อรรถกถา ปฏิสัมภิทามรรค อรรถกถาปุพเพนิวาสานุสสติญาณนิทเทส มีข้อความว่า
แม้ยังไม่ใช่ทุกขอริยสัจจะซึ่งเห็นยาก เพียงทุกข์ของผลบุญก็ไม่เห็นว่า ยังเป็นโทษ
คือ ไม่ว่าจะเสวยผลบุญพร้อมด้วยสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ยังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะไปได้ เมื่อไม่รู้อย่างนี้ คือ ไม่เห็นโทษของผลบุญอย่างนี้ ก็ ปรารภปุญญาภิสังขาร มีการกระทำบุญต่างๆ แต่ว่าบุญนั้นๆ ไม่ใช่การเจริญ สติปัฏฐาน จึงยังเป็นบุญที่นำทุกข์มาให้ คือ นำชาติ ชรา มรณะมาให้อีก
และบางคนก็ถึงกับปรารภ อปุญญาภิสังขาร ถึงแม้จะได้รับผลของบุญแล้ว แต่ก็ยังไม่อิ่ม ยังไม่พอใจ ยังติด เพราะฉะนั้น ก็หวังที่จะได้อีก แต่เมื่อไม่ได้ด้วยกุศลก็คิดในทางที่เป็นอกุศล
เมื่อติด พอใจในผลของบุญ และไม่มีความพอ เท่าไรก็ไม่พอ ไม่ว่าจะได้ ทรัพย์สมบัติเท่าไร รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอย่างไร จึงยังปรารภ อปุญญาภิสังขาร คือ การกระทำอกุศลกรรมต่างๆ การทุจริต เช่น อทินนาทาน ถือเอาทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตนมาเป็นของตนเป็นต้น ด้วยความสำคัญว่า เป็นสุข เพราะถูกกิเลสครอบงำ
ปุญญาภิสังขาร ได้แก่ กามาวจรกุศล และรูปาวจรกุศล
อปุญญาภิสังขาร ได้แก่ อกุศลกรรมทั้งหมด
อเนญชาภิสังขาร ได้แก่ เจตนาที่เกิดกับอรูปฌานกุศล
บางท่านเห็นโทษของรูป รู้ว่าถ้ายังมีรูปอยู่ ก็ยังมีการกระทำที่เกิดจากอกุศล พ้นไปไม่ได้เลย จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะประกอบกิจการงาน แม้ไม่ใช่ ทุจริตกรรม แต่ขณะนั้นก็เป็นไปด้วยอกุศลจิต การศึกษา การเล่าเรียนวิชาการต่างๆ ที่โลกก้าวไปอยู่เรื่อยๆ ในทางโลกย่อมตรงกันข้ามกับในทางธรรม เพราะว่าในทางโลกเป็นไปด้วยโลภมูลจิต เป็นอกุศลจิต
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นโทษของรูป เห็นโทษของการมีรูป ที่เป็นเหตุให้เกิดการกระทำด้วยอกุศลจิต จึงเพียรที่จะดับรูป ให้มีแต่นามธรรมเท่านั้นในอรูปพรหมภูมิ ซึ่งจะต้องอบรมเจริญอรูปฌานกุศลต่อจากรูปปัญจมฌานกุศล เมื่อได้ถึงอรูปฌานกุศล และไม่เสื่อม เวลาที่ใกล้จะตายอรูปฌานกุศลเกิด เมื่อจุติจิตดับไปแล้ว อรูปฌานกุศลนั้นก็เป็นปัจจัยให้เกิดในอรูปพรหมภูมิ
เมื่อไม่รู้ความที่สังขารเป็นทุกข์เพราะความแปรปรวนในวิบากอันไม่มีรูป คือ ความเกิดขึ้น และดับไปของนามธรรม จึงปรารถนาอเนญชาภิสังขาร
นี่เป็นขณะใดที่ปัญญาไม่เกิด ไม่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ก็จะต้องมีกุศลจิต อกุศลจิต กุศลกรรม อกุศลกรรม แล้วแต่ว่า จิตขณะใดจะเกิดขึ้นเพราะกุศลเป็นปัจจัย หรืออกุศลเป็นปัจจัย
รับฟัง และ อ่านรายละเอียด
ทุกข์ของผลบุญก็ไม่เห็นว่า ยังเป็นโทษ