ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
แนวทางเจริญวิปัสสนาโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ใน ขุททกนิกาย เถรคาถา เตลุกานิ เถรคาถา
มีข้อความว่า พระศาสดา ผู้มีอาวุธ คือ ปัญญา ผู้อันหมู่ฤาษี อาศัยแล้วเป็นที่พึ่งแก่ เรา ผู้มีภัยเกิดแล้ว ผู้แสวงหาฝั่ง คือ นิพพาน พระองค์ ทรงประทาน บันไดอันนายช่างทำดีแล้วบริสุทธิ์ ทำด้วยไม้แก่น คือ ธรรมะ เป็นบันได มั่นคงแก่เรา ผู้ถูกกระแสตัณหาพัดพาไปอยู่และได้ตรัสเตือนเราว่า "อย่ากลัวเลย"
เราได้ขึ้นสู่ ปราสาท คือ สติปัฏฐานแล้ว พิจารณา เห็นหมู่สัตว์ ผู้ยินดี ในร่างกายของตน ที่เรา ได้สำคัญ ในกาลก่อน โดยเป็นแก่นสาร ก็เมื่อใด เราได้เห็นทาง อันเป็นอุบายขึ้นสู่เรือเมื่อนั้น เราจักไม่ยึดถือ ว่าเป็นตัวตนได้เห็นท่า คือ อริยมรรคอันอุดม
พระพุทธเจ้า ทรงแสดงทางอันสูงสุดเพื่อไม่ให้บาปธรรมทั้งหลาย มีทิฎฐิ และ มานะ เป็นต้นซึ่งเป็นลูกศร เกิดขึ้นในตนเกิดแต่ตัณหา เครื่องนำไปสู่ภพ เป็นไปได้ พระพุทธเจ้ากำจัดโทษ อันเป็นพิษ ได้ทรงบรรเทากิเลส เครื่องร้อยรัดของเราอันนอนเนื่องอยู่ในสันดาน อันตั้งอยู่แล้วในใจเรา ตลอดกาลนาน
ท่าน ผู้ที่รู้เรื่องกิเลสของตน เห็นภัย ของกิเลสที่ตนมีและใคร่จะหมดกิเลส ซึ่งเป็นโทษภัยนั้น ซึ่ง ก็พอจะเปรียบเทียบกับตัวเราได้ว่า เรา เป็นผู้ที่เป็นไปกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนถูกพัดไป ด้วยกระแสน้ำไหลเชี่ยว เมื่อมีความเห็นผิด ก็ย่อมมีความหวั่นไหว ถูกกิเลสต่างๆ พัดพาไป แต่เมื่อขึ้นสู่ปราสาทที่มั่นคง คือ สติปัฏฐานก็เหมือนกับที่ท่านพระเถระ ได้กล่าวว่าท่านได้ถูกยกขึ้นจากน้ำที่ท่านตกลงไป ด้วยบันได ที่มั่นคง
นี่คือ อานิสงค์ของการฟัง เรื่องสติปัฏฐาน ฟังให้ได้เหตุผล ให้เข้าใจ ถึงแม้ว่าจิตใจจะมี โลภะ โทสะ โมหะ มุ่งลาภ มุ่งอะไรก็ตาม แต่ที่จะทำให้เป็นไป ด้วยกำลังของกิเลส แต่ เพราะว่า ได้ฟังเนืองๆ ได้ฟังบ่อยๆ ท่านก็สามารถที่จะ มนสิการ พิจารณา รู้ลักษณะของ ธรรม ที่กำลังปรากฏ นั้น ตามปกติ ตามความเป็นจริงได้
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์
สาธุ
สาธุ
ขออนุโทนาด้วยครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ