ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๘ * *
~ ชาวพุทธ คือ ผู้มีปัญญา ไม่ใช่ผู้ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้น ชาวพุทธ ก็คือ ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา ศาสนาที่สอนให้เข้าใจความจริงไม่ให้หลงผิด เพราะฉะนั้น ถ้าใครยังไม่ได้ศึกษาธรรมแล้วก็ไม่ได้เข้าใจความจริง แล้วยังมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จะเป็นชาวพุทธได้ไหม?
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณา ทรงรู้ว่าสัตว์โลกอยู่ในความไม่รู้มืดบอดสนิท ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เขาก็ไม่มีโอกาสจะเข้าใจความจริงของธรรมได้เลย เพราะฉะนั้น พระมหากรุณาแค่ไหน ไม่ว่าใคร ไม่เลือกด้วย เพียงแต่เขามีความเข้าใจ นี่แหละคือประโยชน์ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งถ้าชาตินี้ไม่มี จะเอาอะไรไปเริ่มต้นที่จะเข้าใจสิ่งที่มีได้ นี่ก็เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดความเพียรตามกำลังของปัญญาที่สะสมมา เพราะว่า กิเลสสะสมมามากมายมหาศาล แล้วก็เป็นความจริงที่ปรากฏในชีวิตประจำวันว่าความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ขาดการฟัง เพราะเห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นปัญญา ก็นำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นสิ่งที่ขัดเกลากิเลส
~ ใครเป็นผู้ที่มีกรุณามากที่สุด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกอบด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ เพราะถ้าไม่ประกอบด้วยพระมหากรุณาคุณ คงจะไม่ทรงแสดงธรรม ไม่มีข้อความที่จดจำสืบต่อกันมาจนกระทั่งจารึกเป็นพระไตรปิฎกให้บุคคลรุ่นหลังได้รู้ว่า พระองค์ทรงแสดงธรรมที่จะทำให้สัตว์โลกทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงอย่างไร
~ ท่านผู้ฟังที่โกรธ เคยระลึกได้บ้างไหมว่า ควรจะอดกลั้น ไม่ควรจะโกรธ แต่ถ้ายังบำเพ็ญกุศลมาไม่พอ การคิดนึกอย่างนี้หรือโยนิโสมนสิการ (ใส่ใจอย่างถูกต้องแยบคาย) อย่างนี้ ก็ไม่มี แต่ถ้าศึกษาในจริยาปิฎก คือ ความประพฤติของพระผู้มีพระภาคเมื่อครั้งที่บำเพ็ญบารมี จะเห็นได้ว่า แม้ว่าจะมีผู้ที่กระทำสิ่งที่เลวร้ายในขณะที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ด้วยประการต่างๆ กำลังจะโกรธก็ระลึกได้ว่า ไม่ควรจะโกรธ เพราะเหตุว่าความโกรธนั้นจะไม่ทำให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน
~ ต้องเป็นคนรู้ว่าตัวเองยังไม่ดี เพื่อที่จะละคลายความไม่ดีนั้น แล้วก็เพิ่มความดีขึ้น แต่ถ้าใครคิดว่าดีมากแล้ว คนนั้นจะไม่ต้องฟังพระธรรมเลย เพราะเหตุว่าดีแล้ว แต่ผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า ดีเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ ผู้นั้นก็มีโอกาสที่จะเจริญกุศลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
~ คนอื่นทำร้ายเราไม่ได้เลย นอกจากกรรมที่ได้ทำมาแล้วให้ผล ถ้ารู้อย่างนี้ เราก็ยิ่งเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็จะเป็นผู้ที่กระทำกรรมดีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไม่เดือดร้อนกับใครเลยเมื่อเป็นกรรมดี ดีทั้งกับตนเองและกับคนอื่นด้วย
~ อะไรก็ตามที่จะทำให้กุศลจิตเกิด แล้วแต่ว่าในขณะนั้นสามารถที่จะระลึกถึงส่วนใดหรือเรื่องใดที่จะทำให้กุศลจิตเกิด ย่อมเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดแทนอกุศล เพราะนึกถึงส่วนที่ดีได้ ถ้านึกถึงอกุศลของคนนั้น จิตใจย่อมโกรธ ใช่ไหม ถ้าท่านยังไม่ได้อบรมเจริญกุศลพอ แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่อบรมเจริญกุศลแล้ว จะเกิดเมตตา หรือกรุณา เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน ความโกรธของท่านจะให้ผลแก่ตัวท่าน ความโกรธของเขา เขาก็ได้รับผลไป ทำไมจะต้องไปโกรธเขาด้วย ในเมื่อเขาก็ได้รับผลของความโกรธของเขาอยู่แล้ว
~ ถ้าโกรธใคร จะนอนหลับเป็นสุขไหม ลองคิดดู แต่เวลาที่ไม่โกรธ ไม่มีเวรกับใครๆ อภัยให้หมดทุกคนได้ ในขณะนั้นหลับเป็นสุขจริงๆ เพราะไม่เกิดอกุศลจิตที่เร่าร้อนก่อนจะหลับ
~ ควรที่จะเห็นอกุศลของตนเองตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งซึ่งมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดขึ้นปรากฏ และเมื่ออบรมธรรมที่เป็นกุศลมากขึ้น ธรรมที่เป็นกุศลนั่นเองจะขัดเกลาบรรเทาธรรมที่เป็นอกุศลให้น้อยลงได้
~ ถ้ามีความเข้าใจแล้วในความเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา ต่อไปนี้อ่านอะไรในพระไตรปิฎก ก็สามารถรู้ได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงธรรมเท่านั้น ทุกอย่างเป็นธรรม
~ ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกวัน เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งเมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าไม่มีเรา
~ วันหนึ่งๆ ทุกคนก็มีญาติซึ่งเป็นที่รักที่เคารพ ถ้าคิดถึง โดยมากจะพิจารณาได้ว่า คิดถึงด้วยอกุศลหรือคิดถึงด้วยกุศล เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ อกุศลมากสักแค่ไหน ลองคิดดู ถ้าไม่สังเกต ความผูกพัน ความสัมพันธ์ด้วยอกุศลจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นไปด้วยเมตตา หวังดี เกื้อกูล ในขณะนั้นก็เป็นกุศล
~ แน่ใจหรือยังว่า วิบากแต่ละขณะของแต่ละบุคคลเกิดเพราะกรรมของตนเอง ไม่ใช่เพราะบุคคลอื่นกระทำให้ จริงไหม? ไม่โกรธคนอื่น ไม่โกรธแน่ๆ หรือยังไม่ยอมที่จะหมดไป ยังคิดว่าเป็นคนอื่นอยู่นั่นเองที่ทำให้ ถ้ารู้ว่าเป็นวิบากของตนเองจะไม่โกรธคนอื่นเลย ใช่ไหม แม้แต่โจรที่มาเลื่อยขาแขน?
~ ควรที่จะได้รู้ตามความเป็นจริงว่า อกุศลวิบากทุกขณะที่เกิดเป็นผลของการกระทำของตนเอง จิตใจก็จะผ่องใสเป็นกุศล เพราะถ้ายังมีอกุศลต่อไป ใครเป็นผู้ที่จะได้รับอกุศลวิบากข้างหน้าต่อไป ก็ต้องตนเองอีก ไม่พ้นจากอกุศลกรรมและอกุศลจิตที่สะสมไว้ เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบาก เมื่อไม่ปรารถนาอกุศลวิบาก ทางเดียวที่จะน้อยลง คือ ให้กุศลจิตเกิดมากๆ เท่านั้น
~ ถ้าท่านเห็นว่า ผรุสวาจา (การกล่าวคำหยาบ) ไม่ดี ทำให้คนอื่นเดือดร้อน โทมนัสเสียใจ ท่านเองก็ไม่อยากจะได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะยับยั้ง ขัดเกลา บรรเทาเสียตั้งแต่ในชาตินี้ เพื่อที่จะได้ไม่ติด ไม่สะสมจนกระทั่งเป็นผู้ที่มีวาจาที่คนอื่นฟังแล้วไม่สงบใจ อาจจะคิดมากหรือว่าเดือดร้อนใจไปนาน
~ คำพูด ขึ้นอยู่กับกุศลจิตและอกุศลจิตว่า ท่านจะพูดด้วยกุศลจิต หรือท่านจะพูดด้วยอกุศลจิต ถ้าเป็นการพูดด้วยอกุศลจิต ไม่มีประโยชน์กับบุคคลใดทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่ควรละเว้น ควรระลึกได้ ควรรู้ว่า ไม่ควรเลยที่จะกล่าว
~ คนที่มีกิเลส มีความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เหมือนเหยื่อที่ล่อให้กระทำทุจริตกรรม และก็ได้รับผลของกรรมในภายหลัง ซึ่งเป็นวิบากที่เลวทราม เป็นวิบากที่ไม่เป็นสุข เป็นวิบากที่เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
~ การกระทำใดๆ ก็ตาม ที่ทำให้คนอื่นเข้าใจเรื่องที่ไม่จริงว่าจริง ก็เป็นมุสาวาท (กล่าวเท็จ) ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย ทางวาจา ด้วยประการใดๆ ก็ตาม
~ ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศล กระทำอกุศลอยู่เนืองนิตย์ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา วันหนึ่งใครจะรู้ได้ว่า ท่านจะกระทำอกุศลกรรมหนักเพียงไร เพราะว่าการที่จะกระทำอกุศลกรรมหนักๆ ได้ ย่อมมาจากการกระทำทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งขาดความละอาย จึงสามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมที่ร้ายแรงได้
~ ต้องการพบใครมากที่สุดเวลานี้? ต่างคนต่างตอบ แต่คำตอบหนึ่งซึ่งทุกคนไม่ปฏิเสธ คือ ต้องการพบคนดี ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเลย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ไม่สำคัญเลย จะมีความรู้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ทางอะไรมากมาย ก็ไม่มีความสำคัญเลย สำคัญที่เป็นคนดี เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องการพบใคร? เพราะเราต้องพบเสมอ แล้วเราจะไปพบคนร้ายๆ คนเห็นแก่ตัวคนทุจริตหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์กับเรา ถูกต้องไหม? แต่ต้องเป็นคนดีเท่านั้น ที่ไม่ทำร้ายหรือไม่เป็นโทษกับใครเลย เพราะฉะนั้น คนดี คือ คนที่เป็นเพื่อน ไม่ใช่เป็นศัตรู
~ เมตตา หมายถึง ความไม่โกรธ ความไม่เป็นโทษ ความเป็นมิตร เป็นเพื่อน หวังดีพร้อมที่จะเกื้อกูล
~ สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดเกิดจากความไม่รู้ทั้งสิ้น ถ้ารู้ จะไม่มีการทำสิ่งที่ไม่ดีเลย เพราะรู้ว่า สิ่งที่ไม่ดีเป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดี
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ถ้าฟังแล้วก็มีความเข้าใจขึ้น ก็จะทำให้มีความมั่นคงในการที่จะฟังต่อไป เพื่อเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง เพราะว่าถ้าไปคิดเรื่องอื่นจะไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๑๗
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกวัน เป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งเมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าไม่มีเรา
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
ถ้าท่านเป็นผู้ที่อบรมเจริญกุศลแล้ว จะเกิดเมตตา หรือกรุณา เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน ความโกรธของท่านจะให้ผลแก่ตัวท่าน ความโกรธของเขา เขาก็ได้รับผลไป ทำไมจะต้องไปโกรธเขาด้วย ในเมื่อเขาก็ได้รับผลของความโกรธของเขาอยู่แล้ว น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบท่านอาจาร์และะกัลยานมิตทุกท่านค่ะ