ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันพุธที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากร อ.สงบ เชื้อทอง อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ อ.กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ อ.วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย และ เพื่อนสมาชิกชมรมฯ คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล คุณจรรยา ปิ่นประดับ คุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์ และ คุณพนัสดา อิศรางกูร ณ อยุธยา เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ ห้องมรกต โรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ สวนสามพราน นครปฐม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๓๐ น.
ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ ๒ ที่ท่านเจ้าภาพและเพื่อนๆ ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมขึ้น ณ โรงแรม สามพราน ริเวอร์ไซด์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณสวนสามพราน แห่งนี้ สำหรับท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมภาพและความการสนทนาในครั้งที่แล้ว ได้ที่นี่ครับ
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ สามพราน ริเวอร์ไซด์ นครปฐม ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๗
สำหรับการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ท่านเจ้าภาพได้เชิญสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรม เป็นจำนวนมากกว่าครั้งที่แล้ว จึงได้เปลี่ยนจากห้องเดิมเมื่อปีที่แล้ว มาเป็นห้อง มรกต ซึ่งใหญ่โตกว้างขวางกว่า และ ในเวลาพักกลางวัน ท่านเจ้าภาพก็ได้จัดให้ทุกท่านที่เข้าร่วมรับฟังการสนทนา รับประทานอาหารกลางวัน ที่ห้องอาหารแวนด้า ซึ่งเป็นอาหารบุฟเฟต์นานาชาติ เช่นเคย เป็นความสะดวกสบาย ที่ท่านเจ้าภาพจัดเตรียมไว้ด้วยกุศลจิต กุศลศรัทธา เป็นอย่างยิ่ง อันดับต่อไป จึงจะขอนำความการสนทนาในตอนบ่ายของวันนั้น มาให้ทุกๆ ท่าน ทั้งที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมฟัง และไม่มีโอกาสเข้าร่วมฟัง ได้พิจารณา ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องของการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง จะมีขึ้น เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นความละเอียดของพระธรรม ที่หากไม่มีการศึกษาให้เข้าใจจริงๆ แล้ว การปฏิบัติที่ถูกย่อมมีไม่ได้ แน่นอน หากทุกท่านที่ได้ติดตามท่านอาจารย์สนทนาในระยะนี้มาโดยตลอด จะเห็นว่า ท่านอาจารย์เมตตากล่าวเตือนเรื่องการปฏิบัติผิด ที่เกิดขึ้นมากมาย ในปัจจุบัน ว่าไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่ด้วยความไม่รู้และความติดข้องต้องการในผล ไม่มีการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ จึงมีความเห็นผิด ไปหลงทำในสิ่งที่ผิด ซึ่งไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้ความจริงได้เลย
ท่านอาจารย์ จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ในคำพูด เช่นคำว่า ศาลา กับคำว่า ปฏิบัติธรรม ถ้ายังไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร และ ธรรมะ เป็น อนัตตา แล้ว ปฏิบัติ คือ อะไร? เพราะฉะนั้น ปฏิบัติธรรม ที่เข้าใจกัน คือ อะไร? ไม่ใช่เป็นการเข้าใจธรรมะเลย แต่เป็นการ "ทำ" ตามความคิดของแต่ละคน ที่คิดว่า เมื่อ "ทำ" แล้ว ก็คิดว่าจะเข้าใจธรรมะ บางคนก็คิดว่า จิตจะสงบ บางคนก็คิดว่า จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ นั่นเป็น "ความคิด" ของแต่ละคน แล้ว "ความจริง" ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คือ อะไร?
ถ้าไม่มีปริยัติ ไม่มีการฟังพระธรรม ที่พระองค์ทรงแสดง "ให้เข้าใจ" แล้วจะปฏิบัติธรรมะ ได้หรือ? ตามที่ทำๆ กัน? เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความหมาย ของคำว่า " ระดับของความเข้าใจคำสอน ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า " ไม่ใช่คำสอนของใครคนใดคนหนึ่ง หรือ ไม่ใช่คำสอนของ "คนอื่น" แต่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ระดับความเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่า พอได้ยินที่พระองค์ทรงแสดง แล้วก็รู้เลยทันที
เช่น บอกว่า ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ ปรากฏ เมื่อเกิด และ เมื่อปรากฏแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงโดยนัยของธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง แสดงโดยนัยของธาตุ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรมะนั้นได้เลย แสดงโดยลักษณะของขันธ์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดแล้ว ต้องดับไป เป็นธรรมดา นี่แสดงว่า "ทุกคำ" ต้อง "เข้าใจ" แล้วไม่เปลี่ยน ขณะนี้ "เห็น" เกิดขึ้น "เห็น" แล้วดับ เปลี่ยนไม่ได้!!! เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจความจริง
เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟัง ผู้ฟังก็ไตร่ตรอง ใครเป็นคนพูด? พูดโดยประจักษ์ความจริงนี้ หรือว่า "คิดเอาเอง?" ซึ่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ไม่ใช่คิดเอง" บางคน คิดว่า พระองค์คิด ไตร่ตรอง แล้วก็สอน เป็นเหตุเป็นผล ดีมาก แต่ นั่นไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ คิด เพียงแค่คิด ไม่สามารถที่จะเห็นถูกถึงการที่สภาพนี้เกิดแล้วดับ ใครจะบอกว่า "เห็น" ไม่เกิด ได้ไหม? ในเมื่อ กำลังเห็น!!! และ พอเห็นแล้วก็ดับ ใครจะบอกว่า เห็นไม่ดับ ได้ไหม? ก็ต้องค่อยๆ พิจารณา ว่า ทุกวัน เห็นมามาก แต่ ไม่ได้คิดถึง "เห็น" เลย เมื่อกี้ ใครคิดถึง "เห็น" บ้าง? เดี๋ยวนี้ ใครคิดถึง "เห็น" บ้าง? "กำลังเห็น" ก็ไม่เคยสนใจที่จะรู้ความจริงของ "เห็น"
แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็รู้ว่า เกิดมา ไม่มีอะไรเลย นอกจากต้อง "เห็น" ไม่เคยขาดเลย ได้ยิน, ได้กลิ่น, ลิ้มรส, รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้ว คิดนึก แม้ ขณะนี้!!! ก็ "คิดนึก" ถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ "จำไว้" ด้วย แต่ว่า การที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ไม่ใช่เพียงแค่ ได้ยินได้ฟัง" แล้วก็ "คิดเอง" ว่า เมื่อตรัสว่าอย่างนี้ เราก็จะไปปฏิบัติ เพื่อให้รู้ว่า ขณะนี้ สภาพธรรมะเกิดดับ นี่คือ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า "ความรู้" ไม่ว่าความรู้ใดๆ ก็ตาม ต้องเกิดขึ้น ตามลำดับ
เพราะฉะนั้น พระธรรมคำสอน การเข้าใจพระธรรม ซึ่งลึกซึ้งแน่นอน ถ้าไม่ลึกซึ้ง ใครๆ ก็รู้ได้!!! แต่ว่า แม้จะได้ยิน ได้ฟัง ยังยาก ได้ยินแล้ว ก็ยังยากที่จะเห็นตาม เข้าใจตาม ด้วยเหตุว่า แต่ละคำที่ตรัส ไม่ใช่คำของคนอื่น เพราะฉะนั้น "คนอื่น" จะสามารถเข้าใจคำนั้น โดยที่ว่า "คิดตาม" ก็ยังยาก!!!
เช่น ขณะนี้ มี "ธาตุ" ซึ่งไม่รู้อะไร มีจริงๆ อย่าง "แข็ง" "แข็ง" ไม่รู้อะไร ถ้ามีแต่ "แข็ง" มีแต่ "เสียง" มีแต่ "กลิ่น" โดยไม่มี "ธาตุที่กำลังรู้" "สิ่งนั้น" ก็ไม่ปรากฏว่า มี เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆ ขณะนี้ "แข็ง" ก็ปรากฏได้ โดยไม่มี "สภาพธรรมะ" ที่กำลัง "รู้แข็ง" แต่ที่แข็ง จะปรากฏว่ามีแข็งจริงๆ ก็ต่อเมื่อมี "ธาตุ" ที่กำลัง "รู้แข็ง" รู้จริงๆ ว่า ตรงนั้นแหละ "แข็ง" ลักษณะนั้น ไม่ต้องพูด ก็แข็ง "ธาตุรู้" กำลัง "รู้แข็ง" แต่ใครรู้บ้าง ว่าขณะนั้น "ไม่ใช่เรา" "เห็น" กระทบสัมผัส มี "แข็ง" "เป็นเรา" ไปหมดเลย
เพราะฉะนั้น แม้แต่การจะฟังให้เข้าใจ ก็ยังยาก เพราะเหตุว่า ปัญญา ต่างกัน ประมาณไม่ได้เลย น้ำ กับ ฟ้า ลองคิดดู!!! ห่างกันสักแค่ไหน? "ฝั่งนี้" ของมหาสมุทร กับ "ฝั่งโน้น" ของมหาสมุทร มองไปสุดสายตา ก็ยังไม่เห็นฝั่งของมหาสมุทร เพราะฉะนั้น ปัญญา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงธรรมะ "แต่ละคำ" มีความหมาย จากการที่ เมื่อทรงตรัสรู้อย่างไร ประจักษ์แจ้งอย่างไร ทรงแสดงความจริงอย่างนั้น!! ซึ่งเป็นแต่เพียงส่วนน้อย ของพระปัญญา อุปมาด้วยพระองค์เอง เหมือนใบไม้สองสามใบ ในกำมือ แต่พระปัญญา เหมือนใบไม้ในป่า
เพราะฉะนั้น การที่จะฟังธรรมะให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่า ฟังแค่นี้ แล้วก็ไปปฏิบัติ ไปสร้างสำนักปฏิบัติ ศาลาปฏิบัติ หรือ อะไรก็แล้วแต่ ด้วยความเข้าใจผิด ประมาท ในคำสอนที่ลึกซึ้ง แล้วก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ที่จะให้ใครไปปฏิบัติ แต่ ทรงแสดงความจริง ให้ผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ไตร่ตรอง จนกระทั่ง เป็นปัญญาของตนเอง
"ปัญญา" นี้ ใครก็ให้ใคร ไม่ได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก็ตรัสว่า พระองค์ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความเห็นผิด ให้กลับเป็นความเห็นถูกได้ คนไม่มีศรัทธา เปลี่ยนให้เป็นผู้มีศรัทธา ก็ไม่ได้ นอกจากพระธรรม ที่ได้ทรงแสดงความจริงไว้ ทั้งหมด โดยประการทั้งปวง ให้คนที่ ได้ยิน ได้ฟัง ไตร่ตรอง จนกระทั่ง เป็นความเข้าใจของตนเอง เป็นสมบัติที่ประเสริฐยิ่ง ในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งอยู่ในความมืด เกิดมาแล้ว ก็จากโลกนี้ไป แต่ไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจถูกต้อง ว่าต้องเกิดอีก ต้องเป็นอย่างนี้อีก เมื่อวาน ก็เป็นอย่างนี้!! วันนี้ ก็เป็นอย่างนี้!! พรุ่งนี้ ก็เป็นอย่างนี้!! แล้วก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ความจริง!!!
เพราะฉะนั้น แม้แต่การฟัง ถ้าเป็นผู้ที่เคารพจริงๆ ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะไปไหว้กราบ แล้วขอ นั่นไม่ใช่ที่พึ่ง แต่เพราะเหตุว่า ได้ทรงแสดงพระธรรม โดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้น มีพระรัตนตรัย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง โดยการที่ เคารพในพระปัญญาคุณ จึงต้องศึกษาพระธรรม ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า พระธรรมที่ทรงแสดง เป็นที่พึ่ง ให้ผู้นั้น สามารถที่จะมีความเข้าใจถูกต้อง ทีละเล็ก ทีละน้อย
เพราะฉะนั้น ปริยัติ ไม่ใช่ฟังคำของคนอื่น ฟังพระพุทธพจน์ และ ไม่ใช่ฟังเฉยๆ "เข้าใจ" และ "รอบรู้" ในพระพุทธพจน์!!! นี่เป็นปัญญาขั้นต้น ชื่อว่า ปริยัติ แต่ ถ้าฟังแล้ว พูดได้ ว่ามีจิตเท่าไหร่? เจตสิกมีเท่าไหร่? แล้วก็ไปสร้างสำนักปฏิบัติ แล้วก็ประพฤติ ปฏิบัติ ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย!! เพราะเหตุว่า ปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจ สิ่งที่ได้ฟัง ถึงความจริงของสิ่งที่มี ในขณะนี้ จะเป็นปัจจัยให้ ปฏิปัตติ ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็น "โพธิปักขิยธรรม" ธรรมที่อบรมแล้ว เจริญแล้ว ก็สามารถที่จะ "รู้ความจริง"
ความจริง คือ เดี๋ยวนี้ สภาพธรรมะ เกิดแล้วดับ!!!! แต่ละหนึ่ง แล้วจะ "เป็นเรา" ได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น คำสอนทั้งหมด "ธรรมะทั้งหลาย เป็น อนัตตา" ทิ้งสักคำเดียว ก็ไม่ได้!!! "ธรรมะทั้งหลาย" ทุกอย่าง!!! "ความคิด" ก็เป็น ธรรมะ "ความเห็นผิด" ก็เป็น ธรรมะ "ความเห็นถูก" ก็เป็น ธรรมะ "ความไม่รู้" ก็เป็น ธรรมะ "ความรู้" ก็เป็น ธรรมะ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า "ขณะนี้ทั้งหมด" เป็น "ธรรมะ" แต่ถ้าไม่มีปริยัติ ไม่มีการรอบรู้และเข้าใจอย่างมั่นคง จนกระทั่งเป็น "สัจญาณ" "กิจญาณ" คือ "ปฏิปัตติ" ก็เกิดไม่ได้!!!
เพราะฉะนั้น ไม่มีเรา ที่คิดว่า เราจะไปนั่งทำสมาธิให้จิตสงบ สบายดี แล้วก็จะไปรู้ลักษณะของสภาพธรรมะ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ที่ใดก็ตาม ที่มีความเข้าใจผิด แล้วก็มีสำนักปฏิบัติ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคฯยังไม่ปรินิพพาน ไม่ได้มีสำนักปฏิบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่มี สำนักเดียรถีย์ เดียรถีย์ คือ ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ก็คิดว่า ถ้าปฏิบัติอย่างนั้นๆ ก็จะหมดจากกิเลส ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย!!! เพราะเหตุว่า กิเลส เกิดจาก "ความไม่รู้"
ไม่รู้อะไร? ไม่ใช่มาฟังคำที่พระผู้มีพระภาคตรัส แล้วเราไม่พิจารณาเลย แล้วก็เชื่อตาม แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ละเอียดยิ่ง เช่น ถ้าบอกว่า ไม่รู้ เพราะไม่รู้ ไม่รู้ อะไร? ไม่ใช่ ไม่รู้เฉยๆ ไม่รู้ สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ "กำลังเห็น" "รู้" หรือเปล่า? เมื่อ "ไม่รู้" จึงมีการยึดมั่น ติดข้อง ใน "เห็น" ว่า เป็น "เราเห็น" ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นทั้งหมด เพราะไม่รู้ ก็ยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ก็มีคำภาษาบาลี "อัตตานุทิฏฐิ" การเห็นว่าเป็นอัตตา หรือว่า สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ตรงกันข้ามกับ อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ยั่งยืน เมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้น และ ดับไป แล้วไม่เหลือเลย แล้วก็ไม่กลับมาอีก แล้วจะเป็นอะไรได้!!!
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่า ไปอยู่ที่หนึ่งที่ใด แล้วก็จะมีปัญญา แต่ต้องเกิดจากการฟัง เข้าใจ ซึ่ง ค่อยๆ ละคลาย ความไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ต้องชัดเจน!!! ไม่ใช่ไม่รู้อะไร แล้ว รู้อะไร? ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ คนนั้นก็เป็นผู้ที่ตรง ฟังแล้ว ก็จะได้เข้าใจว่า ความไม่รู้มีมาก เพราะทรงแสดงให้เห็น ตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ตั้งแต่เกิดมา รู้ความจริงของอะไรบ้าง? ไม่รู้เลย!!! แล้วก็ ไม่รู้ไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ จะมากสักแค่ไหน? เมื่อไม่รู้ ก็ติดข้อง เพราะฉะนั้น เมื่อเช้านี้ เราก็ได้กล่าวถึง ขันธ์ ๕ ธรรมะที่มีจริงๆ ทรงแสดงโดยนัย ประการทั้งปวง โดยนัยนี้ โดยนัยนั้น โดยนัยต่างๆ เพื่อให้มีความเข้าใจอย่างมั่นคง ว่า "ไม่ใช่เรา" แม้แต่จะใช้คำว่า "อายตนะ" หรือจะใช้คำว่า "ปฏิจจสมุปปาท" หรืออะไร ไม่ใช่สำหรับท่อง แล้วก็ไม่ใช่สำหรับฟัง แต่ ต้องรู้ว่า เดี๋ยวนี้!!!!
แต่ละคำ เมื่อเป็นภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนา จึงใช้คำว่าปาละ หรือ บาลี เราต้องเข้าใจว่า แต่ละชาติ แต่ละท้องถิ่น แต่ละประเทศ พูดภาษาไม่เหมือนกัน แต่ ธรรมะ ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะใช้ภาษาไหนก็ตาม แต่ที่ถูกต้อง ก็คือ ควรที่จะเข้าใจธรรมะ ในภาษาของตน ของตน เพราะเราจะเข้าใจคำในภาษาอื่นเท่ากับภาษาที่เราเกิดมาแล้วก็ได้ยิน แล้วก็ใช้จนชิน จนเข้าใจกันได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ ต้องเข้าใจธรรมะ ในภาษาไหนก็ได้ ไม่ใช่ว่า ภาษาบาลีว่าอย่างนี้ แล้วก็แปรรูปไปอย่างนั้น มีอุปสรรคข้างหน้า ข้างหลังอย่างไร หมายความว่าอย่างไร แต่ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้เอง เป็นธรรมะ!!!
ด้วยเหตุนี้ ถ้าไม่มีปริยัติ ไม่มีความรอบรู้ ไม่มีความเข้าใจจริงๆ ในพระธรรม ที่ทรงแสดงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ในขั้นฟัง จะไม่มีปัจจัย ที่จะให้สติสัมปชัญญะ เกิดขึ้น "ปฏิปัตติ" คือ "ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมะ" เดี๋ยวนี้!!! ที่กำลังปรากฏ!!! ด้วยความเข้าใจ จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้ความจริง จนประจักษ์แจ้ง การเกิดขึ้นและดับไป โดยความเป็น อนัตตา!!!
เพราะฉะนั้น จะทิ้งคำหนึ่งคำใดที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ไม่ได้เลย พอได้ยินคำว่า อนัตตา ไม่ใช่เรา แล้วก็ไปนั่งปฏิบัติ!!! ไม่ได้เข้าใจความเป็นอนัตตา ว่า เดี๋ยวนี้ และ ทุกขณะ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีปัจจัยที่สมควรแก่สิ่งนั้นที่จะเกิด ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น ปัญญาที่ยังไม่เกิด จะทำอย่างไรให้เกิด? จากความไม่รู้เลย แล้วจะมีปัญญาได้อย่างไร? ถ้าไม่มีการฟัง ไม่มีการไตร่ตรอง ไม่มีการเข้าใจขึ้น ก็ไม่ใช่ ปฏิปัตติ นี่เพียงขั้นฟัง!!! ยังจะต้องอบรมต่อไปอีก โดยความเป็นอนัตตา ด้วย!!!
เพราะฉะนั้น ถ้าใครมีความคิดที่เป็นอัตตา ทำสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ เป็นโทษอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า นอกจากตนเองจะเข้าใจผิด ยังชักชวนให้คนอื่นเข้าใจผิด ด้วย เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็จะไม่มีผู้ที่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่ากับ ทำให้พระศาสนาลบเลือน จนในที่สุด ก็อันตรธาน
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด แล้วก็ต้องรู้จริงๆ ว่า ถ้าใครก็ตาม เห็นผิด ทำอะไรไม่ได้ ใช่ไหม? แก้ไขก็ไม่ได้ นอกจาก พูดความจริง วาจาสัจจะ อย่างเดียว ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับผู้ที่มีศรัทธา ที่จะเข้าใจความจริง ไม่ใช่หลอกลวง ใครบอกว่าอย่างไร ก็เชื่อ ใครพูดว่าอะไร ก็เชื่อ แต่ไม่ได้รู้เลยว่า พระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง ที่จะทำให้เข้าใจถูก ได้
เพราะฉะนั้น เปลี่ยนใครไม่ได้ นอกจากพูดถึง สิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นวาจาสัจจะ ตามที่ทรงแสดงไว้ ในพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้น สำนักปฏิบัติในครั้งพุทธกาล ไม่มี เพราะว่า "ปฏิปัตติ" ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมะฝ่ายโสภณธรรม ฝ่ายดี ซึ่งถ้าเป็นปัญญาและสภาพธรรมฝ่ายดี ที่จะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องจากการได้ฟังพระพุทธพจน์ แล้วก็ต้องรอบรู้ ในพระพุทธพจน์ จึงจะเป็น ปริยัติ แล้วผู้นั้น ก็จะไม่หลงทาง รู้ว่า คำใดเป็นคำจริง คำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำใดเป็นของคนอื่น ซึ่งไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำใด ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจ ในความเป็นอนัตตา นั่นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าจะให้ทำ แล้วก็ไม่เกิดความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ในสิ่งที่กำลังปรากฏ อันนั้น ก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จะเชื่อใคร? หรือว่า จะฟังคำใคร?
อยู่ในประเทศที่สมควร หมายความว่าอย่างไร? ถ้าไม่มีการสนทนาธรรมที่นี่ ที่นี่จะเป็นประเทศที่สมควรไหม? เพราะฉะนั้น ที่ใดก็ตาม ที่มีการสนทนาธรรม หรือว่า ได้เข้าใจพระธรรม ที่นั้น เป็นประเทศที่สมควร เป็นถิ่นที่สมควร ที่ไหนก็ได้ บนรถไฟก็ได้ บนเครื่องบินก็ได้ ในป่าก็ได้ ที่บ้านก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เพราะฉะนั้น พระศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัตถุ ไม่ได้อยู่ที่ศาลา ไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยทั้งสิ้น ถ้าที่นั้น ไม่มีพระธรรม!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล คุณจรรยา ปิ่นประดับ คุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์ และ คุณพนัสดา อิศรางกูร ณ อยุธยา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล คุณจรรยา ปิ่นประดับ คุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์ และ คุณพนัสดา อิศรางกูร ณ อยุธยา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านวิทยากร
ท่านเจ้าภาพที่ร่วมเจริญกุศลครั้งนี้และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล คุณจรรยา ปิ่นประดับ คุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์ และ คุณพนัสดา อิศรางกูร ณ อยุธยา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และวิทยากรทุกๆ ท่าน
ตลอดจนท่านผู้จัด ทีมงาน คุณวันชัย ภู่งามและผู้ที่ไปฟังธรรมทุกๆ ท่านค่ะ _/\_ _/\_
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กราบท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาในเมตตาจิตของ คุณสุภาพรรณ ชูสวัสดิชัย คุณนวลใจ ธนานุรักษากุล, คุณจรรยา ปิ่นประดับ, คุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์ คุณพนัสดา อิศรางกูร ณ อยุธยา และคุณวันชัยช่างภาพ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านอย่างยิ่งค่ะ