึ้น. บทว่า สทฺธา วิตฺตา ได้แก่ มีศรัทธาด้วย มีจิตยินดีด้วย. บาลีว่า สทฺธา วิตฺตํ ดังนี้ก็มี. ข้อนั้นมีความว่า บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 808
สทฺธา ได้แก่ ผู้เหลืออยู่. บทว่า วิตฺตํ ได้แก่ ผู้มีจิตยินดีแล้ว. บทว่า ตมหํ โน ความว่า เราเมื่อจะปฏิเสธ เพราะความที่ตน เป็นผู้รักษาอุโบสถ จึงตอบกะเทวดานั้นว่า ไม่บริโภค เราไม่เพ้อดอกสหาย.
ลำดับนั้น อุปัฏฐากได้กล่าวคาถาที่ ๓ แก่สังขพราหมณ์นั้น ว่า :-
ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ วิสัยบุรุษ ผู้ยังปรารถนาความสุข ได้พบเห็นเทวดาเป็นนี้แล้ว ควรจะถามดูให้รู้แน่ ขอท่านจงลุกขึ้น ประนมมือ ถามเทวดานั้นว่า นางเป็นเทวดา หรือมนุษย์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขมาสึสมาโน ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต ผู้ยังปรารถนาความสุขเพื่อตน ได้พบเห็นเทวดาเช่นนี้แล้ว ควรจะถามดูว่า ความสุขจักมีแก่เราหรือไม่? บทว่า อุฏฺเหิ ความว่า ท่านเมื่อแสดงอาการลุกขึ้นจากน้ำ ชื่อว่า จงลุกขึ้น. บทว่า ปญฺชลิกาภิปุจฺฉ คือ จงเป็นผู้ประนมมือถาม. บทว่า อุท มานุสี ความว่า หรือว่านางเป็นมนุษย์ ผู้มีฤทธิ์มาก.
พระโพธิสัตว์คิดว่า อุปัฏฐากพูดถูก เมื่อจะถามนางเทพธิดานั้น ได้กล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 809
เพราะเหตุที่ท่านมาแลดูข้าพเจ้า ด้วยสายตา อันแสดงความรัก ร้องเชิญให้ข้าพเจ้าบริโภค อาหาร ดูก่อนนางผู้มีอานุภาพใหญ่ ข้าพเจ้า ขอถามท่านว่า ท่านเป็นเทวดาหรือมนุษย์?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ตฺวํ ความว่า เพราะเหตุใด ท่านจึงมาแลดูข้าพเจ้าด้วยสายตาอันแสดงความรัก. บทว่า อภิสเมกฺขเส คือ แลดูด้วยจักษุ อันแสดงความรัก. บทว่า ปุจฺฉามิ ตํ ความว่า เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงขอถามท่าน.
ลำดับนั้น นางเทพธิดา ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ข้าพเจ้าเป็นเทวดา ผู้มีอานุภาพมาก มาในกลางน้ำสาครนี้ ก็ เพราะเป็นผู้มีความเอ็นดู จะได้มีจิตประทุษร้าย หาไม่ ข้าพเจ้ามาในที่นี้ ก็เพื่อประโยชน์แก่ ท่าน นั่นเอง.
ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ในสมุทรนี้มี ข้าว น้ำ ที่นอน ที่นั่ง และยานพาหนะมากอย่าง ใจของท่านปรารถนาสิ่งใด ข้าพเจ้าจะให้สิ่งนั้น สำเร็จแก่ท่านทุกอย่าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 810
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธ คือ ในสมุทรนี้. บทว่า นานาวิวิธานิ คือ มียานพาหนะ คือ ช้าง และยานพาหนะ มีม้า เป็นต้น ทั้งมากมาย ทั้งหลายอย่าง. บทว่า สพฺพสฺส ตฺยาหํ ความว่า ข้าพเจ้า จะให้ข้าวและน้ำเป็นต้นนั้น สำเร็จแก่ท่าน คือจะให้ท่านเป็นเจ้าของ ข้าวและน้ำเป็นต้นนั้น ทุกอย่าง. บทว่า ยงฺกิญฺจิ ความว่า ใจของท่านอยากได้ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้อย่างอื่น ข้าพเจ้าจะให้สิ่งนั้นทุกอย่าง แก่ท่าน.
พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้ว คิดว่า เทวดานี้กล่าวว่า จะให้อย่างนั้น อย่างนี้แก่เรา ในท้องน้ำ เธอปรารถนาจะให้ด้วยบุญกรรม ที่เราทำไว้ หรือจะให้ด้วยพลานุภาพของตน เราจักถามดูก่อน เมื่อจะถาม ได้กล่าวคาถาที่ ๗ ว่า :-
ข้าแต่เทพธิดา ผู้มีร่างงาม มีตะโพกผึ่งผาย มีคิ้วงาม ผู้เอวบางร่างน้อย ทานซึ่งเป็นส่วน บูชา และการเซ่นสรวง ของข้าพเจ้า อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ ท่านเป็นผู้สามารถรู้วิบาก แห่งกรรม ของข้าพเจ้าทุกอย่าง การที่ข้าพเจ้า ได้ที่พึ่งในสมุทรนี้ เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยิฏฺํ คือ บูชาแล้ว ด้วยสามารถแห่งทาน. บทว่า หุตํ คือ ให้แล้ว ด้วยสามารถแห่งของคำนับ และของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 811
ต้อนรับ. บทว่า สพฺพสฺส โน อิสฺสรา ตฺวํ ความว่า ท่านเป็นอิสระ คือ เป็นผู้สามารถรู้วิบาก แห่งบุญกรรม ของข้าพเจ้านั้น ทุกอย่างว่า นี้เป็น วิบากแห่งกรรมนี้ นี้เป็นวิบากแห่งกรรมนี้. บทว่า สุสฺโสณิ คือ ผู้มีลักษณะแห่งโคนขางาม. บทว่า สุพฺภา แปลว่า ผู้มีคิ้วงาม บทว่า สุวิลากมชฺเฌ คือ ผู้มีกลางตัวอันอรชรอ้อนแอ่น. บทว่า กิสฺส เม ความว่า บรรดากรรม ที่ข้าพเจ้าทำแล้ว การที่ข้าพเจ้า ได้ที่พึ่งในมหาสมุทร อันหาที่พึ่งมิได้นี้ เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร.
นางเทพธิดาได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงคิดว่า พราหมณ์นี้ชะรอยจะถาม ด้วยสำคัญว่า เรารู้กุศลกรรมที่เขาทำไว้ บัดนี้ เราจักกล่าวทานของเขา เมื่อจะกล่าว ได้กล่าวคาถาที่ ๘ ว่า :-
ข้าแต่ท่านสังขพราหมณ์ ท่านได้ถวายรองเท้า กะพระภิกษุรูปหนึ่ง ผู้เดินกระโหย่งเท้า สะดุ้ง ลำบากอยู่ในหนทางอันร้อน ทักษิณานั้น อำนวยผล สิ่งน่าปรารถนาแก่ท่าน ในวันนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกภิกฺขุํ นางเทพธิดากล่าว หมายเอาพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น. บทว่า อุคฺฆฏฺฏปาทํ คือ ผู้เดินกระโหย่งเท้า เพราะทรายร้อน. บทว่า ตสิตํ คือ ผู้กระหายแล้ว. บทว่า ปฏิปาทยิ ความว่า ได้ถวายแล้ว คือ ได้ประกอบแล้ว. บทว่า กามทุหา คือ ให้สิ่งที่น่าปรารถนาทุกอย่าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 812
พระมหาสัตว์ ได้ฟังดังนั้นแล้ว มีจิตยินดีว่า การถวายรองเท้า ที่เราได้ถวายแล้ว มาให้ผล ที่น่าปรารถนาแก่เราทุกอย่าง ในมหาสมุทร อันหาที่พึ่งมิได้ แม้เห็นปานนี้ โอ! การที่เราถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นการถวายที่ดีแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๙ ว่า :-
ขอจงมีเรือที่ต่อด้วยแผ่นกระดาน น้ำไม่รั่ว มีใบสำหรับพาเรือให้แล่นไป เพราะในสมุทรนี้ พื้นที่ที่จะใช้ยานพาหนะอย่างอื่น มิได้มี ขอท่านได้ส่งข้าพเจ้า ให้ถึงเมืองโมลินี ในวันนี้เถิด.
พึงทราบความแห่งคำ อันเป็นคาถานั้นว่า
ดูก่อนนางเทพธิดา เมื่อเป็นเช่นนั้น ขอท่านจงเนรมิตเรือลำหนึ่ง แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด แต่ขอจงเนรมิตเรือเล็กๆ ลำ ๑ ประมาณ เท่าเรือโกลน อนึ่ง เรือที่ท่านจักเนรมิต ขอให้เป็นเรือที่ต่อด้วยแผ่นกระดานหลายๆ แผ่น ที่ตรึงดีแล้ว ที่ชื่อว่า น้ำไม่รั่ว เพราะไม่มีช่อง ที่จะให้น้ำไหลเข้าไปได้ ประกอบด้วยใบ ที่จะพาแล่นไปได้ อย่างสะดวก เพราะในสมุทรนี้ พื้นที่ที่จะใช้ยานพาหนะอื่น เว้นเรือทิพย์มิได้มี ขอท่านได้ฟังข้าพเจ้า ให้ถึงเมืองโมลินี ด้วยเรือลำนั้น ในวันนี้เถิด.
นางเทพธิดา ได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว มีจิตยินดี เนรมิตเรือขึ้นลำหนึ่ง ซึ่งแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ เรือลำนั้นยาว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 813
๘ อุสภะ กว้าง ๔ อุสภะ ลึก ๒ วา มีเสากระโดง ๓ เสา แล้วไปด้วยแก้วอินทนิล มีสายระโยงระยาง แล้วไปด้วยทอง มีรอกกว้าน แล้วไปด้วยเงิน มีหางเสือ แล้วไปด้วยทอง เทวดาเอารัตนะ ๗ ประการ มาบรรทุกเต็มเรือ แล้วอุ้มพราหมณ์ขึ้นบนเรือที่ประดับแล้ว แต่มิได้เหลียวแลบุรุษอุปัฏฐาก ของพระโพธิสัตว์เลย พราหมณ์ได้ให้ส่วนบุญ ที่ตนได้การทำไว้แก่อุปัฏฐาก อุปัฏฐากก็รับอนุโมทนา ทันใดนั้น เทวดาก็อุ้มอุปัฏฐากนั้น ขึ้นเรือด้วย ลำดับนั้น เทวดาก็นำเรือไปสู่โมลินีนคร ขนทรัพย์ขึ้นเรือนพราหมณ์ แล้วจึงไปยังที่อยู่ของตน.
พระศาสดา ผู้ตรัสรู้แล้ว ได้ตรัสพระคาถานี้ เป็นที่สุดว่า:-
นางเทพธิดานั้น มีจิตชื่นชมโสมนัส ปราโมทย์ เนรมิตเรืออันงามวิจิตร แล้วพาสังขพราหมณ์ กับบุรุษคนใช้มาส่งถึงเมือง อันเป็นที่สำราญรื่นรมย์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นางเทพธิดานั้น ได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์นั้น ในท่ามกลางสมุทรนั้นแล้ว ประกอบด้วยปีติ กล่าวคือ มีจิตชื่นชม. บทว่า สุมนา เป็นต้น คือ เป็นผู้มีใจงาม เป็นผู้มีจิตร่าเริงแล้ว ด้วยปราโมทย์ เนรมิตเรืออัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 814
วิจิตร นำพราหมณ์กับคนใช้ไปแล้ว. บทว่า สาธุรมฺมํ คือ นำเข้ามาส่งถึงเมือง อันเป็นที่รื่นรมย์ยิ่ง.
แม้พราหมณ์ก็ครอบครองคฤหาสน์ อันมีทรัพย์นับประมาณมิได้ ให้ทานรักษาศีล จนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว พร้อมด้วยบริษัท ได้ไปเกิดในเทพนคร.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้ มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เวลาจบสัจจะ อุบาสก ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า นางเทพธิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นนางอุบลวัณณาเถรีในบัดนี้ บุรุษอุปัฏฐากในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ส่วนสังขพราหมณ์ ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนั้นแล.
จบอรรถกถา สังขพราหมณชาดกที่ ๔