การสวดพระอภิธรรมในงานศพเป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นแต่สมัยพุทธกาลหรือไม่ เมื่อใด และมีจุดประสงค์ใด
ในสมัยครั้งพุทธกาลไม่มีพิธีกรรมงานศพเหมือนปัจจุบัน คือ เมื่อคนตายก็นำไปเผาที่ป่าช้าในวันนั้นเลย ไม่มีพิธีการสวดพระอภิธรรมในงานศพ และยังไม่พบที่มาว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยไหน หรือเพื่อจุดประสงค์ใดในการสวดพระอภิธรรมในงานศพ แต่พอทราบจากที่ผู้ใหญ่เล่าสืบกันมาว่า ในอนาคตคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอันตรธานเสื่อมหายจากโลกนี้ เพราะไม่มีใครศึกษาและเข้าใจ คำสอนที่เสื่อมก่อนก็คือพระอภิธรรมปิฎก ดังนั้นโบราณจึงให้มีการแสดงพระอภิธรรมปิฎก (สวด) เพื่อให้คนที่เป็นอยู่ได้ยินได้ฟังพระอภิธรรม อีกนัยหนึ่ง เมื่อมีคนตายเกิดขึ้น เพื่อเป็นการบรรเทาความเศร้าโศกของญาติของผู้ตายพระภิกษุจึงแสดงความจริงว่า ทุกอย่างเป็นเพียงธรรมะอย่างหนึ่งเท่านั้น (กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตา ธัมมา)
การสวดอภิธรรมในงานศพ จุดประสงค์เพื่อให้คนที่เป็นญาติ มิตร ของผู้ตายฟัง เช่น สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ฯลฯ คนที่มีชีวิตอยู่ฟังแล้วจะได้คลายความเศร้าโศกเสียใจได้บ้างค่ะ และที่สำคัญเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ขออนุโมทนา
หัวใจของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ พระวินัยปิฏก หรือพระสุตตันปิฏก แต่คือพระอภิธรรมปิฎก เวลาล่วงมา ๒๕๕๐ ปี ผู้ที่ศึกษาจริงๆ และจะเห็นประโยชน์โดยไม่ทิ้งมีน้อย โดยเฉพาะในกาลวิบัตินี้ ก็ถึงครึ่งทางของความเสื่อมแล้ว เสื่อมไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ
ขออนุโมทนาครับ
ความคิดเห็นที่ 4 ...
หัวใจของพระพุทธศาสนา คือ การละ (ไม่ติดดี ไม่ติดชั่ว)
พระวินัยปิฎก คือ คำสั่ง (ละเมิดไม่ได้)
พระสูตรและพระอภิธรรม คือ คำสอน (เพื่ออบรม ประพฤติปฏิบัติตาม)
ทั้ง ๓ ปิฎกนั้นสอดคล้องกัน เพื่อการขัดเกลากิเลส เพื่อการกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์
คิดว่าไม่นะครับน่าจะเกิดไม่นานนี้ด้วยครับ เพราะ ว่าสมัยก่อน เราสวดศพด้วยบทพระมาลัยนะครับ และถ้าเห็นภาพถ่ายเมื่อสัก ประมาณ ๑๐๐ ที่แล้ว ตามงานศพจะเป็นฆารวาสชาย มาสวด เป็นงานรื่นเริง เสียด้วยซ้ำครับ เห็นด้วยกับความสำคัญของพระอภิธรรมครับ น่าเสียดายที่สุดที่ปัจจุบัน สวดกันอยู่นั้น พระที่สวดก็น้อยรูปจะเข้าใจคนฟังสวดก็น้อยคน จะเข้าใจ คนตายก็น้อยคนที่จะฟังรู้เรื่องครับ ดังนั้น จึงควรมารู้จักพระอภิธรรม กันก่อนตายดีกว่าครับ
จากความเห็นที่ ๗ ของคุณไตรสรณคมน์
น้อมรับครับ เพราะมาคิดทบทวนแล้ว ตัวเองก็เผลอตอบไปโดยคิดง่ายๆ จริงๆ แต่พอได้ฟังเรื่องหิริ โอตตัปปะ จากท่านอาจารย์สุจินต์ ก็รู้ว่ามีโทษมาก ขอบคุณที่ย้ำให้ระลึกได้ครับ
ถาม : สมัยนี้ทำไมผู้ที่ศึกษาธรรมแล้ว แต่ก็ยังเผยแผ่ผิดๆ ถูกๆ อย่างนี้จะมีโทษมากไหมครับ
ท่าน อ.สุจินต์กล่าวไว้ว่า : "ก็ต้องเห็นใจนะคะ เพราะพระธรรมนั้นยากที่บุคคลในสมัยนี้เพียงผู้เดียวจะรู้ซึ้ง รู้ชัด รู้ละเอียดในพระปิฎกทั้งสามได้ พึงที่จะต้องช่วยกันตรวจสอบ ตรวจทาน เทียบเคียงกับต้นฉบับจริงอยู่เสมอค่ะ" เหตุนี้ ผมขออนุโมทนาด้วยใจยินดีอย่างยิ่ง ถ้าท่านจะสละธรรมทานเพื่อเป็นความรู้ถูกแก่ผม ผมจะไม่คิดโกรธ หรือดึงดันถือตัวด้วยมานะต่อผู้ใดเลย หากเกิดผิดพลาดประการใดอีก ท่านสามารถติติง หรือช่วยแนะสิ่งที่ถูกได้ตลอดเวลา และผมก็จะศึกษาเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎกประกอบด้วย ครับ
ข้อความบางตอนว่าด้วยเรื่อง ธรรมวาทีเชิญคลิกอ่าน ...
ธรรมฝ่ายดำ ๙ อย่าง
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
ขออนุโมทนา