ดิฉันขอเรียนถาม ท่านวิทยากรค่ะ
เมื่อต้องอยู่กับหัวหน้าที่เคยอยู่ระดับเดียวกันมา เวลาเราเสนอความเห็นเรื่องงานมักถูกตะโคกใส่และพูดจาหยาบใส่อยู่บ่อยๆ จะทำอย่างไรดีค่ะ เพราะต้องเจอกันทุกวัน ดิฉันถามแทนคนอื่นค่ะ เผื่อจะช่วยให้เขาหายเครียดได้ค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เริ่มค่อยๆ เข้าใจความจริงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร นี่คือหนทางเดียวที่จะละ ดับกิเลสได้จริง พระองค์ทรงแสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีจริง เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เสียงเป็นเสียง ไม่ใช่เรา คิดมีจริง ไม่ใช่เราคิด เป็นธรรมและโกรธเกิดแล้ว เป็นธรรมไม่ใช่เรา และที่สำคัญที่สุด คือ เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ หนทางจึงเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วว่าเป็นธรรม นี่คือหนทางละกิเลสที่ถูกต้องตามพระพุทธศาสนา อันเป็นเรื่องของปัญญา ความเข้าใจถูก ซึ่งขอยกคำบรรยาย ท่าน อ.สุจินต์ที่ได้อธิบายในประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดี ครับ
ท่าน อ.สุจินต์...ขอยกตัวอย่างเรื่องของคุณแก้ว กำลังโกรธ ขันติอยู่ตรงไหน มีโอกาสจะเกิดไหม แต่ถ้ามีก็ขณะนั้นรู้ว่าเป็นอกุศล ขณะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่นอนสภาพนั้นกำลังเกิดขึ้นเป็นอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ดี นั่นคือแค่นั้นนิดเดียว แต่ขันติยิ่งกว่านั้นขณะที่โกรธเกิดขึ้น อยากจะไม่โกรธ หรือรู้ตามความเป็นจริงว่านั่นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ขันติอย่างไหน เพราะฉะนั้นขันติก็คือไม่เป็นไปตามกำลังของโลภะหรือความต้องการที่จะไม่ให้โกรธ พยายามหาวิธีต่างๆ ที่จะไม่โกรธ นั่นเป็นแล้วตามกำลังของโลภะ ไม่ใช่ขันติเลย เพราะเหตุว่าเป็นเราที่ต้องการที่จะไม่โกรธ แต่ขันติจริงๆ อกุศลกำลังปรากฏให้เห็น และมีขันติที่จะอดทนที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะนั้นตามความเป็นจริงว่าป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ลักษณะนี้เปลี่ยนไม่ได้เลย
ขันติเป็นตบะอย่างยิ่งที่จะเผาความไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นได้ว่าจริงๆ เมื่อความโกรธเกิดขึ้นเราเป็นไปด้วยตัวตนที่ไม่อยากจะโกรธ อยากจะให้ความโกรธนั้นหมดไป หรือขันติที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นสิ่งที่สามารถจะเห็นถูก เข้าใจถูก ว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง อันนี้เป็นความอดทนจริงๆ เพราะรู้ว่าไม่ง่ายที่จะเกิดใช่ไหม ต้องเป็นความอดทนที่จะเข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ไม่ใช่ไปไม่อยากจะให้สิ่งนั้นมี อยากจะให้หมดไปเร็วๆ
ผู้ถาม ตรงที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาแยกตรงนี้หมายความถึงว่าขณะที่ขันติอยากจะหาหนทางที่จะอดกลั้น อดทนในเรื่องความโกรธ อันนั้นเป็นโลภะ
สุ. คือพอที่จะเข้าใจความจริง คือเราจะไม่วิจัย วิจารณ์สภาพธรรม แต่จะเข้าใจลักษณะของธรรมแต่ละอย่าง เพื่อที่จะได้รู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมอะไรอย่างถูกต้อง แทนที่จะมาใคร่ครวญคิดว่านั่นเป็นนี่ นี่เป็นนั่น
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจว่าเวลาโกรธเกิดขึ้น ถ้ามีขันติความอดทนเป็นกุศลเกิดขึ้น ก็สามารถที่จะเข้าใจลักษณะนั้นเป็นสภาพที่ไม่ดี ขณะที่เห็นถูกว่าลักษณะนั้นเป็นอกุศล เป็นสิ่งที่ไม่ดี นั่นระดับหนึ่ง แต่ระดับที่มีความอดทนที่จะรู้ว่าลักษณะนั้นเป็นธรรมชนิดหนึ่ง ลักษณะนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เวลาที่เราพูดถึงโทสะ เราก็เอ่ยลักษณะหยาบกระด้าง ขุ่นเคืองประทุษร้ายหลายๆ อย่าง นั่นเป็นเรื่องราว แต่เวลาที่สภาพธรรมนั้นกำลังปรากฏตัวจริงคืออาการหยาบกระด้างดุร้าย ความอดทนที่จะรู้ว่าลักษณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ก็ต้องเป็นความอดทนที่มากกว่า ที่จะหันไปทางให้กุศลจิตเกิดแทนอกุศล เพราะเหตุว่าแม้อย่างนั้นก็ไม่ใช่การที่จะดับการเห็นผิดที่จะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้
ผู้ถาม ขณะที่กำลังโกรธก็มีหลายระดับที่ว่า ถ้าเผื่อไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องโกรธก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึง แต่ว่าขณะที่เราได้ยินเรื่องโกรธว่าโกรธไม่ดี หรือว่าอาการโกรธนี่เกิดทำให้ปวดหัว หรือว่าเราตาพล่า หรือว่าเราใจสั่นอะไรอย่างนี้ เราไปนึกถึงโทษของโกรธ แต่ขณะที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงตรงนี้ ปัญญาไปรู้สภาพของโกรธว่าโกรธเกิดไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล อะไรทั้งสิ้น อันนั้นเป็นเรื่องของปัญญา แต่ว่าเรายังคงติดอยู่ในตอนที่ว่า จะหาทางให้ดับโกรธได้อย่างไร
สุ. เรื่องของสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดหลากหลายละเอียดมาก แม้แต่การคิดนึกจะเกิดคิดอย่างไร เห็นโทษไม่อยากจะมีก็คือรักตัว เพราะว่าไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น บางคนจะไม่รู้ตัวเลย ศึกษาธรรมเพราะรักตัว ไม่อยากจะไม่ให้ตัวมีอย่างนั้นตัวมีอย่างนี้ที่เป็นอกุศล ไม่อยากจะให้ตัวมีความเก่งหรือมีความรู้ นั่นก็คือด้วยความรักตัว กว่าจะเป็นผู้ที่ตรงเพื่อรู้เพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกลักษณะของสภาพธรรมเท่านั้นเอง และปัญญาที่เห็นถูกก็จะทำหน้าที่ของเขา เพราะเหตุว่าปัญญาไม่มีโทษเลย ทุกอย่างที่มีปัญญาเป็นผู้นำก็จะนำไปในทางที่เป็นกุศลยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ด้วยความรักตัว พอโกรธเกิดแล้ว ทำร้ายตัวเองนะ รักตัวขึ้นมาแล้ว เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง ต้องเข้าถึงความลึกซึ้งของธรรม แม้อริยสัจ ๔ ลึกซึ้งทั้ง ๔ บางคนก็จะคิดถึงอริยสัจที่ ๓นิโรธว่าเป็นนิพพานเท่านั้นใช่ไหม แต่ว่าจริงๆ แล้วทั้ง ๔ นี่ลึกซึ้ง แม้แต่สภาพธรรมที่กำลังเกิดดับซึ่งเป็นทุกข์ขณะนี้ก็ลึกซึ้ง เพราะว่าถ้าไม่ใช่ปัญญาก็เห็นไม่ได้
ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาอ.เผดิมค่ะ ที่ส่งธรรมที่เป็นความจริงให้พิจารณา แต่ถ้าคนไม่เคยศึกษาธรรมมาก่อนเกรงว่าจะไม่เข้าใจความจริงตามนี้ซิค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตยกคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อีกช่วงหนึ่งให้ได้พิจารณาถึงความเป็นจริง ดังนี้
"คนที่เคยไม่ระวังคำพูด พูดจาฟังไม่ได้เลย รู้ไหมว่าขณะนั้นคนฟังเดือดร้อน คนพูดไม่คิดเลย มีกำลังของกิเลสที่จะพูด แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นเดือดร้อนเพราะคำนั้น โดยเฉพาะผู้ที่ช่วยทำกิจการงานในบ้านใช่ไหม? บางคนก็พูดไม่นึกถึงใจของเขาเลย งานจะสำเร็จเพราะเขาเข้าใจถูกว่าเขาจะทำอย่างไร แต่ถ้าเขาไม่เข้าใจ ไปดุเขาทำไม ไปใช้วาจาแรงๆ ทำไม ค่อยๆ พูด ค่อยๆ บอก รู้ว่าเขาไม่รู้ ก็ค่อยๆ สอนเขาให้ทำได้ ด้วยวาจาที่น่าฟัง ผลออกมาเท่ากัน หรือจะดีกว่าก็ได้ และ ใจของบุคคลที่พูดก็ผ่องใส เพราะช่วยให้คนอื่นเกิดความเข้าใจ ไม่ใช่ไปประทุษร้ายเขา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจาก็ดี สมาทานถือมั่นด้วยดีว่าต่อไปนี้เราจะไม่พูดคำหยาบ จะไม่พูดคำไม่จริง ใครบ้างชอบคำไม่จริง ไม่มีใครชอบ ใช่ไหม? แล้วคนนั้นไปพูดคำที่ไม่จริงให้คนอื่นเข้าใจผิด สมควรหรือ เพราะเราเองยังไม่ชอบเลย ถ้าใครพูดคำไม่จริงกับเรา เพราะฉะนั้น ก็เห็นคุณของกายวาจาที่เป็นกุศลมากขึ้น"
แต่ละคน ก็แตกต่างกันตามการสะสม เรื่องของคนอื่น ก็เป็นเรื่องของคนอื่น แต่หน้าที่ของเรา คือ อดทน ทำสิ่งที่ถูกต้องดีงาม รักษาจิตของตน ด้วยความเข้าใจพระธรรม และทำหน้าที่ของตนให้ดีต่อไป ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาสาธุครับ ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ก็เป็นผลของอกุศลกรรม ทุกอย่างเป็นสภาพธรรมครับ ผมโดนประจำแหละเรื่องคำพูด เจ็บจนชินละ โดยเฉพาะกับแม่กับคนในครอบครัวนี้ประจำ บางทีเราทำไปด้วยความรักความหวังดีนะ แต่ก็โดน อย่างล่าสุดไม่กี่วันที่ผมตั้งหัวข้อไป ก็ประมาณว่าแม่ผมไม่สบาย ผมก็อุตส่าห์ไปศึกษาค้นคว้ายาสมุนไพร พืชสมุนไพรดูว่าตัวไหนน้อมันจะช่วยบรรเทาอาการแม่ได้ ด้วยความรักก็อุตส่าห์เสนอด้วยความหวังดีเนาะ แม่ลองไปหาสมุนไพรแบบนี้ดูเนาะ แนะนำไป โดนตวาดจนหน้าชา ผมก็โดนมาแล้ว เลยรู้สึกว่าทำดีแต่ก็ซวย โชคดีที่ผมเป็นสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ได้รับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ ทำให้ผมมีธรรมเป็นที่พึ่ง ได้เข้าใจความจริง สิ่งที่เราเผชิญทุกอย่างในชีวิตมันเป็นผลกรรมแต่อดีต มันมาให้ผลในปัจจุบัน แต่ความดีที่เราทำในปัจจุบันมันยังไม่ให้ผล ผมคิดว่า เราก็ศึกษาพระธรรมและทำดีไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปหวังว่าเมื่อไหร่ความดีจะให้ผล เราแค่มาศึกษาธรรมเพื่อจะได้รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นอนัตตา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะได้มั่นคงว่าขณะนั้นเป็นธรรมะ ผมนี้มีบทเรียนตลอดในชีวิตผมครับ ถึงจะมีกุศลวิบากที่ได้มีโอกาสฟังธรรม แต่อกุศลวิบากก็มาก คำพูดทิ่มแทงจิตใจมักโดนบ่อยครับ โดยเฉพาะคนที่เรารัก คนในครอบครัวมักทำกับเรา มันเจ็บปวดครับ ผมก็อายุแค่ยี่สิบกว่า แต่เคยโดนเรื่องคำพูดเยอะ ล่าสุดเมื่อกี้ก่อนจะเข้ามาบ้านธัมมะก็โดนครับ ถึงได้เข้ามา มาเจอหัวข้อของคุณ yu_da2554 เลยเข้ามาอ่านสักหน่อย คือ ผมทานชอกโกแล็ตอยู่แล้วด้วยความมีน้ำใจก็อยากแบ่งให้แม่ได้รับประทาน แต่แม่แกกำลังดู ipad อยู่ พอผมจะแบ่งชอกโกแล็ตให้ปุ๊บ โดนด่าสวนทันทีจ้า ผมรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวมาก คือ ไม่เอาไม่เป็นไรนะ ผมก็ไม่ได้บังคับไง นี่แหละ แต่ทำไมต้องมาดุใส่ ขึ้นเสียงใส่ด้วยอารมณ์โมโห ประมาณว่าอย่าไปยุ่งกับชีวิตเค้าได้ไหม แม่มีมือแม่ทำเองได้เนาะ ประมาณนี้ ผมก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักนึงแหละครับ โกรธก็โกรธ แต่ก็ไม่อยากล่วงเกินแม่ นี่แหละครับถึงบอกว่าผมโดนประจำ ถ้าคุณ yu_da จะไปแนะนำเพื่อนคนนั้นที่ฝากถามคำถามว่าโดนหัวหน้าด่าในที่ทำงานประจำทำอย่างไร ก็ลองแนะนำให้เขาเข้าใจธรรม แนะนำให้เขาเข้ามาฟังธรรมของมูลนิธิดูครับ ถ้าผมไม่มีบ้านธัมมะเป็นที่พึ่งนะ ป่านนี้ผมอาจจะกลายเป็นคนเก็บกดก้าวร้าวไปแล้วก็ได้ อาจจะวิปลาสไปแล้วก็ได้ เพราะจะไม่มีใครชี้แนะครับ
กราบขอบพระคุณอ.เผดิมและอ.คำปั่น และคุณapiwit ที่กรุณาแนะนำธรรมเตือนใจสำหรับคนที่กำลังทุกข์ใจ ถ้าเขามีกุศลที่เข้าใจธรรมที่แนะนำ คงอดทนได้ต่อไป ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาในกุศลทุกๆ คำแนะนำที่ดีค่ะ ช่างน่าสงสารและเห็นใจในอกุศลที่เกิดขึ้น แก่ผู้กล่าววาจาไม่ไพเราะ ขณะที่กล่าวคำไม่ดีออกมา คือ การสะสมอกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ยากจะเห็นกิเลสในตนเอง หากผู้ฟังไม่มีกิเลสที่เคยได้สะสมมา และสามารถเจริญเมตตาต่อเจ้านายท่านนั้นได้ ก็เพียงแต่เข้าใจในธรรมดาของเจ้านายท่านนั้น และขออย่าให้เป็นตัวเองที่ได้ทำอกุศลนั้นเลย
ยินดีในกุศลจิตของข้อเสนอแนะของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ