[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 377
๑. อิตถิวิมานวัตถุ
มัญชิฏฐกวรรคที่ ๔
๘. อัมพวิมาน
ว่าด้วยอัมพวิมาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 48]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 377
๘. อัมพวิมาน
ว่าด้วยอัมพวิมาน
พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดาองค์หนึ่งว่า
[๔๖] สวนมะม่วงทิพย์ของท่านน่ารื่นรมย์ ในสวนนี้มีปราสาทหลังใหญ่กึกก้องไปด้วยดนตรีต่างๆ เจื้อยแจ้วไปด้วยหมู่เทพอัปสร อนึ่ง ในปราสาทนี้มีประทีปทองดวงใหญ่สว่างไสวอยู่เป็นนิตย์ ปราสาทของท่านแวดล้อมด้วยต้นไม้ที่ออกผลเป็นผ้าโดยรอบ ด้วยบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ ด้วยบุญอะไรจึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 378
ดูราเทพธิดาผู้มีอานุภาพใหญ่ อาตมาขอถามท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ท่านทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพธิดานั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว จึงพยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
เมื่อชาติก่อน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ในมนุษยโลก ดีฉันมีจิตเลื่อมใสได้สร้างวิหารถวายสงฆ์ แวดล้อมไปด้วยต้นมะม่วง เมื่อสร้างวิหารสำเร็จเรียบร้อยแล้วได้ทำการฉลอง เอาผ้าหุ้มต้นมะม่วงทั้งหลาย ทำผลมะม่วงด้วยผ้า ตามประทีปไว้ที่ต้นมะม่วงนั้นๆ นิมนต์หมู่สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นหมู่สูงสุดให้ฉันแล้ว มอบถวายวิหารนั้นแก่สงฆ์ ด้วยมือของตน เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีมะม่วงที่น่ารื่นรมย์ มีปราสาทหลังใหญ่ในสวนนี้ ซึ่งกึกก้องไปด้วยดนตรีต่างๆ เจื้อยแจ้วไปด้วยหมู่เทพอัปสร อนึ่ง ปราสาทนี้จึงมีประทีปทองดวงใหญ่สว่างไสวอยู่เป็นนิตย์ ปราสาทของดีฉันจึงแวดล้อมด้วยต้นไม้ที่ออกผลเป็นผ้าโดยรอบ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญนั้น. ผลอันนี้จึง สำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 379
ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันเป็นมนุษย์ได้กระทำบุญอันใดไว้ เพราะบุญอันนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
จบอัมพวิมาน
อรรถกถาอัมพวิมาน
อัมพวิมาน มีคาถาว่า ทิพฺพํ เต อมฺพวนํ รมฺมํ เป็นต้น. อัมพวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน กรุงสาวัตถี. สมัยนั้น อุบาสิกคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี ได้ฟังว่า การถวายอาวาสมีผลมาก และมีอานิสงส์มาก เกิดฉันทะความพอใจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีความประสงค์จะสร้างอาวาสแห่งหนึ่ง ขอได้โปรดตรัสบอกโอกาสเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายได้แสดงที่ให้อุบาสิกานั้น นางได้สร้างอาวาสที่น่ารื่นรมย์ในที่นั้นแล้วให้ปลูกต้นมะม่วงรอบอาวาสนั้น.
อาวาสนั้นมีต้นมะม่วงเรียงรายล้อมรอบ สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ มีภูมิภาคขาวสะอาดเกลื่อนกลาดด้วยทราย คล้ายข่ายแก้วมุกดาน่าจับใจเหลือเกิน.
นางตกแต่งวิหารนั้นด้วยผ้าสีต่างๆ และด้วยพวงดอกไม้พวงของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 380
หอมเป็นต้นจนดูคล้ายเทพวิมาน ติดตั้งตะเกียงน้ำมันและเอาผ้าใหม่พันต้นมะม่วงทั้งหลายแล้วมอบถวายแด่สงฆ์.
ต่อมา นางทำกาลกิริยาตายไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ วิมานหลังใหญ่แวดล้อมไปด้วยสวนมะม่วงได้ปรากฏแก่นาง.
นางแวดล้อมไปด้วยหมู่อัปสรเสวยทิพยสมบัติอยู่ในวิมานนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปหานางแล้ว ถามด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
สวนมะม่วงทิพย์ของท่านน่ารื่นรมย์ ในสวนนี้มีปราสาทหลังใหญ่กึกก้องไปด้วยดนตรีต่างๆ เจื้อยแจ้วไปด้วยหมู่เทพอัปสร อนึ่ง ในปราสาทนี้มีประทีปทองดวงใหญ่ สว่างไสวอยู่เป็นนิตย์ ปราสาทของท่านแวดล้อมด้วยต้นไม้ที่ออกผลเป็นผ้าโดยรอบ ด้วยบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ ด้วยบุญอะไร ผลอันนี้จงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.
ดูราเทพธิดาผู้มีอานุภาพใหญ่ อาตมาขอถามท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ท่านทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพธิดานั้นดีใจ ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว จึงพยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
เมื่อชาติก่อน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์อยู่ในมนุษยโลก ดีฉันมีจิตเลื่อมใสได้สร้างวิหารถวาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 381
สงฆ์ แวดล้อมไปด้วยต้นมะม่วง เมื่อสร้างวิหารสำเร็จเรียบร้อยแล้วได้ทำการฉลอง เอาผ้าหุ้มต้นมะม่วงทั้งหลาย ทำผลมะม่วงด้วยผ้าตามประทีปไว้ ที่ต้นมะม่วงนั้นๆ นิมนต์หมู่สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นหมู่สูงสุดให้ฉัน แล้วมอบถวายวิหารนั้นแด่สงฆ์ด้วยมือของตน เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีสวนมะม่วงที่น่ารื่นรมย์ มีปราสาทหลังใหญ่ในสวนนี้ ซึ่งกึกก้องไปด้วยดนตรีต่างๆ เจื้อยแจ้วไปด้วยหมู่เทพอัปสร อนึ่ง ในปราสาทนี้จึงมีประทีปทองดวงใหญ่สว่างไสวอยู่เป็นนิตย์ ปราสาทของดีฉันจึงแวดล้อมด้วยต้นไม้ที่ออกผลเป็นผ้าโดยรอบ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญนั้นผลอันนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันเป็นมนุษย์ได้กระทำบุญอันใดไว้ เพราะบุญข้อนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพธิดานั้นได้พยากรณ์ด้วยประการฉะนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหลฺลโก แปลว่า ใหญ่ อธิบายว่า ไพบูลย์ คือโอฬารที่สุด ทั้งโดยส่วนยาวส่วนกว้างและส่วนสูง. บทว่า อจฺฉราคณโฆสิโต ความว่า สนุกสนานครื้นเครงไปด้วยหมู่เทพอัปสร ขับร้องบ้าง เจรจาน่ารักบ้าง ทำเทพธิดานั้นให้บันเทิงใจ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 382
บทว่า ปทีโป เจตฺถ ชลติ ความว่า ประทีปแก้วมีรัศมีรุ่งเรืองแผ่กระจายไปดุจรัศมีพระอาทิตย์ ย่อมรุ่งเรืองยิ่งในที่นี้ คือในปราสาทนี้. บทว่า ทุสฺสผเลหิ ความว่า ผลทั้งหลายของต้นมะม่วงเหล่านั้นเป็นผ้า เหตุนั้นต้นมะม่วงเหล่านั้นจึงชื่อว่าออกผลเป็นผ้า อธิบายว่า ด้วยต้นมะม่วงเหล่านั้น คือ ที่คายผลออกมาเป็นผ้าทิพย์.
บทว่า กาเรนฺเต นิฏฺิเต มเห ความว่า เมื่อทำการบูชาในการฉลองวิหารที่สร้างสำเร็จแล้ว. บทว่า กตฺวา ทุสฺสมเย ผเล ความว่า ทำผ้าทั้งหลายนั่นแหละให้เป็นผลของมะม่วงเหล่านั้น.
บทว่า คณุตฺตมํ ได้แก่ หมู่พระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งสูงสุดแห่งหมู่ทั้งหลาย. บทว่า นิยฺยาเทสึ ความว่า ได้มอบ คือได้ถวายแล้ว. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาอัมพวิมาน