ขอเรียนท่านอาจารย์วิทยากรกรุณาอธิบายข้อความทั้ง ๓
พระอภิธรรมลึกซึ้งโดยสภาวะ
พระวินัยลึกซึ้งโดยกิจ
พระสูตรลึกซึ้งโดยอรรถ
ขออนุโมทนาค่ะ
ควรทราบว่าพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประกอบด้วย ปิฎก ๓ พระพระวินัยปิฎก พระสุตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ความลึกซึ้งของปิฎกทั้ง ๓ จึงต่างกัน คือ พระวินัยลึกซึ้งโดยกิจ พระสูตรลึกซึ้งโดยอรรถพระอภิธรรมลึกซึ้งโดยสภาวะ พระวินัยลึกซึ้งโดยกิจ คือ พระภิกษุที่ศึกษาประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยจะเห็นความละเอียดลึกซึ้งโดยกิจต่างๆ ในพระวินัยที่ทรงบัญญัติไว้ว่ากิจเล็กกิจน้อยหรือกิจสำคัญที่สงฆ์พึงประพฤติปฏิบัติมีคุณประโยชน์อย่างไร ส่วนพระสูตรทั้งหลายลึกซึ้งโดยอรรถ คือเนื้อความที่ลึกถึงโลกุตตระ ไม่ใช่แสดงเพียงพยัญชนะเรื่องราวบุคคลต่างๆ เท่านั้น ส่วนพระอภิธรรมลึกซึ้งโดยสภาวะ เพราะพระอภิธรรมปิฎกที่ทรงแสดงนั้นลึกซึ้งโดยสภาวะผู้ที่ศึกษาและรู้ตามย่อมทราบความลึกซึ้งด้วยปัญญา ถ้าปัญญาไม่เกิดก็ไม่เห็นความลึกซึ้งของพระธรรมได้..
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระวินัยลึกซึ้งโดยกิจ ... ข้อบัญญัติที่เป็นสิกขาบทของพระภิกษุสงฆ์นั้น ผู้ที่จะบัญญัติขึ้นต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าว่าสิกขาบทใดควรบัญญัติอย่างไร เวลาไหนและเป็นประโยชน์กับภิกษุทั้งหลายอย่างไร จึงเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งโดยกิจหน้าที่ของสิกขาบท ที่พระองค์ทรงแสดงในแต่ละข้ออันเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับพระภิกษุอย่างแท้จริงอันทำเกิดความผาสุขแก่พระภิกษุสงฆ์และแก้อกุศลที่เกิดขึ้นกับภิกษุสงฆ์ด้วย ซึ่งเกิดมาจากพระปัญญาของพระองค์เท่านั้นที่ทรงแสดงพระวินัย พระสูตร แสดงในสิ่งที่เป็นเรื่องราว สัตว์ บุคคล ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ธรรมดา ฟังง่ายแต่ลึกซึ้งโดยอรรถ เนื้อความที่ลึกซึ้งจนถึงโลกุตตรสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
พระอภิธรรมคือสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน แม้สภาพธรรมมีเป็นปกติในขณะนี้ แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม เพราะความลึกซึ้งของสภาพธรรมที่ต้องประจักษ์ด้วยปัญญา ประจักษ์ในสภาวะ ในลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
สภาพธรรมมีจริงเพราะมีสภาวะ มีลักษณะให้รู้ เช่น แข็งมีจริงเพราะมีลักษณะให้รู้ แต่การรู้นั้น รู้ด้วยจิตก็ได้ รู้ด้วยปัญาก็ได้ ตามปรกติแล้วเราก็รู้ว่าแข็ง แต่เป็นเราที่แข็ง แต่การเจริญสติปัฏฐาน เป็นสติและปัญญาที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม รู้ตัวสภาวะ ของสภาพธรรมจริงๆ อันเป็นการรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จะเห็นได้ว่าต้องเป็นปัญญาที่รู้ สภาพธรรมแสดงถึงความลึกซึ้งโดยสภาวะเพราะต้องรู้ด้วยปัญญา แม้จะสภาพธรรมจะปรากฏในชีวิตประวันก็ตามครับ
ขออนุโมทนา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ถ้าศึกษาพระอภิธรรมไม่ดีทำให้เป็นบ้าฟุ้งซ่าน
ถ้าศึกษาพระสูตรไม่ดีทำให้เป็นผู้มีความเห็นผิด
ถ้าศึกษาพระวินัยไม่ดีทำให้เป็นผู้ทุศีล เพราะไม่เห็นโทษโดยความเป็นโทษค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอรบกวนช่วยขยายความ ความเห็นที่ 4
ขออนุโมทนาค่ะ
ยินดีต้อนรับผู้มาใหม่ค่ะ คุณ a123 ที่นี่มีทั้งพระอภิธรรม พระวินัย และ
พระอภิธรรมให้ศึกษาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12587 ความคิดเห็นที่ 7 โดย orawan.c
ขอรบกวนช่วยขยายความ ความเห็นที่ 4
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จากข้อความของความเห็นที่ 4 ที่ว่า
ถ้าศึกษาพระอภิธรรมไม่ดีทำให้เป็นบ้าฟุ้งซ่าน ถ้าศึกษาพระสูตรไม่ดีทำให้เป็นผู้มีความ เห็นผิด ถ้าศึกษาพระวินัยไม่ดีทำให้เป็นผู้ทุศีล เพราะไม่เห็นโทษโดยความเป็นโทษค่ะ ถ้าศึกษาพระวินัยด้วยความไม่แยบคาย เข้าใจผิดแล้ว ก็จะทำให้ล่วงศีลได้ เช่น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทกับพระภิกษุ อนุญาตให้ใช้เครื่องลาดอันมีสัมผัส สบาย อ่อนนุ่มได้ ผู้ที่เข้าใจผิดก็เลยตีความรวมไปว่าถ้าอย่างนั้นการสัมผัส สตรีที่มี สัมผัสอ่อนนุ่มก็ไม่เป็นไร ทำให้เกิดการล่วงศีลได้ครับ
ถ้าศึกษาพระสูตรผิดทำให้เห็นผิด คือเห็นผิดว่ามีสัตว์บุคคลจริงๆ เพราะว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงในพระสูตร เช่น บุคคลเปรียบด้วยคนตาบอด คนตาเดียว คนสองตา จึงสำคัญผิดว่ามีสัตว์ บุคลจริง ไม่เข้าใจว่าเป็นเพียงสภาพธรรมเท่านั้นจึง ยึดถือผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล จากการศึกษาพระสูตรที่ผิดครับทำให้เห็นผิด
ถ้าศึกษาพระอภิธรรมผิดย่อมทำให้ฟุ้งซ่าน ผู้ที่ศึกษาอภิธรรมไม่แยบคาย ไม่เข้าใจอภิธรรมคือสภาพธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน ก็อยากรู้ชื่อมากๆ เพราะคิดนึกเรื่อง อะไรก็พยายามหาชื่อไปใส่ ว่าเป็นสภาพธรรมอะไร เจตสิกอะไร อยากรู้ในสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ เช่น สันตีรณะ คือขณะไหนในตอนนี้ ก็ย่อมฟุ้งซ่านในสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ วิจารณในสภาพธรรมที่ไม่สามารถรู้ได้ ไม่เข้าใจว่าอภิธรรมคือขณะนี้ในชีวิตประจำวัน และเราสามารถรู้ได้เท่าไหร่ครับ พระอภิธรรมในส่วนละเอียดย่อมเป็นปัญญาของพระพุทธเจ้าอันเป็นอจินไตย ผู้ที่ต้องการจะรู้ให้หมดย่อมถึงความฟุ้งซ่านเป็นบ้า
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ ... ว่าด้วยวิบัติ ๓ ประเภท [ธรรมสังคณี]
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติม ดังนี้ค่ะ ...
ภิกษุ ผู้ปฏิบัติผิดในพระอภิธรรม จะ "วิจารธรรมเกินไป" ย่อมคิด แม้สิ่งที่ไม่ควรคิด (อจินไตย) ต่อจากนั้น ก็จะถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต สมกับพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ เหล่านี้ บุคคลไม่ควรคิด ซึ่งเมื่อคิดอยู่ ก็พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า แห่งความคับแค้น ดังนี้.
จากข้อความในพระไตรปิฎก ชัดเจน ว่า บ้า ฟุ้งซ่าน เพราะคิดด้วความเห็นผิด เช่น คิดเรื่องราว ซึ่งรู้ไม่ได้ เช่น อจินไตย เป็นต้น.
แต่ ในกรณีที่เป็นการปฏิบัติผิด เพราะความเห็นผิดเช่นไปนั่งสมาธิ ... แล้วมีอาการผิดปกติ ... จากที่เคยเป็นปกติอย่างนี้ คือ การศึกษาพระอภิธรรม ไม่ดี ... เพราะว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระอภิธรรม จะวิจารธรรมเกินไป .
.
.
ไม่ทราบว่า เข้าใจผิด หรือเปล่านะคะ.! กรุณาแนะนำด้วยค่ะ.
เรียนความเห็นที่ 12 ครับ
ที่ว่าปฏิบัติผิดตามตัวอย่างนั้น ส่วนใหญ่เพราะไม่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด ไปทำตามผู้สอน โดยผู้สอนก็เข้าใจผิดไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดเหมือนกัน คือ คนไม่รู้ สอนคนไม่รู้ หรือคนตาบอดจูงคนตาบอดประมาณนั้น
ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ถ้าศึกษาพระอภิธรรมไม่ดีทำให้คิดมากเกินไป เกินปัญญาของตน เช่น คิดเรื่องปัฏฐาน หรือ ปฏิจจสมุปบาท โดยนัยต่างๆ ถ้าไปคิดก็รู้ไม่ได้ เพราะละเอียดลึกซึ้งเป็นปัญญา ของพระพุทธเจ้า ถ้าศึกษาพระสูตรไม่ดีทำให้มีความเห็นผิด คิดว่ามีคน สัตว์ จริงๆ มี คนตายจากชาตินี้ไปอีกชาติหนึ่ง เช่น พระพุทธเจ้าคือพระเวสสันดรเป็นคนคนเดียวกัน ถ้าศึกษาพระวินัยไม่ดีทำให้ทุศีล เช่น การกระทบสัมผัสกับผู้หญิงเหมือนกระทบสัมผัสกับสิ่งอื่น ไม่มีโทษ
สงสัยเหมือนกันนะครับว่าทำไมพระถึงถูกหรือกระทบหญิงไม่ได้ ถ้ายามปรกติไม่สงสัยเพราะจะเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา แต่ถ้าหญิงถูกงูกัดแล้วไม่มีใครอื่น พระจะเอาปากดูดพิษงูออกไปไม่ได้หรือเพื่อช่วยชีวิตหญิงเอาไว้ แล้วก็มีเรื่องที่พระอุ้มหญิงข้ามน้ำ พอข้ามมาแล้วก็ปล่อยลงแล้วเดินกลับวัด พอถึงวัดลูกศิษย์ถามว่าที่ไปอุ้มหญิงนั้นไม่อาบัติหรือ พระตอบว่าท่านปล่อยหญิงนั้นที่ข้ามน้ำแล้วส่วนเธอนั้นยังอุ้มมาถึงวัดอีกหรือ ครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ