ภูมินั้นเป็นภูมิที่เต็มไปด้วยความทุกข์
สำหรับผลของกรรมในอบายภูมิที่จะได้รับในชาติต่อไป ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ภูมิ น่ากลัวมาก และเป็นผลของปาณาติบาตนี่เอง ถ้าตราบใดยังไม่ถึงภูมินั้น ก็จะไม่ทราบเลยว่า ภูมินั้นเป็นภูมิที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เผ็ดร้อน แสนสาหัสสักเท่าไร
ฟังแล้ว ดูเหมือนว่า ผู้ที่อยู่ในมนุษย์โลกยากที่จะเชื่อว่า จะมีภูมินรกซึ่งแสนจะทรมานอย่างนั้นจริงๆ
นี่เป็นผลของปาณาติบาต การฆ่า การเบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อน การเบียดเบียนสัตว์อื่นให้เดือดร้อน ให้สิ้นชีวิต ซึ่งบาปกรรมที่ได้กระทำไปแล้ว มากมายในอดีต หรือว่าในปัจจุบันชาตินี้เอง ไม่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่สามารถจะทราบว่า วันไหนบาปกรรมนั้นจะให้ผล ซึ่งทุกท่านที่ได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตมา ก็คงจะประจักษ์ในความจริงที่ว่า ไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถจะทราบได้เลย
ขุททกนิกาย เนมิราชชาดก มีข้อความว่า
นายนิรยบาลผูกคอสัตว์นรก ด้วยตรวนเหล็กอันลุกโพลง แล้วตัดศีรษะ โยนลงไปในน้ำร้อน สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อยังอยู่ในมนุษย์โลก มีธรรมอันลามก จับนกมาฆ่าเลี้ยงชีพ จึงต้องถูกตัดศีรษะนอนอยู่
ขอเชิญรับฟัง
เนมิราชชาดก นายนิรยบาล และ สัตว์นรก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้า 239
อรรถกถามหานิบาต
เนมิราชชาดก
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระราชอุทยานอัมพวัน ของพระเจ้า มฆเทวราช ทรงอาศัย กรุงมิถิลา เป็นที่ภิกษาจาร ทรงปรารภการทำความแย้มพระโอฐให้ปรากฏ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อจฺเฉรํ วต โลกสฺมึ ดังนี้เป็นต้น.
เรื่องย่อมีว่า วันหนึ่ง พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก เสด็จจาริกไปในอัมพวันนั้นในเวลาเย็น ทอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศแห่งหนึ่งเป็นรมณียสถาน ทรงใคร่จะตรัสบุรพจริยาของพระองค์ จึงทรงแย้มพระโอฐ ท่านพระอานนทเถระกราบทูลถามเหตุที่ทรงแย้มพระโอฐ จึงมีพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ภูมิประเทศนี้เราเคยอาศัยอยู่ เจริญฌานในกาลที่เราเสวยชาติเป็น มฆเทวราชา ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพนิ่งอยู่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลวิงวอนเพื่อให้ทรงแสดง จึงประทับนั่ง ณ บวรพุทธาสนะที่ปูลาดไว้ ทรงนำอดีตนิทานมาแสดง ดังต่อไปนี้
...