"เป็นเศรษฐี มีมากด้วยคนงาน ทาส ทาสี มีสมบัติมาก มีโภคะมาก มั่งคั่งไปด้วยรัตนะ ๗ ประการ"
เศรษฐีนั้นก็ไม่มี มีแต่ จิต เจตสิก รูป
คนงาน ทาส ทาสี ก็ไม่มี มีแต่ จิต เจตสิก รูป
สมบัตินั้นก็ไม่มี มีแต่ รูป
โภคะนั้นก็ไม่มี มีแต่ รูป
รัตนะนั้นก็ไม่มี มีแต่ รูป
เมื่อกล่าวถึงที่สุดแห่งสภาพธรรม "ไม่มีเศรษฐีที่เสวยสุข เสวยทุกข์
มีแต่ จิตที่เสวยสุข เสวยทุกข์"
"เหตุย่อมสมควรแก่ผล ผลเองก็ย่อมสมควรแก่เหตุ เพราะจิตทำกุศลมามากในทาน ในศีล วิบากก็ให้ผลกับจิต ซึ่งจิตก็รับวิบากสุขทั้ง ๕ ทาง มี ๕ โลก คือสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่แน่นอนว่าจะมีแต่กุศลอย่างเดียวเลยก็เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องได้รับทุกข์ในทั้ง ๕ ทาง เช่นเดียวกัน แล้วแต่ว่าวิบากทางไหนจะให้ผลตอนไหน ได้ยินเสียงไม่ดี ได้เห็นสิ่งไม่ดีไม่น่าพอใจ ได้ลิ้มรสไม่อร่อยไม่ถูกปาก ได้รับรู้กลิ่นที่ไม่ดีไม่น่าใคร่ ได้รับสัมผัสถูกต้องกายไม่ดีเจ็บ คัน ป่วยไข้ ก็เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละขณะจริงๆ ซึ่งเกิดขึ้นได้ทีละสภาพธรรม ไม่ปนกันเลย เพราะจิตรู้ได้ทีละอารมณ์ ฉะนั้นเรา สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มีโดยประการทั้งปวง สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาเป็นสุญญตา คือไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล และคือว่างจากความเป็นตัวตน เพราะเป็นสภาพธรรมในตัวของมันเอง โกรธไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน โกรธก็ต้องเป็นโกรธ โกรธจะเป็นโลภไม่ได้ โลภจะเป็นโกรธก็ไม่ได้ โกรธและโลภต่างก็เป็นธัมมะ ไม่มีอะไรไม่เป็นธัมมะ และไม่ใช่ของใครใดๆ ทั้งสิ้น"
ท่านมีสมบัติมากไหม เป็นของท่านจริงๆ หรือไม่
ท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านผู้ฟังมีสมบัติมากไหมคะ แต่ละท่านมีสมบัติมากไหมคะ เป็นของท่านจริงๆ หรือเปล่า เป็นของท่านชั่วขณะที่ตาเห็น แล้วเกิดความยึดถือว่า นี่ของเรา หรือนี่สมบัติพัสถานของเรา นี่แก้วแหวนเพชรนิลจินดาของเรา แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏเป็นอารมณ์ เป็นของจักขุวิญญาณ ชั่วขณะที่จักขุวิญญาณเห็น แล้วไม่ใช่ของจักขุวิญญาณจริงๆ เพราะเหตุว่าปรากฏภายนอก ไม่สามารถที่จะเอาเข้ามาเป็นภายในว่า เป็นของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นเพชรนิลจินดา เสื้อผ้าอาภรณ์ หรือสิ่งใดๆ ก็ตามทั้งหมด ที่ปรากฏในขณะที่เห็น เป็นของสาธารณะกับทุกจักขุวิญญาณซึ่งเห็นสิ่งนั้น ไม่ใช่ของใครเลยค่ะ แล้วแต่ใครจะยึดถือว่า ของฉัน ของเรา แต่โดยสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งนั้นไม่ใช่ของใคร แต่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏกับจักขุวิญญาณเท่านั้น แต่ว่าเมื่อสิ่งนั้นปรากฏ แล้ว “กิเลส” ความไม่รู้ ยึดถือทันทีว่า ของเรา ทั้งวัตถุภายนอก ทั้งรูปร่างกาย ซึ่งแม้รูปร่างกายนี้ เวลาปรากฏทางตา สูง ต่ำ ดำ ขาว ต่างๆ ก็ปรากฏชั่วขณะที่กระทบกับจักขุปสาทเท่านั้นค่ะ ถ้าไม่มีการลืมตา ไม่มีการเห็นเกิดขึ้น จะไม่มีการนึกถึงรูปร่างสัณฐาน สูง ต่ำ ดำ ขาว ซึ่งยึดถือว่าเป็นของเราเลย
เพราะฉะนั้นสิ่งใดๆ ทั้งภายใน คือ รูปร่างกายของตนเอง และวัตถุภายนอกทั้งหมด ตามสภาพความจริงแล้ว ไม่ใช่ของใครเลย แต่ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วขณะที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสิ่งที่ปรากฏและสภาพรู้ คือ จักขุวิญญาณนั้น
เพราะฉะนั้นมีอะไรบ้างคะซึ่งควรจะยึดถือว่าเป็นของเรา เพราะเหตุว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบตา เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบหู ดับไปหมดแล้วค่ะ ไม่มีของเราเลย
การรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติ ตามความเป็นจริง จึงจะทำให้ละการยึดถือสภาพธรรมทั้งหลายว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และรู้ว่าขณะไหนเป็นวิบาก ขณะไหนเป็นกิเลส ขณะไหนเป็นกรรม
ชั่วขณะที่ได้เห็นครั้งหนึ่ง ได้ยินครั้งหนึ่ง ได้กลิ่นครั้งหนึ่ง ลิ้มรสครั้งหนึ่ง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสครั้งหนึ่ง หรือคิดนึกต่างๆ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง และสามารถที่จะเป็นสติปัฏฐาน ให้ปัญญาศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้นวันนี้ท่านผู้ฟังก็คงจะสำรวจดูทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่เคยมีมาก แต่แท้ที่จริงแล้วก็ทั่วไปกับจักขุวิญญาณ เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจว่า มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ไม่เห็นทรัพย์สมบัตินั้นเลย จะเกิดความรู้สึกว่า เป็นของเราได้ไหม หรือว่าจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเป็นผู้ที่เข้าใจว่า เป็นผู้ที่มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสใดๆ จากทรัพย์สมบัติทั้งหลายนั้น
เพราะฉะนั้นถ้ารู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จริงๆ จะมีความเสมอกัน เพราะไม่มีเรา ไม่ว่าจะเป็นจักขุวิญญาณของใคร ก็เห็นสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่ควรที่จะยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นเรา หรือของเรา
เพราะฉะนั้นทุกคนนี้เท่ากัน โดยสภาพลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมเหมือนกัน แต่ว่าการที่จะยึดถือสภาพธรรมที่มีปรากฏว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา ซึ่งเป็นกิเลสนั้น ก็ย่อมมีมากน้อยต่างกัน
เพราะฉะนั้นท่านที่เคยยินดีในทรัพย์สมบัติของท่านมากมาย เริ่มรู้สึกหรือยังว่า ท่านไม่มีทรัพย์สมบัติ เพราะเหตุว่าจักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ถ้าจักขุวิญญาณไม่เห็น ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นก็เพียงจักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น ชั่วขณะเห็น แล้วจะยึดถือว่า เป็นทรัพย์สมบัติของท่านได้อย่างไร ในเมื่อไม่สามารถเข้ามาสู่ตัวของท่าน สามารถเพียงแค่ปรากฏที่จักขุทวารหรือจักขุปสาทเท่านั้น
เสียงก็เช่นเดียวกันนะคะ กลิ่นก็เช่นเดียวกัน รสก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็ชั่วขณะที่กระทบสัมผัสกระทบกายปสาท จึงปรากฏว่า ลักษณะนั้นมี แล้วก็ไม่สมควรที่จะยึดถือลักษณะนั้นว่า เป็นเรา หรือว่าเป็นของเรา
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณครับ ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุๆ ๆ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชาตินี้ อาจจะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยชาติ ตระกูล โภคสมบัติ รูปสมบัติ วิชาความรู้ บริวารสมบัติ ทุกสิ่งทุกประการ แต่ว่าภพหน้า ชาติหน้า จะเป็นใคร จะมีรูปสวย รูปงาม มีทรัพย์สมบัติมาก เกิดในสกุลที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ ข้าทาสบริวาร หรือเปล่า อาจจะตรงกันข้ามเลยก็ได้
ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย และที่สำคัญ ไม่มีใครนำทรัพย์สมบัติ ข้าทาสบริวาร เป็นต้น ติดไปในภพหน้าได้ จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไว้ แต่การสะสม ที่ดี และ ไม่ดี ไม่สูญหาย สะสมสืบต่อในจิต เพราะฉะนั้น สำคัญอยู่ที่ความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของความดี ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ประมาทในการเจริญกุศลในชีวิตประจำวัน สะสมไว้ในขขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะชาตินี้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ชั่วคราว สั้นแสนสั้น จะประมาทไม่ได้เลย ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี หรือยาจก ที่พักในมนุษย์หรือที่พักที่ไหนก็ตามก็เป็นที่พักชั่วคราว เพราะจากโลกนี้ไปแล้วไม่มีใครรู้ว่าจะไปเกิดที่ไหน เป็นปลา เป็นกุ้ง หรือเป็นเทวดา แต่ชาตินี้มีโอกาสได้เข้าใจธรรมได้ฟังธรรมก็ไม่ประมาทในการฟังธรรมค่ะ