ขอกราบเรียนถามว่า ในกรณีที่เรากำลังมีความคิดที่เป็นอกุศล แล้วขณะต่อมา ก็เกิดอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่าความคิดก่อนหน้านั้น เป็นอกุศล ซึ่งทำให้ความคิดอกุศลนั้นหยุดไป อย่างนี้ จะเรียกสติเกิด หรือ เป็นแค่ความคิดที่ระลึกได้จากการฟังคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด เป็นการแสดงถึงสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อเป็นธรรมก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่มีใครบังคับบัญชาให้ธรรมเกิดขึ้นได้ ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น รวมทั้งสติ ด้วย สติเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี เกิดร่วมกับจิตที่ดีงามทุกประเภท จะไม่เกิดร่วมกับอกุศลจิตเลย
สติเป็นสภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศลประการต่างๆ เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในการอบรมความสงบของจิตและเป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา ขณะใดก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปในทาน ไม่ได้เป็นไปในศีล ไม่ได้เป็นไปในการฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาแล้ว ก็ย่อมเป็นอกุศลทั้งหมด แสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่าอกุศลเกิดขึ้นเป็นไปมากทีเดียวในชีวิตประจำวัน และที่จะเป็นกุศลได้ ก็เพราะสติ เกิดขึ้นเป็นไป พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง แม้แต่ในเรื่องของการนึกขึ้นได้ ว่า อกุศลเกิดก็ต้องพิจารณาให้ละเอียดว่า นึกอย่างไร หากเป็นการคิดถึงอกุศลที่ดับไปแล้ว ว่าเป็นอกุศล ในความเป็นจริง เป็นการนึกคิดทีหลัง ที่เป็นคิดว่าเป็นอกุศลในขณะก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นขณะไหน แต่เพียงคิดได้ว่าเป็นอกุศล เหมือนคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรม ที่คิดได้ว่าเมื่อกี้โกรธ เกิดความโกรธขึ้น การคิดว่าเป็นอกุศลทีเกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นกุศล และ เป็นสติที่ระลึกได้ แต่การจะเป็นกุศลจิต ที่คิดถึงอกุศล มีสติในขณะนั้น ก็คือ นึกถึงอกุศลที่ดับไปแล้ว ว่ามีโทษ ไม่ดี ด้วยความเห็นโทษจริงๆ นี่คือสติ ที่เกิดจากขั้นการฟัง ที่เป็นความคิดนึกที่เห็นโทษของอกุศลที่เกิดขึ้น และถ้าเป็นการที่จะรู้อกุศลจริงๆ ก็คือ รู้ตัวลักษณะของสภาพธรรมทีกำลังปรากฎว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ดังนั้น ก็เป็นการคิดนึก ที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็น สติ เพราะ สติหมายถึงกั้นกระแส และขณะนั้น จะต้องระลึกถูก ว่าเป็นอกุศลที่มีโทษในขั้นคิดนึก เพราะ แม้คนที่ไม่ศึกษาธรรม ก็คิดได้ว่า โกรธอยู่ แต่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสติเลย ครับ
การที่สติเกิด ในขั้นคิดนึก คือ การเห็นโทษ เห็นภัยขอองกุศลตามความเป็นจริง และสติขั้นสูงที่เกิดพร้อมปัญญา ย่อมระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ครับ
ท่านอาจารย์สุจินต์ อธิบายประเด็นนี้ไว้และ ทำให้เข้าใจขึ้นดังนี้ ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ ทุกคนคิดทุกวัน และบางคนก็คิดถึงเรื่องในอดีต เคยทำอะไร เคยพูดอะไรก็จำได้ แต่ตามปกติธรรมดานั้น จิตที่ระลึกนั้นเป็นอกุศล แล้วแต่จะระลึกด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง แต่สำหรับสติแล้วละก็ จะต้องเป็นการระลึกด้วยกุศล สภาพของจิตที่ระลึกต้องเป็นกุศลเจ้าค่ะ แม้ว่าจะระลึกถึงสิ่งที่เคยทำ หรือว่าคำที่เคยพูดไว้ เพื่อพิจารณาว่าผิดหรือถูกประการใด แล้วแก้ไข ถ้าระลึกถึงสิ่งที่เคยทำไม่ดี มีประโยชน์ไหมคะ ถ้าระลึกด้วยความกังวล แล้วก็ขุ่นข้องใจ ขณะนั้นเป็นวิตกเจตสิก ไม่ใช่สติเจ้าค่ะ แต่ว่า ถ้าขณะนั้นระลึกแล้ว เห็นว่า เป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วก็รู้ได้ว่า ไม่ควรที่จะกระทำอีกต่อไป ในขณะนั้นก็เป็น มหากุศล ที่ระลึก เรื่องที่เคยทำ หรือว่า คำที่ได้เคยพูดไว้
พระภิกษุ หมายความว่า ต้องเป็นไปในทางกุศลอย่างเดียว
ท่านอาจารย์ แน่นอนเจ้าค่ะ ถ้าเป็นสติแล้วต้องเป็นกุศล มิฉะนั้นแล้วก็เป็นลักษณะของวิตกเจตสิก เจ้าค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โกรธมีจริง จะรู้โกรธตามความเป็นจริง ไม่ใช่คิด แต่เป็นการรู้ด้วยปัญญา และขณะนั้นก็พร้อมด้วยโสภณธรรมที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น มีศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น
สิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะนี้ แม้จะเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แต่ถ้าไม่อาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงได้ การรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ นั้น ต้องเป็นปัญญาเท่านั้น และเป็นการยากที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้ ต้องอาศัยการสะสมปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับจริงๆ กว่าที่จะมีปัญญาขั้นสูงๆ ก็ต้องเริ่มจากการสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย สิ่งสำคัญต้องมีการฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษาธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนฃ เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากเราคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้นจึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคลได้ในที่สุด
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จึงต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน และมีความมั่นคงในหนทางที่ถูกต้อง นั่นก็คือ การอบรมเจริญปัญญา แล้วปัญญา จะมาจากไหน ถ้าไม่อาศัยการฟัง การสอบถาม การพิจารณาไตร่ตรอง การคบกัลยาณมิตรผู้มีปัญญา สิ่งเหล่านี้จะเป็นเหตุให้ปัญญาเกิดขึ้น เจริญขึ้นไปตามลำดับอย่างแท้จริง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขณะที่โกรธเป็นอกุศล แต่จะเป็นกุศล ต้องรู้ว่าโกรธเป็นธรรม ค่ะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ