เดี๋ยวบาปนะ !!
โดย คุณย่า  3 มิ.ย. 2552
หัวข้อหมายเลข 12562

สนทนาธรรมที่มูลนิธิ
พระสูตร ครั้งที่ ๗๖
๑๐ มกราคม ๒๕๕๒

อุดร การ..ศึกษาธรรมเป็นเรื่องยาก เพราะว่าเวลาศึกษาผมยังคิดว่า ตัวเองเข้าใจธรรม แต่ว่าบางครั้งกลายเป็นว่า คิดไปเองว่าเราเข้าใจแต่ เป็นการไม่เข้าใจธรรม แต่คิดไปเอง เช่นอาจารย์ยกตัวอย่างว่า เราจะ โกรธผู้ที่ไม่รู้ คือเราไม่สมควรจะโกรธผู้ที่ไม่รู้

อ.จ. เพราะว่า..ส่วนใหญ่ฟังธรรมนิดเดียว ฟังธรรม ๒-๓ ประโยค แล้วคิดเองเยอะ และตอนคิดเองนั้นผิดหรือถูก จึงต้องฟังจนกว่า จะมี ความเห็นถูก เข้าใจถูกว่าเป็นธรรม บางคนกลัวกิเลสมากๆ ไม่กล้าพูด อะไรเลย เดี๋ยวบาปๆ เลยไม่มีใครรู้อะไร เพราะเดี๋ยวบาป กับการที่จะ รู้จิตในขณะนั้น ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ขณะที่ว่าเดี๋ยวบาปน่ะ เป็นเรา หรือเปล่า ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่เป็นจิต แล้วกลัวอะไร กลัวชื่อ โดยที่ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย

กลัวชื่อ บาป ทั้งๆ ที่กำลังบาป เพราะไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม เพราะว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ธรรมนี้ เป็นเรื่องละความไม่รู้ จึงจะละความไม่ดีได้ แต่ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ และ กลัวบาปๆ แต่ยังไม่รู้จัก สภาพธรรมในขณะนั้นๆ ก็คือกลัวจริงๆ หรือเปล่า หรือกลัวชื่ออย่าง หิริโอตตัปปะ ความละอาย ความเกรงใจ ต่อ อกุศลทุกขณะที่กุศลจิตเกิด ไม่มีเราที่ไปกลัว หรือว่าไปเห็นโทษและ ไปนั่งพรรณนา แต่ขณะใดที่กุศลจิตเกิด เพราะหิริโอตตัปปะ เป็น สภาพธรรมที่มีลักษณะอย่างนั้น เกิดขึ้นจึงเป็นกุศล แต่ไม่ใช่เพราะตัว เรากลัวบาป โดยที่ไม่เข้าใจว่าบาปคืออะไร เพราะว่าธรรมเป็นเรื่องที่ ละเอียดมากนะค่ะ เพื่อละด้วยความเห็นความเข้าใจ ที่ถูกต้องในอะไร ไม่ใช่เพียงในชื่อ หรือในเรื่อง แต่ว่าในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แล้วไม่รู้ค่ะ ทั้งๆ ที่จริง ทุกคนก็ยอมรับว่าจริง ขณะนี้เห็นมีจริง สิ่งที่ปรากฏก็มีจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ความจริง ละอายไหม มีหิริโอตตัปปะ ไหม ขณะที่ไม่รู้ต้องเป็นอหิริกะอโนตตัปปะ จึงไม่รู้ในขณะนั้น

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด มีทางที่จะรู้ถูก เห็นถูก เมื่อมีการฟัง แล้วค่อยๆ เข้าใจ ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ฟัง แล้วจะเป็นตัวเรา จะทำอย่างนั้น หรือตัวเราจะทำอย่างนี้ แต่ไม่ว่าจะ ตัวเราเมื่อไหร่จะทำอะไร ก็คือมีเห็น มีได้ยิน คือธรรมทั้งหมด โดยไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น จะได้ประโยชน์อะไรจากการฟัง ถ้ายังคง เป็นตัวเรา แต่ถึงแม้ว่าไม่สามารถที่จะดับ ความเป็นตัวตนได้เพียงขั้น การฟัง แต่การฟังเป็นทางละความไม่รู้ และความไม่ละอายต่อการที่จะ ไม่รู้ เพราะว่าเวลาที่ฟังแล้วเข้าใจ ไม่ต้องคิดว่าแล้วสติปัฏฐาน จะเกิดเมื่อไร หรือแม้สติปัฏฐานเกิดแล้ว จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมเมื่อไร นั่นคือขณะนั้นไม่ละอาย ไม่ใช่ความรู้ เพราะฉะนั้น ก็คือการไม่ละอาย ต่อการที่หวังในสิ่งที่ต้องการ โดยไม่รู้เหตุว่า ถ้าไม่ มีปัญญา ไม่มีทางเลย ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ได้ตามความเป็นจริง แต่ถ้าเป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ไม่หวั่น ไหวเลยค่ะในสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะสามารถที่จะเข้าใจ ตรงตาม ความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นได้ เพราะฉะนั้นการที่ได้ฟังธรรมรู้ว่าฟัง เพื่ออะไร อกุศลเกิดแล้ว ใครบังคับได้แต่อกุศลเป็นธรรม กุศลเกิด แล้วใครบังคับได้ ไม่เป็นของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเพียงเกิดแล้วก็ดับไป

เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจ มีความเห็นถูก ก็รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏใน ขณะนี้โดยละเอียด โดยถ่องแท้ โดยประการทั้งปวง ที่จะดับอกุศล ซึ่งเกาะติดแน่นอยู่ในใจนานแสนนาน ที่เป็นอนุสัยกิเลส ไม่มีทางที่จะหมดไปได้เลย ถ้าไม่มีปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูกทีละเล็ก ทีละน้อย ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นการฟังเป็นการละความหวัง ด้วยความเป็นเราที่จะรู้ แต่ฟังเพื่อจะให้มีความมั่นคง ในการที่จะเข้าใจ ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏนี่แหละ เป็นสิ่งทีเมื่อไม่ได้ฟังก็ไม่รู้ แต่เมื่อฟังเพียง เริ่มเข้าใจ แต่ถ้าได้อบรมต่อไป ก็สามารถที่จะประจักษ์ แจ้งในความ เป็นจริงของสิ่งนั่นได้

เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่ฟังธรรมด้วยความถูกต้อง เพื่อละความเป็นเรา ก็มีคนที่ถาม ถ้าไม่มีเราแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม แล้วก็จะไม่เห็นหรือ แล้วก็จะไม่ได้ยินหรือจะ ไม่ได้คิดหรือ หรือจะไม่มีชีวิตต่อไปหรือ ก็คือเป็นปกติเหมือนเดิม แต่รู้ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะเห็นเมื่อไรคิดเมื่อไร มีความเห็นถูก มีความเห็นผิด ก็เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ที่จะคิดว่าเมื่อไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่ต้อง ทำอะไร ก็กำลังเห็น กำลังได้ยิน ไม่ได้ทำเห็น ไม่ได้ทำได้ยิน ไม่ได้ทำกิจนี้หรือ แต่ไม่ใช่เราที่ทำ เป็นธรรมทำทั้งหมด ด้วยเหตุนี้การฟัง เผินๆ ก็ไม่ได้สาระจากการฟัง เพราะว่าฟังแล้วก็เป็นความเห็นของตัว เอง ที่ไปคิดต่อว่า เมื่อไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทำ เพราะว่าธรรมทำ ธรรมเกิด ธรรมดับ แล้วมีปัจจัยที่ธรรมจะ เกิดอีก ก็เกิดดับสืบต่อไป ยังจะหากฎเกณฑ์อะไรไหมค่ะ .....



ความคิดเห็น 1    โดย ทศพล.com  วันที่ 3 มิ.ย. 2552

เดี๋ยวบาปนะ

จริงๆ แล้วผมทำบาปเป็นประจำ กับผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิตก็มี เช่น คุณพ่อ คุณแม่ ความไม่รู้ไม่เคยปราณีใคร นอกจากความรู้ ยังโชคดีหน่อยที่ชาตินี้เกิดมาได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ท่านศึกษามา แล้วนำความรู้จากพระธรรมที่ท่านศึกษามา สอนคนไม่รู้อย่างเรา

สำหรับผมเองนั้น ขอได้ฟังพระธรรมจากท่าน สะสมการฟังไปทีละเล็กทีน้อย ฟังแล้วเข้าใจในสิ่งที่ท่านบรรยาย ไม่พักไม่เพียรก็ข้ามโอฆะได้


ความคิดเห็น 2    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 3 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย saifon.p  วันที่ 3 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย คุณ  วันที่ 4 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย michii  วันที่ 4 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย suwit02  วันที่ 4 มิ.ย. 2552

แล้วกลัวอะไรกลัวชื่อ โดยที่ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย กลัวชื่อบาปทั้งๆ ที่กำลังบาป เพราะไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม

สาธุ


ความคิดเห็น 8    โดย dron  วันที่ 5 มิ.ย. 2552
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 9    โดย wirat.k  วันที่ 7 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย chatchai.k  วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ