๖. อุปสาฬหกชาดก ว่าด้วยคุณธรรมที่ไมี่ตายไปจากโลก
โดย บ้านธัมมะ  21 ส.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 35580

[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 103

๖. อุปสาฬหกชาดก

ว่าด้วยคุณธรรมที่ไม่ตายไปจากโลก


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 103

๖. อุปสาฬหกชาดก

ด้วยคุณธรรมที่ไม่ตายไปจากโลก

[๑๘๑] พราหมณ์ชื่อว่าอุปสาฬหกทั้งหลาย ถูกญาติทั้งหลายเผาเสียในประเทศนี้ ประมาณหมื่นสี่พันชาติแล้ว สถานที่อันใครๆ ไม่เคยตายแล้ว ย่อมไม่มีในโลก

[๑๘๒] สัจจะ ๑ ธรรม ๑ อหิงสา ๑ สัญญมะ ๑ ทมะ ๑ มีอยู่ในบุคคลใด พระอริยะทั้งหลายย่อมคบหาบุคคลนั้น คุณชาตินี้แลชื่อว่าไม่ตายในโลก.

จบ อุปสาฬหกชาดกที่ ๖

อรรถกถาอุปสาฬหกชาดกที่ ๖

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภพราหมณ์ผู้ถือความบริสุทธิ์ของป่าช้า ชื่ออุปสาฬหกะ.

มีเรื่องได้ยินมาว่า พราหมณ์นั้นเป็นผู้มั่งคั่งมีทรัพย์มาก แต่เพราะค่าที่ตนเป็นคนเจ้าทิฏฐิ จึงมิได้ทำการสงเคราะห์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย แม้ประทับอยู่ ณ พระวิหารใกล้ๆ. แต่บุตรของเขาเป็นคนฉลาด มีความรู้. พราหมณ์บอกบุตรเมื่อตัวแก่เฒ่าว่า นี่แน่ลูก เจ้าอย่าเผาพ่อในป่าช้าที่เผาคนเฉาโฉดแต่ควรเผาพ่อในป่าช้าที่ไม่ปะปนกับใครๆ แห่งหนึ่ง. บุตรกล่าว


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 104

ว่า พ่อจ๋าลูกไม่รู้จักที่ที่ควรเผาพ่อ ทางที่ดีพ่อพาลูกไปแล้วบอกว่าให้เผาตรงนี้. พราหมณ์พูดว่า ดีละลูกแล้วพาบุตรออกจากเมืองขึ้นไปยังยอดเขาคิชฌกูฎ กล่าวว่าลูกตรงนี้แหละเป็นที่ที่ไม่เคยเผาคนเฉาโฉดอื่น. ลูกควรเผาพ่อตรงนี้แล้วก็เริ่ม ลงจากภูเขาพร้อมกับลูก.

ในวันนั้นเวลาใกล้รุ่งพระศาสดาทรงตรวจดูเผ่าพันธุ์ผู้ที่ควรโปรดได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยโสดาปัตติมรรคของพ่อลูกนั้น เพราะฉะนั้น จึงทรงถือเอาทางนั้นเสด็จไปยังเชิงภูเขาดุจพรานชำนาญทาง ประทับนั่งรอพ่อลูกลงจากยอดเขา. พ่อลูกลงจากภูเขาได้เห็นพระศาสดา. พระศาสดาทรงกระทำปฏิสันถารตรัสถามว่า จะไปไหนกันพราหมณ์. มาณพกราบทูลเนื้อความให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นมาเถิด เราจะไปยังที่ที่บิดาของเจ้าบอก ทรงพาพ่อลูกทั้งสองขึ้นสู่ยอดเขาตรัสถามว่า ที่ตรงไหนเล่า. มาณพกราบทูลว่า บิดาของข้าพระองค์บอกว่า ระหว่างภูเขาสามลูกนี่แหละพระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมาณพบิดาของเจ้ามิใช่ถือความบริสุทธิ์แห่งป่าช้าในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนบิดาของเจ้าก็ถือความบริสุทธิ์แห่งป่าช้า อนึ่งบิดาคนนี้บอกเจ้าว่าจงเผาเราตรงนี้แหละมิใช่เวลานี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็บอกที่สำหรับเผาตนในที่นี้เหมือนกัน เมื่อเขากราบทูลอาราธนาจึงทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 105

ในอดีตกาล ที่กรุงราชคฤห์นี้แหละ ได้มีพราหมณ์ชื่ออุปสาฬหกะคนเดียวกันนี้แหละ และบุตรของเขาก็คนเดียวกันนี้. ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ แคว้นมคธ ครั้นจบศิลปศาสตร์แล้ว จึงออกบวชเป็นฤาษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิด เพลิดเพลินอยู่ด้วยฌานกรีฑา อาศัยอยู่ในหิมวันตประเทศเป็นเวลาช้านาน แล้วจึงไปพักอยู่ ณ บรรณศาลาใกล้ภูเขาคิชฌกูฎ เพื่อเสพของเค็มของเปรี้ยว. ในครั้งนั้น พราหมณ์นั้นได้บอกกะบุตรทํานองเดียวกันนี้แหละ เมื่อบุตรกล่าวว่า พ่อจงบอกที่เช่นนั้นแก่ลูกเถิด. แล้วบอกที่นี้แหละ แล้วลงไปพบพระโพธิสัตว์พร้อมกับบุตร ได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์ถามทํานองเดียวกันนี้แหละ. ครั้นฟังคำของมาณพแล้ว จึงกล่าวว่า มาเถิดเราจะรู้ว่าที่ที่บิดาเจ้าบอกปะปนหรือไม่ปะปน แล้วพาบิดาและบุตรขึ้นไปยอดภูเขา เมื่อมาณพกล่าวว่า ระหว่างภูเขาสามลูกนี้แหละ เป็นที่ไม่ปะปน จึงตอบว่า ดูก่อนมาณพในที่นี้แหละไม่มีปริมาณของผู้ที่ถูกเผา บิดาของเจ้านั่นเองเกิดในตระกูลพราหมณ์เมืองราชคฤห์นี้แหละ ชื่ออุปสาฬหกะอย่างเดียวกัน ถูกเผาในระหว่างภูเขานี้มาแล้วถึงหมื่นสี่พันชาติ. อันที่จริง สถานที่ที่ไม่ถูกเผาก็ดี สถานที่ที่ไม่ใช่ป่าช้าก็ดี สถานที่ที่ศีรษะไม่ทอดลงก็ดี ไม่อาจหาได้ในแผ่นดิน แล้วกำหนดด้วยญาณอันรู้ถึงภพของสัตว์ที่อยู่อาศัยในชาติก่อน (บุพเพนิวาสญาณ) จึงกล่าวสองคาถาว่า :-


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 106

พราหมณ์ชื่อว่า อุปสาฬหกะทั้งหลายถูกญาติทั้งหลายเผาเสียในประเทศนี้ ประมาณหมื่นสี่พันชาติแล้ว สถานที่อันใครๆ ไม่เคยตายแล้วย่อมไม่มีในโลก. สัจจะ ธรรมะ อหิงสา สัญญมะ และทมะมีอยู่ในบุคคลใด พระอริยะทั้งหลายย่อมคบหาบุคคลนั้น คุณชาตินี้แลชื่อว่า ไม่ตายในโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนามตํ ได้แก่ จริงอยู่สถานที่อันไม่ตายท่านเรียกว่า อมตะด้วยการเปรียบเทียบ. เมื่อจะปฏิเสธข้อนั้น จึงกล่าวว่า อนามตํ (ที่ที่ไม่เคยตาย). บาลี เป็น อมตํ ก็มี อธิบายว่า ชื่อว่าที่อันไม่ใช่สุสาน อันเป็นที่ที่ใครๆ ไม่เคยตายไม่มีในโลก. บทว่า ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺมโมจ ได้แก่ ญาณคือสัจธรรมอันเป็นส่วนเบื้องต้น มีอริยสัจสี่เป็นพื้นฐาน และโลกุตรธรรมมีอยู่ในบุคคลใด. บทว่า อหึสา ได้แก่ การไม่เบียดเบียน กิริยาที่ไม่เบียดเบียนต่อผู้อื่น. บทว่า สญฺโม ได้แก่การสำรวมด้วยศีล. บทว่า ทโม ได้แก่การฝึกอินทรีย์. คุณชาตินี้แลมีอยู่ในบุคคลใด. บทว่า เอตทริยา เสวนฺติ ความว่า พระอริยะทั้งหลาย ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ สาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมเสพฐานะนี้คือ ย่อมเข้าไปหา ย่อมคบบุคคลชนิดนี้. บทว่า เอตํ โลเกอนามตํ ได้แก่ คุณชาตินั้นชื่อว่าอมตะ เพราะให้สำเร็จถึงความไม่ตาย.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 10 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 107

พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่สองพ่อลูกอย่างนี้แล้ว เจริญพรหมวิหารสี่มุ่งต่อพรหมโลก. พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก.

เมื่อจบสัจธรรม พ่อลูกทั้งสองตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. พ่อลูกในครั้งนั้นได้เป็นพ่อลูกในบัดนี้. ส่วนดาบสคือเราตถาคต นี้แล.

จบ อรรถกถาอุปสาฬหกชาดกที่ ๖