การเจริญอานาปานสติ
โดย Tathata  16 พ.ย. 2565
หัวข้อหมายเลข 45130

เมื่อวานได้ฟังการสนทนาธรรมที่ ช่วงที่ท่าน อ.สุจินต์ สนทนากับน้องที่เป็นผู้พิพากษา น้องถามถึงเรื่องอานาปานสติ ท่าน อ. กล่าวว่า ดูลมหายใจมีประโยชน์อะไร (ขออภัยไว้ก่อนด้วยค่ะ ถ้าฟังผิดไป) เลยเกิดความสงสัยว่า อานาปานสติ มีความหมายที่ถูกต้องคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร จึงมีคำกล่าวในพระไตรปิฎก ให้เจริญให้มาก และมีผลมาก ขอความเมตตาอธิบายในความหมายที่ชัดเจนด้วยค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 17 พ.ย. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อานาปานสติ เป็นสติที่มีลมหายใจเป็นอารมณ์ เป็นได้ทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ซึ่งจะขาดปัญญาไม่ได้เลยทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนา แต่ผลต่างกัน เพราะสมถภาวนาเพียงระงับกิเลสด้วยการข่มไว้เท่านั้น ไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย แต่ถ้าเป็นวิปัสสนาหรือสติปัฏฐานแล้ว สามารถทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น สูงสุดคือถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น สำคัญตรงที่ว่า มีความเข้าใจถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจ ก็เป็นเรื่องทำ เป็นเรื่องจดจ้อง ซึ่งผิด ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องเลย

เรื่องเจริญสติปัฏฐาน เป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สติเกิดขึ้นระลึกและปัญญารู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสติปัฏฐานไว้ ๔ ประการ ไม่ใช่เพียงประการเดียวเท่านั้น การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยการฟังในสิ่งที่มีจริงเนืองๆ บ่อยๆ พิจารณาเหตุผลแล้วก็เจริญเหตุให้สมควรแก่ผลด้วย

ข้อสำคัญประการหนึ่ง ก็คือ จะต้องไม่เข้าใจผิดว่าเป็นสติปัฏฐานเฉพาะบางสิ่งบางประการ หรือเลือกเจาะจงเฉพาะบางนามธรรม บางรูปธรรม แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างที่เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั้น เป็นสติปัฏฐานทั้งสิ้น เพราะเป็นที่ตั้งให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริงได้ ลมหายใจ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เพราะลมหายใจเป็นส่วนหนึ่งของกาย เป็นสภาพที่ปรุงแต่งกาย และเคยยึดถือว่าเป็นลมหายใจของเรา เป็นเราหายใจ แต่ขณะที่สติปัฏฐานเกิดขึ้น รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ ธาตุดิน ธาตุไฟ หรือธาตุลม เริ่มที่จะเข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีลักษณะอย่างนั้นเอง คือเป็นธาตุที่ไม่รู้อารมณ์ (คือเป็นรูปธรรม) เป็นการถ่ายถอนความเข้าใจผิดที่เคยยึดถือว่าเป็นเราที่หายใจหรือเป็นลมหายใจของเรา ทั้งนี้ แล้วแต่ว่าสติจะระลึกรู้ลักษณะใด โดยไม่จำกัดและไม่เจาะจง เพราะเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 17 พ.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย Tathata  วันที่ 18 พ.ย. 2565

เข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วค่ะ ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย lokiya  วันที่ 27 พ.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ