ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา คุณสมศักดิ์และคุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์ ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากรของมูลนิธิฯ รศ.สงบ เชื้อทอง อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ โรงละครวังหน้า ถนนราชินี เชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.
การกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์และคณะวิทยากรมาสนทนาธรรม ณ โรงละครและหอศิลป์วังหน้า ในครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากที่คุณสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์ สามีของคุณวรรณวิไล (พี่ตุ๊กแก) ได้จัดแสดงงานภาพจิตรกรรมของท่านขึ้นที่หอศิลป์วังหน้าแห่งนี้ ระหว่างวันที่ ๘ กรกฎาคม ถึง วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งพี่ตุ๊กแกเห็นว่าสถานที่ด้านบนของหอศิลป์แห่งนี้ ได้จัดสร้างเป็นโรงละครที่ดูดี มีความสะดวกสบาย ทั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ จึงมีความคิดใคร่ที่จะจัดให้มีการสนทนาธรรมขึ้นที่นี่
เมื่อได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์มาแล้ว ก็เตรียมการต่างๆ เช่น ในเรื่องอาหารกลางวันสำหรับท่านผู้ใหญ่ที่เจ้าภาพได้กราบเรียนเชิญมา คุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) มีกุศลศรัทธารับเป็นเจ้าภาพจัดทำอาหารเพื่อรับรอง ในส่วนของท่านผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรม พี่สุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย รับดำเนินการในการจัดหาข้าวกล่อง ซึ่งพี่สุมีความชำนาญในการคัดเลือกอาหารอร่อย คุณภาพดี จากร้านชื่อดังหลายร้าน ทั้งพิถีพิถัน ให้ใส่กล่องอย่างดี ไม่ให้ใช้โฟม จำนวนรวมสองร้อยกล่อง พี่อภิญญา (พี่อึ้ด) นำขนมจีนน้ำยาปูเลิศรสมาร่วมเจริญกุศล ๖๐ กล่อง คุณนาตยา สิริชูติวงศ์ (คุณแขก) นำข้าวคั่วกลิ้งไก่ มาร่วมอีก ๑๐๐ กล่อง พี่เดือนฉาย ค่ำอำนวย นำกาแฟร้อนและเย็น มาบริการ ในด้านอื่นๆ ก็ได้รับความร่วมแรง ร่วมใจ จากสหายธรรมสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ทุกๆ ท่าน ที่มีกุศลศรัทธาช่วยเหลือเป็นอย่างดียิ่ง นอกจากที่ทางมูลนิธิฯ ประกาศเชิญชวนทางวิทยุแล้ว หลายท่านก็ช่วยนำใบปลิวเชิญสนทนาธรรมหลายร้อยใบไปแจกจ่าย เพื่อผู้สนใจได้เข้าร่วมฟังการสนทนา ความที่พี่ตุ๊กแกกังวลว่าจะมีผู้เข้าร่วมฟังน้อย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี มีผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมในวันนั้นมากมายจนเกือบเต็มห้องประชุม (โรงละคร) ซึ่งบรรจุคนได้ ๒๕๐ คน ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของทุกๆ ท่าน ครับ
อนึ่ง คุณสมศักดิ์และคุณวรรณวิไล (พี่ตุ๊กแก) ได้เคยกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์และคณะวิทยากรฯ ไปสนทนาธรรมที่บ้านพักของท่านทั้งสองมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมภาพและความการสนทนาในครั้งนั้น ได้ที่นี่ครับ ... ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณวรรณวิไล (คุณตุ๊กแก) ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔
ก่อนอื่น เพื่อประโยชน์แก่ท่านที่สนใจในความเป็นมาของบุคคลก่อนที่จะได้มาพบและฟังพระธรรม ที่ทำให้เห็นถึงการที่เคยเป็นผู้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนในอดีต (ปุพเพกต ปุญญตา) ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ จึงจะขออนุญาตเล่าเรื่องของท่านเจ้าภาพที่เคยได้ยิน ได้ฟังมาพอเป็นสังเขป ซึ่งแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมะหลากหลาย ที่แต่ละคนสะสมมาต่างๆ กัน ไม่ซ้ำกันเลย แต่ประโยชน์สูงสุดของการสะสม มีเพียงประการเดียว คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในสภาพธรรมะ สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งความเข้าใจความจริง ที่ถูกต้องนี้ จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของบุคคล ในสังสารวัฏฏ์ยาวนาน หาใช่ทรัพย์อื่นใดไม่
พี่ตุ๊กแกเล่าให้ฟังครั้งที่ได้รู้จักกันใหม่ๆ เมื่อราว ๕ ปีกว่า ที่ผ่านมาว่า ได้พบท่านอาจารย์ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ขณะที่นั่งรอพบหมอเพื่อทำฟันอยู่หน้าห้อง เห็นหนังสือธรรมะวางอยู่ จึงหยิบขึ้นมาอ่าน ก็พบว่าโดนใจมาก จึงแอบหยิบหนังสือเล่มนั้นมา (ทราบว่าเป็นหนังสือชื่อ "บทบาทของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในการเผยแผ่พุทธธรรม" ซึ่งภายหลังพี่ตุ๊กแกได้นำหนังสือธรรมะเล่มใหม่อีกหลายเล่ม ไปวางคืนไว้ที่เดิมแล้ว) เพื่อตามหาท่านผู้นั้นว่าเป็นใคร เพื่อที่จะได้ติดตามอ่านและฟังธรรมจากท่าน
(ภาพวาดท่านอาจารย์,คุณป้าจี๊ด, คุณย่าสงวน สุจริตกุล และคุณพ่อของ ดร.อนุสรณ์ กุศลวงศ์ ฝีมือพี่ตุ๊กแก)
เมื่อได้พบพี่หนู (อัญญมณี มัลลิกะมาส) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่ขับรถมารับไปที่โน่นที่นี่ด้วยกันบ่อยๆ จึงปรารภว่า ได้พบและอ่านหนังสือธรรมะของผู้หญิงท่านหนึ่ง ที่โดนใจมากๆ อยากจะไปฟังและกราบท่าน พี่หนูถามว่า เป็นใคร? ชื่ออะไร? เมื่อพี่ตุ๊กแกบอกว่า ชื่ออาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ พี่หนูก็ถึงบางอ้อ เพราะเหตุว่า พี่หนูฟังท่านอาจารย์มานานแล้ว และพี่หนูก็กล่าวว่า เวลาพี่ตุ๊กแกขึ้นรถมา พี่หนูก็เปิดธรรมะท่านอาจารย์ฟังในรถทุกครั้งอยู่แล้ว แต่พี่ตุ๊กแกคงไม่สนใจเลย กลับกลายเป็นไปเจอท่านอาจารย์ จากหนังสือที่มีคนนำมาวางไว้ในโรงพยาบาล นี่แสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมะ ที่หาความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคลใดๆ ไม่ได้ เป็นธรรมะที่สะสมมา จากการปรุงแต่งเกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เกิดขึ้น เป็นไป ตามความต้องการอย่างโน้น อย่างนี้ ของบุคคลใดได้ เมื่อถึงเวลาก็เกิดขึ้น เป็นไป ด้วยความถึงพร้อมของเหตุและปัจจัย ด้วยความเป็นอนัตตา นั่นเอง
และไม่ใช่เพียงนั้น อย่างที่ข้าพเจ้าเล่าไว้ในกระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา ๑๐-๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ซึ่งพี่ติ๋ว (พรรณิภา วิมุกตานนท์) พี่น้อย (คุณพัฒน์นรี เปรมะรัตน์) และเพื่อนๆ เป็นเจ้าภาพ ว่า สมัยที่พี่ติ๋วและเพื่อนๆ ยังเป็นนางฟ้าอยู่การบินไทย ได้ชักชวนกันไปฟังท่านอาจารย์สนทนาธรรมที่บ้านของคุณหญิงณพรัตน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ในหมู่บ้านเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ ทุกๆ วันเสาร์แรกของเดือน (พี่ติ๋วเคยเขียนเล่าเรื่องการไปฟังธรรมที่นี่ไว้ในกระทู้ ... บ้านนี้..มีธรรมะ (บ้านคุณหญิง ณพรัตน์ ฯ) ) แต่ก่อนไปฟังธรรม ทุกคนก็แวะไปเลือกซื้อกระเป๋าที่ทำจากต้นกระจูดที่พี่ตุ๊กแกออกแบบและตัดเย็บเองเป็นงานอดิเรก นอกเหนือไปจากงานประจำที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของธนาคารกรุงเทพฯ สำนักงานใหญ่ สีลม บ้านของพี่ตุ๊กแก ซึ่งสมัยนั้นอยู่หมู่บ้านเมืองทอง ที่เดียวกับที่พี่ติ๋วและเพื่อนๆ ชาวนางฟ้าการบินไทยไปฟังธรรมทุกๆ วันเสาร์ต้นเดือน เช่นกัน จนมีความรู้จักสนิทสนมกันแต่นั้นมา แต่พี่ตุ๊กแกก็ไม่เคยสนใจเลย ว่าจะไปฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ (ทั้งๆ ที่รู้จัก สนิทสนมเป็นอย่างดีกับพี่ๆ กลุ่มนี้) และทั้งๆ ที่ชื่อนี้ เป็นชื่อที่พี่ตุ๊กแกถึงกับต้องการตามหา เพื่อที่จะมีโอกาสไปกราบเท้าท่านสักครั้งหนึ่งในอีกหลายปีต่อมา ซึ่งพี่ตุ๊กแกเล่าว่า พี่หนูเป็นผู้อาสาพาไปกราบเท้าท่าน เมื่อได้พบและกราบเท้าท่านอาจารย์แล้ว พี่ตุ๊กแกก็ได้แต่นั่งร้องไห้ ไม่พูดไม่จาอะไรเลย ณ วันนี้ จากที่พี่ตุ๊กแกเปิดธรรมะฟังตลอดเวลาที่ทำงานต่างๆ อยู่ภายในบ้านและก่อนนอน เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว พี่ตุ๊กแกเล่าด้วยความภาคภูมิใจ ดีใจ ว่า ในระยะหลังมานี้ พี่เชาวน์ สามีของพี่ตุ๊กแก ซึ่งจากเดิมที่ได้ยิน ได้ฟังธรรมะตามปกติที่พี่ตุ๊กแกเปิด (เข้าใจว่าฟังไปอย่างนั้นๆ ตามคุณภรรยา) แต่ปัจจุบัน หากพี่ตุ๊กแกลืมเปิดธรรมะฟังก่อนนอน พี่เชาวน์ก็จะเตือน และหลายครั้งพี่เชาวน์ก็จะเป็นผู้ที่เปิดเอง และฟังอยู่ด้วยกันจนหลับ และแม้ตื่นขึ้นกลางดึก ก็จะฟังต่อ จนหลับไป เช่นที่หลายๆ คนก็เป็นเช่นนี้
เมื่อเล่าถึงตอนนี้ ก็ทำให้คิดถึงคำที่ท่านอาจารย์กล่าว เรื่องการสะสมความเข้าใจธรรมะที่ถูกต้อง มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกบุคคล หากมีความเห็นผิด มีความเข้าใจผิด ในความจริงที่ทรงแสดง ความเห็นผิดนั้น จะยิ่งสะสม มั่นคงขึ้น มากขึ้น จนในชาติต่อๆ ไป แม้ว่าจะมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะไม่รู้ว่าผู้นั้น เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่เข้าไปฟังพระธรรม เพราะความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ใดเลย แต่เป็นธรรมะฝ่ายชั่ว ที่สะสมจนมีกำลัง เกิดขึ้นเป็นบุคคลใด ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิด มีแต่ความไม่รู้ เช่น พวกอัญญเดียรถีย์ในสมัยพุทธกาล ที่แม้อยู่ใกล้พระวิหารเชตวันที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่เข้าไปฟังพระธรรมเลย นี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ทุกบุคคลพึงตระหนักให้จงดี ที่จะเป็นผู้ที่ใคร่ครวญ พิจารณา ในคำที่ได้ยินได้ฟัง โดยละเอียด เพื่อไม่เป็นผู้ทำร้ายตนนั้นเอง ในการที่จะเป็นผู้สะสมความเห็นผิด ในอันที่จะทำให้เป็นผู้ที่เดินไปในหนทางที่ผิด ไม่มีโอกาสได้พบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกเลย ซึ่งน่ากลัวและไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง ไม่ลืมว่า "สัมมาทิฏฐิ" ความเห็นชอบ เป็นข้อแรกในอริยมรรคมีองค์ ๘ (หนทางเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม) ที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ หากตั้งตนไว้ไม่ชอบ คือ มีความเห็นที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงแล้ว ไม่มีทางเลยที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ต้องเป็นผู้ที่จมอยู่ เป็นตอของวัฏฏะ เวียนอยู่กับสุขและทุกข์ แล้วๆ เล่าๆ ไปจนตลอดสิ้นกาลนาน น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรม การได้พบกับพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติหนึ่งๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทุกบุคคล ที่เมื่อได้พบ ก็สามารถรู้ว่าหนทางใด คำสอนใด เป็นคำสอนที่ถูกต้อง เป็นหนทางที่ถูกต้อง จากปัญญาที่เคยสะสมอบรมมาแล้วในอดีต อนันตชาตินั่นเอง (ปุพพเพกต ปุญญตา -บุญที่เคยได้กระทำไว้แต่ปางก่อน) ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีบุคคลกราบเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในที่สนทนาธรรมบ่อยๆ ว่า ทำอย่างไรจึงจะรู้ จึงจะตัดสินได้ ว่าบุคคลใดพูดถูก สอนถูก ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ท่านอาจารย์ตอบว่า "มีปัญญาจึงรู้ ไม่มีปัญญา ก็ไม่รู้" เป็นคำตอบที่ดูเหมือนจะรุนแรง สำหรับท่านผู้ถามที่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจในหนทาง แต่เป็นสัจจะ ความจริง ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ เมื่อได้ฟังพระธรรมและมีความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงเป็นผู้ที่มีศรัทธามั่นคงขึ้น เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการฟังและการศึกษาพระธรรม อบรมเจริญกุศลทุกประการ สมดังคำขวัญของชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ที่ท่านอาจารย์มอบไว้ว่า "ทำดีและศึกษาพระธรรม" ซึ่งเป็นคำขวัญที่ลึกซึ้งและมีความหมายอย่างยิ่งต่อทุกบุคคลที่มีโอกาสได้เกิดมาชาตินี้ และได้พบแล้วซึ่งพระธรรมคำสอนที่ถูกต้อง จากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ถูกนำมาถ่ายทอดให้พวกเราได้เข้าใจขึ้น โดยความเมตตาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาในวันนั้น ซึ่งเป็นเรื่องของพระวินัย ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น เพื่อการอยู่ร่วมกันโดยผาสุขของหมู่สงฆ์ ทั้งเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งของเพศบรรพชิต ผู้สละทุกสิ่งในเพศฆราวาส ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือนและทรัพย์สินเงินทอง บุตรภรรยา ญาติและข้าทาสบริวารทั้งหลาย สู่เพศบรรพชิตที่สูงยิ่ง มีความประพฤติเป็นไปเพื่อศึกษาและขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง โดยส่วนเดียว เพื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งปัจจุบัน จากความไม่เข้าใจในพระธรรมวินัยของพุทธบริษัท ทำให้มีการประพฤติทุจริต ผิดพระธรรมวินัยต่างๆ อย่างมากมาย จากเหตุที่ไม่มีความเข้าใจในทั้งพระธรรมและพระวินัยในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสนาจึงจะเหลือเพียงชื่อ เมื่อพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างทอดภาระ ไม่เกื้อกูล และ ไม่ใส่ใจ ทั้งไม่เคารพในพระธรรมวินัยที่พระศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ ผู้ที่ปวารณาว่าเป็นบรรพชิต แต่ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยที่ทรงประกาศไว้ ก่อนที่จะทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า ธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติไว้นี้ จะเป็นศาสดาแทนพระองค์ ดังนั้น ผู้ที่ไม่ประพฤติ ปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัย จึงชื่อว่า ไม่เคารพ ในพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย ที่ทรงประกาศไว้ดีแล้ว การที่อุบาสก อุบาสิกา ศึกษาพระธรรมวินัย นอกจากจะสามารถที่จะเกื้อกูล และไม่เป็นเหตุให้พระภิกษุท่านต้องอาบัติในเรื่องต่างๆ แล้ว ยังเป็นผู้ที่รู้ว่า ผู้ใดเป็นภิกษุในธรรมวินัย และผู้ใด ไม่ใช่ภิกษุ อีกด้วย ซึ่งย่อมที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในอันที่จะเป็นผู้หนึ่งที่จะช่วยรักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ สืบต่อไป
[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 320
ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใด อันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
คุณฟองจันทร์ กราบท่านอาจารย์ค่ะ พอดีหนูได้เข้าไปอ่านในเฟซบุ๊คของท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นคำถามที่น่าสนใจมาก คำถามมีอยู่ว่า "ถ้าเราไม่เข้าวัด ไม่ทำบุญ ไม่ใส่บาตรพระ เพราะเราเล็งเห็นความไม่ดี ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยของพระภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เราคิดว่าดี ว่าทำถูกต้องแล้วนี้ จะนำไปสู่การสูญสิ้นของพุทธศาสนาได้หรือไม่? หากไร้ซึ่งวัด ไร้ซึ่งภิกษุ ศาสนาจะคงอยู่ได้อย่างไร? ถ้าเพียงแต่เราจะคิดว่า การใส่บาตร ทำบุญ ก็เป็นการทำทานชนิดหนึ่ง กุศลย่อมได้จากการที่เราได้ทำทานนั้น ส่วนพระท่านจะมีอกุศลใด ย่อมเกิดแก่ตัวท่านเอง เราจะเดือดร้อนด้วยทำไม? ผิดถูกอย่างไร ช่วยชี้แนะ"
ท่านอาจารย์ คุณคำปั่นก็เพิ่งพูดไปนะคะ เห็นประโยชน์ตน คือ จะเอาบุญ แล้วก็ให้คนอื่นตกนรก ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ถ้าจะไตร่ตรอง ทบทวน ควรจะเป็น "ทีละคำ" เริ่มตั้งแต่ต้นเลยค่ะ
คุณฟองจันทร์ คำถามมีอยู่ว่า "ถ้าเราไม่เข้าวัด ไม่ทำบุญ ไม่ใส่บาตรพระ ... "
ท่านอาจารย์ เท่านี้ก่อนค่ะ เพื่ออะไร? เข้าวัด เพื่ออะไร?
คุณฟองจันทร์ คนทั่วไป ก็ไปทำบุญ
ท่านอาจารย์ ไปทำบุญ บุญมีแต่เข้าวัดหรือ?
คุณฟองจันทร์ สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจก็คงจะเป็นอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะเข้าใจถูกต้องเมื่อไหร่? เข้าใจเองได้หรือ? ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมว่า บุญคืออะไร? และบุญมีเท่าไหร่ และการเข้าวัด เข้าวัดเพื่ออะไร คนที่ไปพระวิหารเชตวัน เขาไปกันทำไม? ในสมัยพุทธกาล ตอนเย็นก็ถือดอกไม้ธูปเทียนไป
คุณฟองจันทร์ เขาไปฟังธรรมค่ะ
ท่านอาจารย์ ไปฟังพระธรรม ถ้าเข้าใจธรรมะแล้ว มีหรือที่กุศลและบุญจะไม่เกิดเพิ่มขึ้น!!! แต่ต้องเป็นบุญเป็นกุศล ไม่ใช่คิดว่า นั่นเป็นบุญ คิดว่าการเดินเข้าไปในวัดเป็นบุญ ถูกหรือ? หรือคิดว่า การที่ถวายอาหารแก่พระ ต้องรู้ว่าพระคือใคร? ถ้าให้อาหารโจร เป็นประโยชน์ไหม?
คุณฟองจันทร์ ก็ไม่เป็นประโยชน์ค่ะ
ท่านอาจารย์ ถึงอย่างนั้น ถ้ามีจิตเมตตาจริงๆ ไม่คำนึงถึงว่าเป็นใคร ไม่ว่าเขาจะมีความประพฤติอย่างไร อย่างนั้น เราไม่สามารถที่จะไปแก้ไข หรือไปช่วยผู้ที่มีอัธยาศัยที่จะเป็นโจรให้เลิกการเป็นโจรได้ จนกว่าเขาจะเข้าใจธรรมะได้
เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของพระธรรม มากมายมหาศาล ประเทศใดก็ตาม มีทรัพย์สินเงินทองมั่งคั่ง มีวัตถุต่างๆ อะไรก็ตาม แต่เป็นคนเลวทั้งประเทศ ดีไหม?
แล้วทำอย่างไร คนที่เลว คนที่ทุจริต จะดีขึ้น? ถ้าไม่ได้รู้ความจริงว่า เลวคือเลว ปัญญาเท่านั้น ที่จะเห็นว่า ไม่ควรทำ เพราะว่าเป็นธรรมะที่ไม่ดีที่นำโทษมาให้
เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่จะช่วยโลก ช่วยประเทศ ช่วยทั้งมนุษย์กี่โลก กี่โลก ไม่ว่าจะสวรรค์หรือพรหมก็ตามแต่ ก็คือ ได้เข้าใจความจริงว่า ธรรมะเป็นธรรมะ ความดีเป็นความดี และใครจะรู้ พอให้คนอื่นซึ่งเป็นคฤหัสถ์ ทำมาหากิน มีชีวิตวันหนึ่ง วันหนึ่ง ไม่สามารถที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มากเท่ากับพระภิกษุ แล้วก็เป็นเพศซึ่งสละทั้งหมดเพื่อคนอื่น เพื่อที่จะได้ศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อจะได้เป็นเนื้อนาบุญของคนที่ได้มาฟัง ได้มาพบ ได้ให้สิ่งของแก่ผู้ที่ไม่ได้เป็นโทษกับบุคคลใดเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่ให้กับโจร!!!
แต่ถ้าบุคคลใด บวชแล้วก็ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย รับอาหารของชาวบ้านที่เขามีศรัทธา เพราะเขาคิดว่าเป็นภิกษุ แต่ว่าไม่ได้เรียนธรรมะ ไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่ได้เข้าใจธรรมะ ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เขาให้ใคร? เป็นบุญหรือเปล่า? เป็นการส่งเสริมทุจริต หรือว่า เป็นการทำให้มีประโยชน์ ในเมื่อ ถ้าเราเห็นคนที่ทำสิ่งที่ไม่ดี เป็นโทษ เราก็ให้ไป บำรุงไป โทษก็ยิ่งเจริญขึ้น เจริญขึ้น ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ก็ต้องคำนึงด้วย ว่าสิ่งที่ให้หรือการให้นั้น เป็นประโยชน์หรือเปล่า?
คุณฟองจันทร์ ปัญหาก็มีอยู่ว่า คนทั่วไปเขาก็ไม่ได้ศึกษาพระธรรม หรือพระวินัยที่ถูก
ท่านอาจารย์ นี่คือเหตุที่ประเทศเสื่อม ไม่เจริญ เพราะคนไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้จักประโยชน์ที่ใหญ่ยิ่งว่า ทั้งหมดทุกคน ไม่ใช่แต่ประเทศไทย ทั้งหมดทุกคนในโลก ถึงแม้ว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม แต่เป็นคนเลว แล้วใครจะช่วยให้เป็นคนดีได้ ถ้าไม่เข้าใจธรรมะ!!!
เพราะฉะนั้น จะต้องการอย่างนั้นหรือ? ให้วัตถุเจริญ ให้มีการช่วยเหลือสังคมต่างๆ นาๆ แต่ไม่ได้ช่วยทางจิตใจ ให้เขามีความเห็นที่ถูกต้องเลย เขาก็ยังคงเลวต่อไป และเลวยิ่งขึ้น!! เพราะฉะนั้น ก็นำความเสื่อม ไม่ได้นำความเจริญมาให้เลย!! ซึ่งทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ทบทวนดู ตั้งแต่คำแรก อ่านอีกครั้งหนึ่งก็ได้ เพราะยังไม่จบ
คุณฟองจันทร์ เพราะเราเล็งเห็นความไม่ดี ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยของพระภิกษุทั้งหลาย ... .
ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วยัง "ส่งเสริม" ไหม?
คุณฟองจันทร์ ถ้ารู้ก็คงไม่ส่งเสริม
ท่านอาจารย์ แต่คำถามนี้ ส่งเสริมหรือเปล่า? อ่านตั้งแต่ต้นสิคะ
คุณฟองจันทร์ คำถามมีอยู่ว่า ถ้าเราไม่เข้าวัด ไม่ทำบุญ ไม่ใส่บาตรพระ เพราะเราเล็งเห็นความไม่ดี ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยของภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เราคิดว่าดี ว่าทำถูกต้องแล้วนี้ จะนำไปสู่การสูญสิ้นของพุทธศาสนาได้หรือไม่?
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่า ถ้าเราเอาอาหารไปให้โจร ไม่ใช่โจรคนเดียวด้วย โจรเยอะด้วย จะได้อะไรจากโจร? และ พระศาสนาไม่ใช่อยู่ที่คนอื่นเลย ไม่ใช่อยู่ที่วัดวาอาราม สูงที่สุด ใหญ่ที่สุด มีอะไรๆ ที่คิดว่าน่าอัศจรรย์ แต่พระศาสนา คือ คำสอน ที่น่าอัศจรรย์ ที่เมื่อเข้าใจแล้ว ก็สามารถที่จะเปลี่ยนจากทุจริตเป็นสุจริตได้ มิฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง
เพราะฉะนั้น ก็เห็นได้ว่า ต้องเป็นผู้ตรง ว่าพระศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัดวาอาราม หรืออยู่ที่สิ่งก่อสร้างใดๆ แต่อยู่ที่ ความเข้าใจของพุทธบริษัท ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมะ ธรรมะก็ลบเลือนแล้ว!! เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ จะถามว่าพระศาสนาอันตรธานหรือยัง? อันตรธานแล้วจากผู้ไม่ฟังพระธรรม!! เมื่อไหร่หมด ไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีการเข้าใจพระธรรมต่อไป ก็ไม่มีผู้ใดที่จะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง
คุณฟองจันทร์ ถ้าอย่างนั้น ตรงนี้ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการสะสมของแต่ละคนไหม? ถ้าเขาไม่มีการสะสมมาแต่ชาติปางก่อน
ท่านอาจารย์ แต่ลองคิดสักนิดไหม? จะให้โจรเยอะๆ มาทำลายไหม? ทำลายคุณธรรม ทำลายความดีทั้งหมด ทำลายคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ทำลายพระวินัยทั้งหมด เอาเงินเอาทองไปให้พระภิกษุกันทั้งหมด เพราะ ความเสื่อมทั้งหมด มาจากเงินและทอง ในความติดข้อง ในความต้องการ ซึ่งไม่มีวันจบ!!!
คุณฟองจันทร์ คำถามต่อไปคือ ... ถ้าเพียงแต่เราจะคิดว่าการใส่บาตร ทำบุญ ก็เป็นการทำทานชนิดหนึ่ง กุศลย่อมได้จากการที่เราได้ทำทานส่วนนั้น ส่วนพระท่านจะมีอกุศลใด
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ ทำทานกับโจร ทำทานกับงูพิษ สัตว์ร้ายทั้งหลาย ดีไหม?
คุณฟองจันทร์ ไม่ดีอยู่แล้วค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การที่กล่าวว่า พระภิกษุท่านจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน แต่เราได้บุญนั้น จริงหรือ? เพราะเราส่งเสริมความไม่ดีไม่ใช่หรือ? ความไม่ถูกต้องไม่ใช่หรือ?
คุณฟองจันทร์ แต่เขาไม่รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่นี่รู้นี่คะ "ก็แล้วแต่ท่าน" ก็แสดงว่าเขารู้ "ท่านจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน" แต่ขอให้เขาได้บุญเถอะ ถ้าให้กับบุคคลที่มีคุณธรรม จะดีกว่าไหม? ให้ยาจก คนเข็ญใจ ไร้ทรัพย์ แต่ไม่ได้เป็นขโมยหรือเป็นโจร ดีกว่าไหม?
คุณฟองจันทร์ แล้วก็มีความคิดเห็นจากเพื่อนเขาค่ะ แสดงความคิดเห็นมาว่า "ศาสนาคงจะค่อยเลือนหายไปจากชีวิตประจำวัน ไม่มีพระ ไม่มีวัดเป็นที่ยึดเหนี่ยว
ท่านอาจารย์ ขอโทษค่ะ ศาสนาค่อยๆ เลือนหายไปจากความเข้าใจของผู้ที่ไม่ฟังและไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ใช่จากสิ่งอื่นเลย เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีพระภิกษุซึ่งไม่ศึกษาพระธรรมวินัย จะเป็นประโยชน์ไหม?ศาสนาลบเลือนหรือเปล่า? ในเมื่อแม้เป็นภิกษุ ก็ไม่ได้ศึกษาธรรมะ แล้วก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่ในพระธรรมวินัยด้วย อย่างนั้นพระศาสนาจะตั้งอยู่หรือ? ก็เลือนไปตั้งแต่ไม่ศึกษาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะไปเลือน ตอนที่ไม่มีภิกษุ!!
คุณฟองจันทร์ คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะก็คงจะเข้าใจแบบเดียวกันว่า ในเมื่อไม่มีวัดไม่มีพระเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่เตือนใจอยู่ ว่าเราชาวพุทธ เรานับถือพุทธศาสนาเป็นหน้าตา เป็นหัวใจ เป็นอะไรๆ ที่สามารถบ่งบอกว่านี่คือพุทธธรรม สถานที่เรานับถือ
ท่านอาจารย์ เข้าใจผิดทั้งหมดเลย!! เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง ตอนท้าย
คุณฟองจันทร์ ศาสนาคงจะค่อยเลือนหายไปจากชีวิตประจำวัน ไม่มีพระ ...
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมะวันนี้ เลือนหายไปหรือยังคะ ชีวิตประจำวัน เลือนไปทุกวันก็ไม่รู้!! ว่าแท้ที่จริงไม่มี ไม่ใช่ตอนที่ไม่มีวัด แต่ตอนนี้แหละ ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ศาสนาก็ไม่มีแล้ว สำหรับบุคคลนั้น!!
คุณฟองจันทร์ ต่อค่ะ ... ไม่มีวัด ไม่มีพระเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่เตือนใจว่าเรา ...
ท่านอาจารย์ ค่ะ ไปวัด ไปยึดเหนี่ยวอะไรคะ?
คุณฟองจันทร์ นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาเข้าใจค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจอะไร ถ้าถามว่าไปยึดเหนี่ยวอะไร? ตอบได้ไหม? สนทนาธรรมเพื่อความถูกต้อง เพื่อความแจ่มแจ้ง เพื่อความชัดเจน ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ไปวัด แล้วศาสนาจะลบเลือน ไปวัดแล้วยึดถืออะไร? ที่เมื่อกี้นี้กล่าว "ไม่มีวัดเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว" ยึดเหนี่ยวอะไร? ในเมื่อไม่ได้เข้าใจธรรมะ!!!
คุณฟองจันทร์ ค่ะใช่ค่ะ ข้อความต่อไป ... เป็นที่เตือนใจอยู่ว่าเราชาวพุทธ เรานับถือพุทธศาสนา เป็นหน้าตา เป็นหัวใจ เป็นอะไรๆ ที่สามารถ ...
ท่านอาจารย์ เป็นหน้าตาที่สวยงามหรือน่าเกลียด? (คนในห้องประชุมหัวเราะกันครืน) คะ? อ่านอีกครั้งสิคะ จะได้รู้
คุณฟองจันทร์ ไม่มีวัด ไม่มีพระเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่เตือนใจอยู่ว่าเราชาวพุทธ เรานับถือพุทธศาสนา เป็นหน้าตา เป็นหัวใจ เป็นอะไรๆ ที่สามารถบ่งบอกว่า นี่คือพุทธธรรม สถานที่เรานับถือ
ท่านอาจารย์ ทีนี้ แบ่งเป็นวรรคๆ เลยค่ะ
คุณฟองจันทร์ ไม่มีวัด ไม่มีพระ เป็นที่ยึดเหนี่ยว
ท่านอาจารย์ ค่ะแค่นี้ ไปวัดกันมาแล้วใช่ไหม? ยึดเหนี่ยวอะไร? ไม่มีคำตอบ!! แล้วก็พูด!! หมายความว่าอย่างไร? ต้องเป็นคนที่จริงและตรง ถ้าเข้าใจธรรมะ ประโยชน์กว่าไหม? ถ้าไปวัด แล้วมีอะไรบ้างที่วัด?
คุณปราณี อาจารย์คะ ที่ถามว่าในวัดยังมีอะไรอีก ก็มีตู้บริจาคเป็นสิบๆ ตู้เลยค่ะ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากัณฑ์เทศน์ ค่านักศึกษา
ท่านอาจารย์ ค่ากัณฑ์เทศน์นี่ก็ผิดแล้ว!!
คุณปราณี ค่าชำระหนี้สงฆ์ แล้วก็อื่นๆ อื่นๆ นี่หมายถึงได้หลายๆ อย่างเลย แล้วตู้ก็จะเยอะมาก
ท่านอาจารย์ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวหรือ?
คุณปราณี แล้วผู้ที่ไปนี่ก็ต้องการคำว่า ขอให้ทำแล้วก็ร่ำรวย มีความสุข
ท่านอาจารย์ เป็นที่ยึดเหนี่ยวหรือ? ถ้าเป็นที่ยึดเหนี่ยว ยิ่งผิด ไม่ได้เป็นเรื่อง "ละ" เลย ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อละความติดข้อง แต่คำใดก็ตาม ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อการละ คำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ไปได้ยินอย่างนั้น แล้วยึดเหนี่ยวหรือ? และเป็นไปได้หรือ? คำไม่จริงเลย อย่างคำว่า "จงรวย" จงรวยได้อย่างไร?
คุณปราณี ท่านอาจารย์คะ เยอะมากเลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "ต้องตรง" ถ้าไม่ตรงก็เป็นผู้ที่ไม่ได้สาระจากพระธรรม ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ ชาติต่อๆ ไป ก็จะเห็นผิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปประทับอยู่ ก็ไม่ไปเฝ้า เพราะเห็นผิด เข้าใจผิด เพราะฉะนั้น แม้แต่เป็นที่ยึดเหนี่ยว ก็ผิดแล้ว เป็นที่ยึดเหนี่ยวให้เข้าใจผิด ให้หลงผิดต่อไป เพราะว่า ไม่ได้มีคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
คุณปราณี ในยุคปัจจุบันนี้ ถ้าพูดตามความเป็นจริงก็คือ เงินเป็นพระเจ้าเลย เพราะคนยึดถือเงินมาก เงินมาเป็นอันดับต้นๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นพระหรือว่าประชาชนทั่วๆ ไป เงินเป็นต้นเหตุที่เขาต้องการมาก อย่างประชาชนที่ไปทำบุญก็อยากได้เงิน อยากให้ได้มีคำอวยพร กลับไปรวยๆ ค้าขายรวยๆ ทำอะไรก็รวยๆ อย่างนี้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พระศาสนาลบเลือนแล้วหรือยัง?
คุณปราณี ถ้าศึกษาก็รู้ว่า เลือนสำหรับผู้ที่ไม่ได้ศึกษาค่ะ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่า ไปวัดแล้วไม่มีพระ แล้วศาสนาจะลบเลือนเพราะไม่มีพระ แต่ว่า ลบเลือนเพราะไม่ได้เข้าใจธรรมะ!!!
คุณฟองจันทร์ สุดท้ายนี้สำคัญค่ะ เขาก็มีความเห็นว่า ... อีกหน่อย คำสอนก็คงจะเหลือแต่ในกูเกิ้ล
ท่านอาจารย์ ศึกษาหรือเปล่า? ถ้าศึกษาเมื่อไหร่ คำสอนก็มีอยู่เมื่อนั้น เข้าใจเมื่อไหร่ พระศาสนาก็ดำรงอยู่เมื่อนั้น ไม่ใช่แค่มี เหมือนพระไตรปิฎกในตู้พระไตรปิฎก
ข้อสำคัญที่สุด ประโยชน์ของการฟังแต่ละครั้ง ต้องเป็นผู้ที่ตรง มั่นคง จริงใจ การที่เราฟังธรรมะ เป็นส่วนที่จะทำให้พระพุทธศาสนาดำรงต่อไปได้ ถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมะแล้ว พระพุทธศาสนาก็ดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น จะถวายเงินพระอรหันต์ไหม? พระอรหันต์ นะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นะคะ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระอนุรุทธะ และพระภิกษุทั้งหลาย ไม่ว่ายุคไหน บวชเพื่อถึงความเป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้น หนทางที่จะต้องบริสุทธิ์ ต้องไม่ใช่หนทางรับเงินและทอง!! ถ้าเป็นหนทางที่รับเงินและทอง ไม่มีทางที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ให้เงินกับใคร คนนั้นไม่มีทางที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมะตามความเป็นจริง เพราะเป็นผู้ที่ไม่ตรง และ ไม่เคารพในพระวินัย ในพระธรรมด้วย
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชนต้องไตร่ตรอง ประโยชน์มหาศาลของพระธรรมแต่ละคำ จะดำรงอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อมีผู้ศึกษา เข้าใจ รู้จักความต่างกันของเพศคฤหัสถ์และบรรพชิต พร้อมที่จะเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ว่าสิ่งใดที่ควร ก็ให้รู้ทั่วกันว่าควร สิ่งใดที่ไม่ควร ก็ให้รู้กันทั่วไป ว่าไม่ควร
ในพระไตรปิฎก จะมีคำว่า "เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา" ถ้าไม่เข้าใจความจริงก็คิดว่า ทำสิ่งที่เลวร้ายมาก ไปเพ่งโทษคนนั้นคนนี้ แต่ ธรรมะเป็นเรื่องที่ตรง โทษต้องเป็นโทษ โทษจะเป็นคุณไม่ได้ จะเป็นประโยชน์ไม่ได้!!
เพราะฉะนั้น "เพ่งโทษ" คือ ให้รู้จริงๆ ว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ เมื่อรู้จริงๆ แล้ว "ติเตียน" ด้วย ไม่ใช่เข้าข้างกัน ใช่ไหม? ไม่เป็นไร สมัยนี้ ยุคนี้ เปลี่ยนมาแล้ว แต่ความจริงก็คิดให้ลึกซึ้งว่า จะถวายเงินพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? จะถวายเงินพระอรหันต์ไหม? เพราะผู้ที่บวชทุกคน เพื่อถึงการรู้แจ้งเป็นพระอรหันต์
เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นเพียงพระโสดาบัน รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคล ขั้นพระโสดาบัน ขั้นพระสกทาคามี ขั้นพระอนาคามีบุคคล ก็ยังไม่ต้องบวช
เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการบวช มีข้อความกล่าวไว้ "เพื่อถึงความเป็นพระอรหันต์" แล้วเราจะให้เงิน ถวายเงิน พระอรหันต์ไหม? นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างต้องตรงตามความเป็นจริง!!
และถ้าพูดถึง "หน้าตา" ของประเทศ หรือ หน้าตาของโลก หรือ หน้าตาของอะไรก็ตาม หน้าตาของพระพุทธศาสนา หน้าตาไหน? จะใส่หน้ากากไหน? หรือว่า หน้าไหน? เป็นหน้าที่บริสุทธิ์ ผ่องใส เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพ กราบไหว้
เพราะฉะนั้น หน้าตาของพระศาสนาหรือของประเทศ ไม่ใช่อยู่ที่มีผู้ที่ประพฤติผิดพระวินัย และ ไม่ศึกษาพระธรรม นั่นไม่ใช่หน้าตาของประเทศเลย แต่ประเทศจะมีหน้าตาเป็นที่เคารพ สรรเสริญ ก็ต่อเมื่อ มีผู้ที่เป็นบรรพชิตและพุทธบริษัท ศึกษาพระธรรม และ สำหรับผู้ที่เป็นพระภิกษุ ต้องประพฤติตามพระวินัย พร้อมเมื่อไหร่ งามเมื่อนั้น เป็นที่สรรเสริญ เป็นหน้าตาของประเทศ แน่นอน ...
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณสมศักดิ์ คุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์ และเพื่อนๆ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาขอบพระคุณคุณสมศักดิ์ คุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์และเพื่อนๆ พร้อมทั้งคุณวันชัย ภู่งามค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุๆ ๆ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณสมศักดิ์ คุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์ และเพื่อนๆ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งามเป็นอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณสมศักดิ์ คุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์ และเพื่อนๆ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ