[เล่มที่ 16] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 77
สิงคาลกสูตร
เรื่อง สิงคาลกคฤหบดีบุตร หน้า 77
กถาว่าด้วยอบายมุข ๔ หน้า 78
กถาว่าด้วยอบายมุข ๖ หน้า 80
กถาว่าด้วยมิตรเทียม หน้า 84
กถาว่าด้วยมิตรแท้ หน้า 85
กถาว่าด้วยทิศ ๖ หน้า 87
อรรถกถาสิงคาลกสูตร หน้า 94
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 16]
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 77
๘. สิงคาลกสูตร
เรื่อง สิงคาลกคฤหบดีบุตร - ว่าด้วยคิหิปฏิบัติ
[๑๗๒] ข้าพเจ้า ได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต ใกล้กรุงราชคฤห์ สมัยนั้นสิงคาลกบุตรคฤหบดีลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าเปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลีนอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน
[๑๗๓] ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองผ้า ถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกบุตรคฤหบดี ซึ่งลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าเปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลี นอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน ครั้นทอดพระเนตรเห็นแล้ว ได้ตรัสถามว่า ดูก่อนบุตรคฤหบดี เธอลุกแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าเปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลี นอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่ เพราะเหตุอะไร
สิงคาลกบุตรคฤหบดีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บิดาของข้าพระองค์ เมื่อจะทํากาลกิริยา ได้กล่าวไว้อย่างนี้ว่า นี่แน่ลูก เจ้าพึงนอบน้อมทิศทั้งหลาย ข้าพระองค์สักการะเคารพนับถือบูชาคําของบิดา
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 78
จึงลุกขึ้นแต่เช้าออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าเปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลี นอบน้อมทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบนอยู่
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ในวินัยของพระอริยเจ้า เขาไม่นอบน้อม ทิศทั้ง ๖ กันอย่างนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในวินัยของพระอริยเจ้า ท่านนอบน้อมทิศ ๖ กันอย่างไร ขอประทานโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ตามที่ในวินัยของพระอริยเจ้า ท่านนอบน้อมทิศ ๖ กันนั้นเถิด พระเจ้าข้า
กถาว่าด้วยอบายมุข ๔
[๑๗๔] ดูก่อนคฤหบดีบุตร ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงตั้งใจให้ดี เราจักกล่าว. สิงคาลกคฤหบดีบุตรกราบทูลรับพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีบุตร อริยสาวกละกรรมกิเลส ๔ ได้แล้ว ไม่ทําบาปกรรมโดยฐานะ ๔ และไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะ ๖ อริยสาวกนั้นเป็นผู้ปราศจากกรรมอันลามก ๑๔ อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้ปกปิดทิศ ๖ ย่อมปฏิบัติเพื่อชนะโลกทั้งสอง และเป็นอันอริยสาวกนั้นปรารภแล้วทั้งโลกนี้และโลกหน้า. เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก อริยสาวกนั้นย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
กรรมกิเลส ๔ เป็นไฉน ที่อริยสาวกละได้แล้ว. ดูก่อนคฤหบดีบุตร กรรมกิเลสคือปาณาติบาต ๑ อทินนาทาน ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ๑
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 79
มุสาวาท ๑ กรรมกิเลส ๔ เหล่านี้ ที่อริยสาวกนั้นละได้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
[๑๗๕] ปาณาติบาต อทินนาทาน มุสาวาทและการคบหาภรรยาผู้อื่น เรากล่าวว่าเป็นกรรมกิเลส บัณฑิตทั้งหลายไม่สรรเสริญ
[๑๗๖] อริยสาวกไม่ทําบาปกรรมโดยฐานะ ๔ เป็นไฉน ปุถุชน ถึงฉันทาคติ ย่อมทํากรรมลามก ถึงโทสาคติ ย่อมทํากรรมลามก ถึงโมหาคติ ย่อมทํากรรมลามก ถึงภยาคติ ย่อมทํากรรมลามก. ดูก่อนคฤหบดีบุตร ส่วนอริยสาวก ไม่ถึงฉันทาคติ ไม่ถึงโทสาคติ ไม่ถึงโมหาคติ ไม่ถึงภยาคติ. ท่านย่อมไม่ทํากรรมอันลามก โดยฐานะ ๔ เหล่านี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า
[๑๗๗] ผู้ใดประพฤติล่วงธรรม เพราะความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง ยศของผู้นั้นย่อมเสื่อมเหมือนดวงจันทร์ในข้างแรม
ผู้ใดไม่ประพฤติล่วงธรรม เพราะความรัก ความชัง ความกลัว ความหลง ยศย่อมเจริญแก่ผู้นั้น เหมือนดวงจันทร์ในข้างขึ้น.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 80
กถาว่าด้วยอบายมุข ๖
[๑๗๘] อริยสาวกไม่เสพทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลาย เป็นไฉน. ดูก่อนคฤหบดีบุตร การเสพน้ำเมา คือสุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑ การเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑ การเที่ยวดูมหรสพเป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑ การเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑ การคบคนชั่วเป็นมิตร เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑ ความเกียจคร้าน เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลายประการ ๑
[๑๗๙] ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเสพน้ำเมา คือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการ คือ ความเสื่อมทรัพย์อันผู้เสพพึงเห็นเอง ๑ ก่อการทะเลาะวิวาท ๑ เป็นบ่อเกิดแห่งโรค ๑ เป็นเหตุเสียชื่อเสียง ๑ เป็นเหตุไม่รู้จักอาย ๑ เป็นเหตุทอนกําลังปัญญา ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเสพน้ำเมา คือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้แล
[๑๘๐] ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน ๖ ประการ คือ ชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาตัว ๑ ชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาบุตรภรรยา ๑ ชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาทรัพย์สมบัติ ๑ เป็นที่ระแวงของคนอื่น ๑ คําพูดอันไม่เป็นจริงในที่นั้นๆ ย่อมปรากฏในผู้นั้น ๑ ทําให้เกิดความลําบากมาก ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 81
๖ ประการในการเที่ยวไปในตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืนเหล่านี้แล
[๑๘๑] ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเที่ยวดูมหรสพ ๖ ประการ คือ รําที่ไหนไปที่นั่น ๑ ขับร้องที่ไหนไปที่นั่น ๑ ประโคมที่ไหนไปที่นั่น ๑ เสภาที่ไหนไปที่นั่น ๑ เพลงที่ไหนไปที่นั่น ๑ เถิดเทิงที่ไหนไปที่นั่น ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเที่ยวดูมหรสพเหล่านี้แล
[๑๘๒] ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๖ ประการ คือ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ๑ ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป ๑ ความเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน ๑ ถ้อยคําของคนเล่นการพนัน ซึ่งไปพูดที่ประชุมฟังไม่ขึ้น ๑ ถูกมิตรอํามาตย์หมิ่นประมาท ๑ ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย เพราะเห็นว่าชายนักเลงเล่นการพนันไม่สามารถจะเลี้ยงภรรยา ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเล่นการพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเหล่านี้แล
[๑๘๓] ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการคบคนชั่วเป็นมิตร ๖ ประการ คือ นําให้เป็นนักเลงการพนัน ๑ นําให้เป็นนักเลงเจ้าชู้ ๑ นําให้เป็นนักเลงเหล้า ๑ นําให้เป็นคนลวงผู้อื่นด้วยของปลอม ๑ นําให้เป็นคนโกงเขาซึ่งหน้า ๑ นําให้เป็นคนหัวไม้ ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการคบคนชั่วเป็นมิตรเหล่านี้แล
[๑๘๔] ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษในการเกียจคร้าน ๖ ประการ คือ มักให้อ้างว่าหนาวนักแล้วไม่ทําการงาน ๑ มักให้อ้างว่าร้อนนักแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 82
ไม่ทําการงาน ๑ มักให้อ้างว่าเย็นแล้ว แล้วไม่ทําการงาน ๑ มักให้อ้างว่ายังเช้าอยู่ แล้วไม่ทําการงาน ๑ มักให้อ้างว่าหิวนัก แล้วไม่ทําการงาน ๑ มักให้อ้างว่ากระหายนัก แล้วไม่ทําการงาน ๑ เมื่อเขามากไปด้วยการอ้างเลศ ผัดเพี้ยนการงานอยู่อย่างนี้ โภคะที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ถึงความเสื่อมสิ้นไป. ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการในการเกียจคร้านเหล่านี้แล. พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๘๕] เพื่อนในโรงสุราก็มี เพื่อนกล่าวแต่ปากว่าเพื่อนๆ ก็มี ส่วนผู้ใดเป็นสหาย เมื่อความต้องการเกิดขึ้นแล้ว ผู้นั้นจัดว่าเป็นเพื่อนแท้.
เหตุ ๖ ประการเหล่านี้คือ การนอนสาย ๑ การเสพภรรยาผู้อื่น ๑ การผูกเวร ๑ ความเป็นผู้ทําแต่สิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑ มิตรชั่ว ๑ ความเป็นผู้ตระหนี่เหนี่ยวแน่น ๑ ย่อมกําจัดบุรุษเสียจากประโยชน์สุขที่จะพึงได้ พึงถึง.
คนมีมิตรชั่วมีมารยาทและโคจรชั่ว ย่อมเสื่อมจากโลกทั้งสองคือ จากโลกนี้และจากโลกหน้า.
เหตุ ๖ ประการ คือ การพนันและหญิง ๑
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 83
สุรา ๑ ฟ้อนรําขับร้อง ๑ นอนหลับในกลางวันบําเรอตนในสมัยมิใช่กาล ๑ มิตรชั่ว ๑ ความตระหนี่เหนียวแน่น ๑ เหล่านี้ย่อมกําจัดบุรุษเสียจากประโยชน์ที่จะพึงได้ พึงถึง.
ชนเหล่าใดเล่นการพนัน ดื่มสุรา เสพหญิงภรรยาที่รักเสมอด้วยชีวิตของผู้อื่น คบแต่คนต่ําช้า และไม่คบหาคนที่มีความเจริญ ย่อมเสื่อมดุจดวงจันทร์ในข้างแรม ผู้ใดดื่มสุรา ไม่มีทรัพย์ หาการงานทําเลี้ยงชีวิตมิได้ เป็นคนขี้เมาปราศจากสิ่งเป็นประโยชน์ เขาจักจมลงสู่หนี้เหมือนก้อนหินจมน้ำฉะนั้น จักทําความอากูลแก่ตนทันที.
คนที่ปรกตินอนหลับในกลางวัน เกลียดชังการลุกขึ้นในกลางคืน เป็นนักเลงขี้เมาเป็นนิจไม่อาจครอบครองเรือนให้ดีได้ ประโยชน์ทั้งหลาย ย่อมล่วงเลย ชายหนุ่มที่ละทิ้งการงาน ด้วยอ้างว่าหนาวนัก ร้อนนัก เวลานี้เย็นเสียแล้วดังนี้เป็นต้น ส่วนผู้ใดไม่สําคัญความหนาว ความร้อน ยิ่งไปกว่าหญ้า ทํากิจของบุรุษอยู่ ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมจากความสุข ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 84
กถาว่าด้วยมิตรเทียม
[๑๘๖] ดูก่อนคฤหบดีบุตร คน ๔ จําพวกเหล่านี้ คือ คนปอกลอก ๑ คนดีแต่พูด ๑ คนหัวประจบ ๑ คนชักชวนในทางฉิบหาย ๑ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร.
[๑๘๗] ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนปอกลอกท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตรโดยสถาน ๔ คือ เป็นคนคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ๑ เสียให้น้อย คิดเอาให้ได้มาก ๑ ไม่รับทํากิจของเพื่อนในคราวมีภัย ๑ คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๑. คฤหบดีบุตร คนปอกลอกท่าน พึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล.
[๑๘๘] ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูด ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร แต่เป็นคนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ เก็บเอาของล่วงแล้วมาปราศรัย ๑ อ้างเอาของที่ยังไม่มาถึงมาปราศรัย ๑ สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ๑ เมื่อกิจเกิดขึ้นแสดงความขัดข้อง (ออกปากพึ่งมิได้) ๑. ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนดีแต่พูดท่านพึงทราบว่า ไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล.
[๑๘๙] ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ ตามใจเพื่อนให้ทําความชั่ว (จะทําชั่วก็คล้อยตาม) ๑ ตามใจเพื่อนให้ทําความดี (จะทําดีก็คล้อยตาม) ต่อหน้าก็สรรเสริญ ๑ ลับหลังนินทา ๑. ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนหัวประจบ ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 85
[๑๙๐] ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตร เป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ คือ ชักชวนให้ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ชักชวนให้เที่ยวตามตรอกต่างๆ ในเวลากลางคืน ๑ ชักชวนให้ดูการมหรสพ ๑ ชักชวนให้เล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนชักชวนในทางฉิบหาย ท่านพึงทราบว่าไม่ใช่มิตรเป็นแต่คนเทียมมิตร โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๙๑] บัณฑิตผู้รู้แจ้งมิตร ๔ จําพวกเหล่านี้ คือ มิตรปอกลอก ๑ มิตรดีแต่พูด ๑ มิตรหัวประจบ ๑ มิตรชักชวนในทางฉิบหาย ว่าไม่ใช่มิตรแท้ พึงเว้นเสียให้ห่างไกล เหมือนคนเดินทาง เว้นทางที่มีภัยเฉพาะหน้า ฉะนั้น
[๑๙๒] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตร ๔ จําพวกเหล่านี้ คือ มิตรมีอุปการะ ๑ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ มิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรมีใจดี (เป็นมิตรแท้).
กถาว่าด้วยมิตรแท้
[๑๙๓] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะ ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ รักษาเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑ รักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ๑ เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพํานักได้ ๑ เมื่อกิจที่
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 86
จําต้องทําเกิดขึ้นเพิ่มทรัพย์ให้สองเท่า ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีอุปการะท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล.
[๑๙๔] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ บอกความลับแก่เพื่อน ๑ ปิดความลับของเพื่อน ๑ ไม่ละทิ้งในเหตุอันตราย ๑ แม้ชีวิตก็อาจสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตรแท้โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล.
[๑๙๕] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ ห้ามจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑ บอกทางสวรรค์ให้ ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรแนะประโยชน์ ท่านพึงทราบว่า เป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล.
[๑๙๖] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ พึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ คือ ไม่ยินดีด้วยความเสื่อมของเพื่อน ๑ ยินดีด้วยความเจริญของเพื่อน ๑ ห้ามคนที่กล่าวโทษเพื่อน ๑ สรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน ๑ ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรมีความรักใคร่ ท่านพึงทราบว่าเป็นมิตรแท้ โดยสถาน ๔ เหล่านี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๑๙๗] บัณฑิตรู้แจ้งมิตร ๔ จําพวก เหล่านี้ คือ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 87
มิตรมีอุปการะ ๑ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๑ อมิตรแนะประโยชน์ ๑ มิตรมีความรักใคร่ ๑ ว่าเป็นมิตรแท้ฉะนี้แล้ว พึงเข้าไป คบหาโดยเคารพ เหมือนมารดากับบุตรฉะนั้น.
บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมรุ่งเรืองส่องสว่างเพียงดังไฟ เมื่อบุคคลสะสมโภคสมบัติอยู่เหมือนแมลงผึ้งสร้างรัง โภคสมบัติย่อมถึงความเพิ่มพูนดุจจอมปลวกอันตัวปลวกก่อขึ้น ฉะนั้น
คฤหัสถ์ในตระกูลผู้สามารถ ครั้นสะสมโภคสมบัติได้อย่างนี้ พึงแบ่งโภคสมบัติออกเป็น ๔ ส่วน เขาย่อมผูกมิตรไว้ได้ พึงใช้สอยโภคทรัพย์ด้วยส่วนหนึ่ง พึงประกอบการงานด้วยสองส่วน พึงเก็บส่วนที่สี่ไว้ด้วยหมายจักมีไว้ในยามมีอันตราย ดังนี้.
กถาว่าด้วยทิศ ๖
[๑๙๘] ดูก่อนคฤหบดีบุตร ก็อริยสาวกเป็นผู้ปกปิดทิศทั้ง ๖ อย่างไร. ท่านพึงทราบทิศ ๖ เหล่านี้คือ พึงทราบมารดาบิดาว่า เป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา บุตรและภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง มิตร
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 88
และอํามาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย ทาสและกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ํา สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน.
[๑๙๙] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรธิดาพึงบํารุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยตั้งใจว่า ท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑ จักรับทํากิจของท่าน ๑ จักดํารงวงศ์ตระกูล ๑ จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก ๑ เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทําบุญอุทิศให้ท่าน ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดา ผู้เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรพึงบํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้วย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ คือ ห้ามจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ ให้ศึกษาศิลปวิทยา ๑ หาภรรยาที่สมควรให้ ๑ มอบทรัพย์ให้ในสมัย ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดา ผู้เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรบํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้วย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องหน้านั้น ชื่อว่าอันบุตรปกปิดให้เกษมสําราญให้ไม่มีภัยด้วยประการ ฉะนี้
[๒๐๐] ดูก่อนคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวา อันศิษย์บํารุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยลุกขึ้นยืนรับ ๑ ด้วยเข้าไปยืนคอยต้อนรับ ๑ ด้วยการเชื่อฟัง ๑ ด้วยการปรนนิบัติ ๑ ด้วยการเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ ๑.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 89
ดูก่อนคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวา อันศิษย์พึงบํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน ๕ คือ แนะนําดี ๑ ให้เรียนดี ๑ บอกศิษย์ด้วยดีในศิลปวิทยาทั้งหมด ๑ ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง ๑ ทําความป้องกันในทิศทั้งหลาย ๑
ดูก่อนคฤหบดีบุตร อาจารย์ผู้เป็นทิศเบื้องขวา อันศิษย์บํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องขวานั้น ชื่อว่า อันศิษย์ปกปิดให้เกษมสําราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการ ฉะนี้.
[๒๐๑] ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง อันสามีพึงบํารุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยยกย่องว่าเป็นภรรยา ๑ ด้วยไม่ดูหมิ่น ๑ ด้วยไม่ประพฤตินอกใจ ๑ ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้ ๑ ด้วยให้เครื่องแต่งตัว ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง อันสามีบํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ คือจัดการงานดี ๑ สงเคราะห์คนข้างเคียงสามีดี ๑ ไม่ประพฤตินอกใจสามี ๑ รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ ๑ ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลังอันสามีบํารุงด้วยสถานเหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องหลังนั้น ชื่อว่า อันสามีปกปิดให้เกษมสําราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการฉะนี้.
[๒๐๒] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย อันกุลบุตรพึงบํารุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยการให้ปัน ๑ ด้วยเจรจาถ้อยคําเป็นที่รัก ๑
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 90
ด้วยประพฤติประโยชน์ ๑ ด้วยความเป็นผู้มีตนเสมอ ๑ ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความเป็นจริง ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้าย อันกุลบุตรบํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ คือ รักษามิตรผู้ประมาทแล้ว ๑ รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ว ๑ เมื่อมิตรมีภัย เอาเป็นที่พึ่งพํานักได้ ๑ ไม่ละทิ้งในยามวิบัติ ๑ นับถือตลอดถึงวงศ์ตระกูลของมิตร ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรผู้เป็นทิศเบื้องซ้ายอันกุลบุตรบํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศเบื้องซ้ายนั้นชื่อว่าอันกุลบุตรปกปิดให้เกษมสําราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการ ฉะนี้.
[๒๐๓] ดูก่อนคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกร ผู้เป็นทิศเบื้องต่ํา อันนายพึงบํารุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยจัดการงานให้ทําตามสมควรแก่กําลัง ๑ ด้วยให้อาหารและรางวัล ๑ ด้วยรักษาในคราวเจ็บไข้ ๑ ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้ ๑ ด้วยปล่อยให้ในสมัย ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ํา อันนายบํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕ คือ ลุกขึ้นทําการงานก่อนนาย ๑ เลิกการงานทีหลังนาย ๑ ถือเอาแต่ของที่นายให้ ๑ ทําการงานให้ดีขึ้น ๑ นําคุณของนายไปสรรเสริญ ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร ทาสกรรมกรผู้เป็นทิศเบื้องต่ํา อันนายบํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์นายด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ทิศ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 91
เบื้องต่ํานั้น ชื่อว่า อันนายปกปิดให้เกษมสําราญ ให้ไม่มีภัยด้วยประการ ฉะนี้.
[๒๐๔] ดูก่อนคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรพึงบํารุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ๑ ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู ๑ ด้วยให้อามิสทานเนืองๆ ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตร บํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖ เหล่านี้ คือ ห้ามจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ อนุเคราะห์ด้วยใจงาม ๑ ให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑ ทําสิ่งที่เคยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๑ บอกทางสวรรค์ให้ ๑.
ดูก่อนคฤหบดีบุตร สมณพราหมณ์ผู้เป็นทิศเบื้องบน อันกุลบุตรบํารุงแล้วด้วยสถาน ๕ เหล่านี้ ย่อมอนุเคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๖ เหล่านี้ ทิศเบื้องบนนั้นชื่อว่า อันกุลบุตรปกปิดให้เกษมสําราญ ให้ไม่มีภัย ด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๒๐๕] มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง มิตรอํามาตย์เป็นทิศเบื้องซ้าย ทาสกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ํา สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน คฤหัสถ์
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 92
ในตระกูล ผู้สามารถพึงนอบน้อมทิศเหล่านี้.
บัณฑิตผู้ถึงพร้อมด้วยศีลเป็นคนละเอียด และมีไหวพริบ มีความประพฤติเจียมตน ไม่ดื้อกระด้าง ผู้เช่นนั้นย่อมได้ยศ คนหมั่นไม่เกียจคร้าน ย่อมไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหลาย คนมีความประพฤติไม่ขาดสาย มีปัญญา ผู้เช่นนั้นย่อมได้ยศ. คนผู้สงเคราะห์ แสวงหามิตรที่ดี รู้เท่าถ้อยคําที่เขากล่าว ปราศจากตระหนี่ เป็นผู้แนะนํา ชี้แจง ตามแนะนํา ผู้เช่นนั้นย่อมได้ยศ.
การให้ ๑ เจรจาไพเราะ ๑ การประพฤติให้เป็นประโยชน์ ๑ ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลายในคนนั้นๆ ตามควร ๑ ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจในโลกเหล่านี้แล เป็นเหมือนเพลารถอันแล่นไปอยู่ หากธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวเหล่านี้ไม่พึงมีไซร้ มารดาบิดาไม่พึงได้ความนับถือ หรือความบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร. เพราะบัณฑิตทั้งหลายพิจารณาเห็นธรรมเครื่องยึดเหนี่ยวเหล่านี้โดยชอบ ฉะนั้น บัณฑิตเหล่านั้น จึงถึงความเป็นใหญ่และเป็นผู้อันหมู่ชนสรรเสริญทั่วหน้าดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 93
[๒๐๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สิงคาลกคฤหบดีบุตร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ํา เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้น เหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงจําข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉะนี้แล.
จบ สิงคาลกสูตรที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 94
อรรถกถาสิงคาลกสูตร
สิงคาลกสูตรมีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
ต่อไปจะพรรณนาบทที่ยากในสิงคาลกสูตรนั้น.บทว่า เวฬุวัน ในบทว่า พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เป็นชื่อของอุทยานนั้น. ได้ยินว่า อุทยานนั้นได้ล้อมด้วยไม้ไผ่ ประกอบด้วยซุ้มประตูและหอคอย โดยกําแพงสูง ๑๘ ศอก มีแสงเขียว เป็นที่น่ารื่นรมย์ ด้วยเหตุนั้นท่านจึงเรียกว่า เวฬุวัน อนึ่ง ชนทั้งหลายได้ให้เหยื่อแก่กระแตในสวนเวฬุวันนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า กลันทกนิวาป อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต.
มีเรื่องเล่าว่า ครั้งก่อน พระราชาพระองค์หนึ่งเสด็จประพาสสวน ณ ที่นั้น เสวยน้ำโสมจนทรงเมา บรรทมหลับในกลางวัน. แม้ชนบริวารของพระองค์คิดกันว่า พระราชาบรรทมหลับแล้ว ถูกยั่วด้วยดอกไม้และผลไม้เป็นต้น จึงเลี่ยงออกไปจากที่นั้นๆ. ครั้งนั้น งูเห่า เพราะได้ กลิ่นเหล้าจึงเลื้อยออกจากโพรงไม้ต้นหนึ่งมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระราชา. รุกขเทวดาเห็นงูนั้นคิดว่า เราจะให้ชีวิตพระราชาดังนี้ จึงแปลงเพศเป็นกระแตมาแล้ว ทําเสียงใกล้พระกรรณ. พระราชาทรงตื่น. งูเห่าก็เลื้อยหนีไป พระราชาทอดพระเนตรกระแตนั้น ทรงพระดําริว่ากระแตนี้ให้ชีวิตเรา จึงรับสั่งให้จัดหาเหยื่อมาตั้งไว้ ณ ที่นั้น รับสั่งให้ประกาศให้อภัยแก่กระแตทั้งหลาย. เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นั้นมา ที่นั้นจึงถือว่าเป็นที่พระราชทาน
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 95
เหยื่อแก่กระแต. อนึ่ง บทว่า กลนฺทกานี้ เป็นชื่อของกระแต. บทว่า ก็โดยสมัยนั้นแล ความว่า โดยสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทํากรุงราชคฤห์ให้เป็นโคจรคามแล้ว ประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต. บทว่า สิงฺคาลโก คหปติปุตฺโต เป็นชื่อ ของคฤหบดีบุตรนั้น. บทว่า บุตรของคฤหบดี คือ คฤหบดีบุตร. ได้ยินว่า บิดาของคฤหบดีบุตรนั้น เป็นคฤหบดีมหาศาล. ก็คฤหบดีนั้นมีทรัพย์เก็บไว้ ในเรือน ๔๐ โกฏิ. คฤหบดีนั้น ถึงความเชื่อมั่นในพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอุบาสกผู้โสดาบัน. แม้ภรรยาของเขาก็ได้เป็นโสดาบันเหมือนกัน. แต่บุตรของเขาไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส. ครั้งนั้น มารดาและบิดาย่อมสั่งสอนบุตรนั้นเนืองๆ อย่างนี้ว่า นี่แน่ลูก ลูกจงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา เข้าไปหาพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระมหาสาวก ๘๐. บุตรนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า การเข้าไปหาสมณะทั้งหลายของพ่อและแม่ย่อมไม่มีแก่ฉัน เพราะการเข้าไปหาสมณะทั้งหลายก็ต้องไหว้ เมื่อก้มลงไหว้หลังก็เจ็บ เข่าก็ด้าน จําเป็นต้องนั่งบนพื้นดิน เมื่อนั่งบนพื้นดินนั้น ผ้าก็จะเปื้อนจะเก่า จําเดิมแต่เวลานั่งใกล้ ย่อมมีการสนทนา เมื่อมีการสนทนา ย่อมเกิดความคุ้นเคย แต่นั้นย่อมต้องนิมนต์แล้วถวายจีวรและบิณฑบาตเป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ประโยชน์ย่อมเสื่อม การเข้าไปหาพวกสมณะของพ่อและแม่ย่อมไม่มีแก่ฉัน ดังนี้. มารดาบิดาแม้สอนบุตรของเขาจนตลอดชีวิต ด้วยประการฉะนี้ ก็ไม่สามารถจะนําเข้าไปในศาสนาได้. ต่อมา บิดาของเขานอนบนเตียงมรณะคิดว่า ควรจะให้โอวาทแก่บุตรของเรา แล้วคิดต่อไปว่า เราจักให้โอวาทแก่บุตรอย่างนี้ว่า นี่แน่ลูก ลูกจงนอบน้อมทิศทั้งหลาย เขาไม่รู้ความหมาย จักนอบน้อมทิศ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 96
ทั้งหลาย ลําดับนั้น พระศาสดาหรือพระสาวกทั้งหลาย เห็นเขาแล้วจักถามว่า เธอทําอะไร แต่นั้นเขาก็จักกล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้าสอนไว้ว่า เจ้าจงกระทําการนอบน้อมทิศทั้งหลาย ลําดับนั้น พระศาสดาหรือพระสาวกทั้งหลาย จักแสดงธรรมแก่เขาว่า บิดาของเธอจักไม่ให้เธอนอบน้อมทิศทั้งหลายเหล่านั้น แต่จักให้เธอนอบน้อมทิศเหล่านี้ เขารู้คุณในพระพุทธศาสนาแล้วจักทําบุญดังนี้. ลําดับนั้น คฤหบดีให้คนเรียกบุตรมาแล้วกล่าวว่า นี่แน่ลูก ลูกควรลุกแต่เช้าตรู่ แล้วนอบน้อมทิศทั้งหลายดังนี้. ธรรมดา ถ้อยคําของบิดาผู้ที่นอนบนเตียงมรณะย่อมเป็นถ้อยคําอันบุตรพึงระลึกถึงจนตลอดชีวิต. เพราะฉะนั้น คฤหบดีบุตรนั้น เมื่อระลึกถึงถ้อยคําของบิดา จึงได้กระทําอย่างนั้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า คฤหบดีบุตรลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ออกจากกรุงราชคฤห์เป็นต้น.
บทว่า ปุถู ทิสา แปลว่า ทิศมาก ความว่า บัดนี้คฤหบดีบุตร เมื่อจะแสดงถึงทิศทั้งหลายเหล่านั้น จึงกล่าวคําเป็นอาทิว่า ทิศเบื้องหน้า. บทว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปแล้ว ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่เสด็จเข้าไปก่อน เพราะพระองค์ทรงดําริว่า เราจักเข้าไปแล้ว เสด็จออกไป แม้เป็นไปอยู่ในระหว่างทางจึงตรัสอย่างนี้. บทว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นแล้วแล ความว่า ไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นเดี๋ยวนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ แม้ในตอนเช้าตรู่ ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกคฤหบดีบุตรนั้น กําลังนอบน้อมทิศทั้งหลายอยู่ ทรงดําริว่า วันนี้ เราจักกล่าว สิงคาลกสูตร อันเป็นวินัยของคฤหัสถ์แก่สิงคาลกคฤหบดีบุตร ถ้อยคํานั้นจักมีผลแก่มหาชน
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 97
เราควรไปในที่นั้น ดังนี้. เพราะฉะนั้น พระองค์เสด็จออกแต่เช้าตรู่ เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต อนึ่ง เมื่อเสด็จเข้าไป ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกคฤหบดีบุตร เหมือนอย่างนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นแล้วแล. บทว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะสิงคาลกคฤหบดีบุตร ความว่า นัยว่า สิงคาลกคฤหบดีบุตรนั้นไม่เห็นพระศาสดาแม้ประทับยืนอยู่ไม่ไกล ยังนอบน้อมทิศทั้งหลายอยู่นั่นเอง. ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเผยพระโอฐดุจมหาปทุมกําลังแย้มโดยสัมผัสแสงพระอาทิตย์ฉะนั้น ได้ตรัสพระวาจานี้ว่า ดูก่อนคฤหบดีบุตร เธอทําอะไรหนอ ดังนี้ เป็นต้น. บทว่า ข้าแต่พระองค์ ก็ในวินัยของพระอริยเจ้าท่านนอบน้อมทิศกันอย่างไร ความว่า นัยว่า สิงคาลกคฤหบดีบุตร สดับพระดํารัสนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว คิดว่าได้ยินว่า ทิศที่บิดาของเรากล่าว ควรนอบน้อมทิศ ๖ นั้น ไม่ใช่ทิศนี้ นัยว่า พระอริยสาวกนอบน้อมทิศ ๖ อย่างอื่น ช่างเถิด เราจะทูลถามถึงทิศที่พระอริยสาวกพึงนอบน้อมแล้ว จึงจักนอบน้อม ดังนี้ สิงคาลกคฤหบดีบุตรนั้นเมื่อจะทูลถามถึงทิศเหล่านั้น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ในวินัยของพระอริยเจ้าท่านนอบน้อมทิศกันอย่างไร เป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า ยถา เป็นเพียงนิบาต. บทว่า กถํ ปน นี้เป็นบทถาม. บทว่า กรรมกิเลสทั้งหลาย ความว่า สัตว์ทั้งหลายจักเศร้าหมอง ด้วยกรรมทั้งหลายเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กรรมกิเลสทั้งหลาย. บทว่า ฐาเนหิ แปลว่า ด้วยเหตุทั้งหลาย. บทว่า อปายมุขานิ แปลว่า ทางแห่งความฉิบหาย. บทว่า ผู้นั้น คือ พระอริยสาวกผู้เป็น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 98
โสดาบัน. บทว่า จุทฺทสปาปกาปคโต แปลว่า ปราศจากบาป คือความลามก ๑๔ อย่างเหล่านี้. บทว่า ฉ ทิสา ปฏิจฺฉาที แปลว่า ปกปิดทิศ ๖. บทว่า อุโภโลกวิชยาย ความว่า เพื่อชนะโลกนี้และโลกหน้าทั้งสอง. บทว่า และโลกนี้อันพระอริยสาวกนั้นปรารภแล้ว ความว่า จริงอยู่ เวรทั้ง ๕ ในโลกนี้ ย่อมไม่มีแก่พระอริยสาวกเห็นปานนั้น ด้วยเหตุนั้น โลกนี้เป็นอันพระอริยสาวกนั้นปรารภแล้ว คือ ยินดีแล้ว และสําเร็จแล้ว เวรทั้งหลาย ๕ ย่อมไม่มีแม้ในโลกหน้า ด้วยเหตุนั้น โลกหน้าเป็นอันพระอริยสาวกยินดีแล้ว. เพราะฉะนั้น พระอริยสาวกนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์. ด้วยประการดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งแม่บทไว้โดยย่อ บัดนี้ เมื่อจะยังแม่บทนั้นให้พิสดาร จึงตรัสว่า กรรมกิเลส ๔ ที่พระอริยสาวกละได้แล้ว เป็นไฉน เป็นต้น.
บทว่า กมฺมกิเลโส ความว่า ชื่อว่า กรรมกิเลส เพราะกรรมนั้นเป็นกิเลส เพราะสัมปยุตด้วยกิเลส. จริงอยู่ คนมีกิเลสเท่านั้นย่อมฆ่าสัตว์ คนไม่มีกิเลสย่อมไม่ฆ่าสัตว์ เพราะฉะนั้น ปาณาติบาต ท่านจึงกล่าวว่า เป็นกรรมกิเลส. แม้ในกรรมกิเลสมีอทินนาทาน เป็นต้น ก็มีนัยนี้แล. บทว่า อถาปรํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคาถาประพันธ์แสดงความนั้น ต่อไปอีก.
บทว่า ย่อมทํากรรมอันลามก ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเมื่อพระองค์ทรงแสดงถึงบุคคลผู้กระทําแล้ว ผู้ไม่กระทําย่อมปรากฏ ฉะนั้น แม้ทรงตั้งแม่บทว่า พระอริยสาวกย่อมไม่ทํากรรมอันลามก เพราะพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 99
ทรงฉลาดในเทศนา เมื่อจะทรงแสดงบุคคลผู้กระทําก่อน จึงตรัสบทนี้ว่า บุคคลย่อมกระทํากรรมอันลามก. ในบททั้งหลายนั้น บทว่า ถึงฉันทาคติ ความว่า ถึงอคติด้วยความพอใจ คือด้วยความรัก กระทําสิ่งไม่ควรทํา. แม้ในบทอื่นก็มีนัยนี้แล. ในบททั้งหลายนั้น ผู้ใดทําผู้ไม่เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของด้วยสามารถความพอใจว่า ผู้นี้เป็นมิตรของเรา เป็นผู้ชอบพอกับเรา เป็นผู้คบหากันมา เป็นญาติสนิทของเรา หรือให้ของขวัญแก่เรา ดังนี้ ผู้นี้ถึงฉันทาคติ ชื่อว่าย่อมทํากรรมอันลามก. ผู้ใดกระทําผู้ไม่เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของด้วยสามารถมีเวรกันเป็นปกติว่า ผู้นี้เป็นผู้มีเวรกับเราดังนี้ หรือด้วยสามารถความโกรธอันเกิดขึ้นในขณะนั้น ผู้นี้ถึงโทสาคติ ชื่อว่าย่อมทํากรรมอันลามก. อนึ่ง ผู้ใด เพราะความเป็นผู้มีปัญญาอ่อน เพราะความเป็นผู้โง่ทึบ พูดไม่เป็นเรื่อง กระทําผู้ไม่เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของ ผู้นี้ถึงโมหาคติ ชื่อว่าย่อมกระทํากรรมอันลามก. อนึ่ง ผู้ใดกลัวว่า ผู้นี้เป็นราชวัลลภหรือเป็นผู้อาศัยอยู่กับศัตรู พึงทําความฉิบหายแก่เราดังนี้ แล้วทําผู้ไม่เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของ ผู้นี้ถึงภยาคติ ชื่อว่าย่อมทํากรรมอันลามก. อนึ่ง ผู้ใด เมื่อแบ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมให้ของเกินเป็นพิเศษ ด้วยสามารถความรักว่า ผู้นี้เป็นเพื่อนของเราหรือร่วมกินร่วมนอนกับเรา ย่อมให้ของพร่องลงไปด้วยสามารถความโกรธว่า ผู้นี้เป็นศัตรูของเราดังนี้ เพราะความโง่เขลา ไม่รู้ของที่ให้แล้วและยังไม่ให้ ย่อมให้ของพร่องแก่บางคน ให้ของมากแก่บางคน กลัวว่าผู้นี้เมื่อเราไม่ให้สิ่งนี้ พึง ทําแม้ความฉิบหายแก่เรา ย่อมให้ของเกินเป็นพิเศษแก่บางคน ผู้นั้นแม้เป็นผู้มีอคติ ๔ อย่างนี้ ก็ถึงอคติมีฉันทาคติเป็นต้นตามลําดับ ชื่อว่าย่อม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 100
ทํากรรมอันลามก. แต่พระอริยสาวก แม้จะถึงสิ้นชีวิต ก็ไม่ถึงอคติมีฉันทาคติเป็นต้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระอริยสาวกย่อมไม่ทํากรรมอันลามกโดยฐานะ ๔ เหล่านี้. บทว่า ยศของผู้นั้นย่อมเสื่อม ความว่า แม้เกียรติยศ แม้บริวารยศของผู้ถึงอคตินั้น ย่อมเสื่อม คือ ย่อมเสียหาย.
สุรา ๕ ชนิด คือ สุราทําด้วยขนม สุราทําด้วยแป้ง สุราทําด้วยข้าวสุก สุราใส่ส่าเหล้า สุราประกอบด้วยเชื้อ ชื่อว่า สุรา ในบทนี้ว่า ผู้ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทดังนี้. ของดอง ๕ ชนิดใด คือ ของดองด้วยดอกไม้ ของดองด้วยผลไม้ ของดองด้วยน้ำหวาน ของดองด้วยน้ำอ้อย ของดองประกอบด้วยเชื้อ ชื่อว่า เมรัย. แม้ทั้งหมดนั้น ชื่อว่า มัชชะ ด้วยสามารถทําให้เมา. บทว่า ปมาทฏฺานํ แปลว่า เหตุแห่งความประมาท. บทนี้ เป็นชื่อของเจตนาของผู้ดื่มน้ำเมา. บทว่า ประกอบเนืองๆ อธิบายว่า ประกอบเนืองๆ คือทําบ่อย ซึ่งการดื่ม น้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท. ก็เพราะเมื่อผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมานี้ โภคะทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อม และที่ยังไม่เกิดขึ้นย่อมไม่เกิด ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลาย. บทว่า วิกาลวิสิขาจริยานุโยโค ความว่า ความเป็นผู้เที่ยวไปในตรอกอันไม่ใช่เวลา. บทว่า เที่ยวดูมหรสพ คือไปดูมหรสพ ด้วยสามารถการดู การฟ้อนเป็นต้น. บทว่า ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเกียจคร้าน อธิบายว่า เพราะความเป็นผู้ขวนขวายในการประกอบด้วยความเป็นผู้เกียจคร้านทางกาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งแม่บทของทางแห่งความเสื่อม ๖ ประการ อย่างนี้แล้ว เมื่อทรงจําแนกแม่บทเหล่านั้นใน
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 101
บัดนี้จึงตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีบุตร โทษ ๖ ประการเหล่านี้แล ดังนี้ เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อันตนเห็นเอง คือ ความเป็นอยู่ในโลกนี้ อันตนพึงเห็นเอง. บทว่า ธนชานิ แปลว่า เสื่อมทรัพย์. บทว่า ก่อการทะเลาะ ความว่า ก่อการทะเลาะด้วยวาจาและการทะเลาะด้วยการใช้มือ เป็นต้น. บทว่า น้ำเมาเป็นบ่อเกิดแห่งโรคทั้งหลาย ความว่า น้ำเมาเป็นเขตแดนแห่งโรคเหล่านั้น มีโรคตาเป็นต้น. บทว่า น้ำเมาเป็นเหตุเสียชื่อเสียง ความว่า เพราะชนดื่มน้ำเมาแล้ว ย่อมประหารแม้มารดา แม้บิดาได้ ย่อมกล่าวคําที่ไม่ควรกล่าว แม้อื่นอีกมาก ย่อมทําสิ่งที่ไม่ควรทํา ด้วยเหตุนี้ ชนทั้งหลาย ถึงการติเตียนบ้าง ลงโทษบ้าง ตัดอวัยวะมีมือและเท้าเป็นต้นบ้าง ถึงความเสียชื่อเสียง ในโลกนี้บ้าง ในโลกหน้าบ้าง. ด้วยประการฉะนี้ สุรานั้นจึงชื่อว่าเป็นเหตุเสียชื่อเสียงของชนเหล่านั้น. บทว่า น้ำเมาเป็นเหตุ ไม่รู้จักละอาย ความว่า เพราะน้ำเมาย่อมยังความละอายอันเป็นที่ซึ่งควรซ่อนเร้น ควรปกปิด ให้กําเริบ ให้พินาศ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ยังหิริให้กําเริบ ดังนี้. อนึ่ง คนเมาสุราเปิดอวัยวะนั้นๆ แล้วเที่ยวไปได้. ด้วยเหตุนั้น สุรานั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นเหตุไม่รู้จักละอาย เพราะทําหิริให้กําเริบ. บทว่า น้ำเมาเป็นเหตุทอนกําลังปัญญา ความว่า น้ำเมาย่อมทําความรู้ว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตนให้อ่อนลงเหมือนปัญญาของพระสาคตเถระฉะนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าน้ำเมาเป็นเหตุทอนกําลังปัญญา. แต่น้ำเมาไม่อาจทําผู้ได้มรรคปัญญาให้อ่อนได้. เพราะสุรานั้นย่อมไม่เข้าไปภายในปากของท่านที่บรรลุมรรคแล้ว. บทว่า ฉฏฺํ ปทํ แปลว่า เหตุที่ ๖
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 102
บทว่า ชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาตัว อธิบายว่า เพราะบุคคลเที่ยวไปมิใช่เวลาย่อมเหยียบตอและหนามเป็นต้นบ้าง พบงูบ้าง ยักษ์เป็นต้นบ้าง แม้ศัตรูรู้ว่าจะไปยังที่นั้นๆ ก็แอบจับตัวหรือฆ่า. ด้วยเหตุนี้ จึงชื่อว่าไม่คุ้มครอง ไม่รักษาตัว. แม้บุตรและภรรยาคิดว่า บิดาของเรา สามีของเรา เที่ยวในกลางคืน จะกล่าวไปไยถึงตัวเราดังนี้. ด้วยเหตุนี้ แม้บุตรธิดา แม้ภรรยาของเขากระทําธุรกิจนอกบ้านเที่ยวไปในกลางคืน ก็ย่อมถึงความพินาศ. แม้บุตรภรรยาของเขาก็ชื่อว่าเป็นผู้ไม่คุ้มครองตัวไม่รักษาตัว ด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า ทรัพย์สมบัติ ความว่า พวกโจรรู้ความที่บริวารชนพร้อมด้วยบุตรภรรยานั้นเที่ยวในกลางคืน จะเข้าไปยังเรือนที่ว่างคน นําเอาของที่ต้องการไป. ด้วยอาการอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่คุ้มครอง ไม่รักษาแม้ทรัพย์สมบัติ. บทว่า เป็นที่ระแวง ความว่า เป็นผู้ที่ควรระแวงว่า คนนี้จักเป็นผู้กระทําแม้ในกรรมอันลามกที่คนอื่นทํา. เมื่อกล่าวคําว่า บุคคล ไปโดยประตูเรือนของผู้ใดๆ โจรกรรมหรือปรทาริกกรรม การข่มขืนใดอันคนอื่นทําไว้ในที่นั้น กรรมนั้น เป็นอันว่าบุคคลผู้นี้กระทํากรรมนั้น แม้ไม่จริง ไม่มี ก็ย่อมปรากฏ คือย่อมตั้งอยู่ในบุคคลนั้น. บทว่า การเที่ยวกลางคืนอันเป็นเหตุแห่งทุกข์เป็นอันมาก ความว่า ใครๆ ไม่อาจกล่าวว่าทุกข์มีประมาณเท่านี้ โทมนัสมีประมาณเท่านี้ ของผู้ที่ถูกเขารังเกียจในบุคคลอื่นนั้นแล. ด้วยประการดังนี้ ผู้เที่ยวกลางคืนนั้น จึงเป็นผู้ประสบเหตุแห่งทุกข์เป็นอันมาก คือได้รับความลําบากมาก.
บทว่า ฟ้อนที่ไหน ไปที่นั้น ความว่าการฟ้อนมีรําและละครเป็นต้น มีอยู่ในที่ไหน แล้วพึงไปในบ้านหรือนิคมที่มีการฟ้อนนั้น. เมื่อผู้ที่เตรียมผ้าของหอมและดอกไม้เป็นต้น ในวันนี้ด้วยคิดว่าพรุ่งนี้เราจักไปดู
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 103
การฟ้อนของเขา เป็นอันทิ้งการงานตลอดวัน. ย่อมปรากฏในที่นั้นตลอดวันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง ด้วยการดูการฟ้อน. เมื่อผู้เที่ยวกลางคืน แม้ได้การถึงพร้อมด้วยฝนเป็นต้น ก็ไม่ทําการหว่าน เมื่อถึงกาลหว่านเป็นต้น โภคะทั้งหลายที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิด. เมื่อเรือนไม่มีคนเฝ้า พวกโจรรู้ความที่เจ้าของบ้านไปข้างนอก ย่อมลักของที่ต้องการไป. ด้วยเหตุนั้น โภคะแม้เกิดแก่เขาก็ย่อมพินาศ. แม้ในบทว่า ขับร้องมีที่ไหนไปในที่นั้น เป็นต้น ก็มีนัยนี้แล. การกระทําต่างๆ ของชนเหล่านั้นท่านกล่าวแล้วในพรหมชาลสูตร
บทว่า ผู้ชนะย่อมก่อเวร ความว่า ผู้ชนะย่อมถือเอาซึ่งผ้าสาฎก หรือผ้าโพกของผู้อื่น ในท่ามกลางชุมชนด้วยคิดว่า เราชนะแล้ว ดังนี้. ผู้ชนะย่อมผูกเวรในบุคคลนั้นว่า เขาดูหมิ่นเราในท่ามกลางชุมชน ช่างเถิด เราจักให้บทเรียนเขาดังนี้. เมื่อชนะอย่างนี้ย่อมประสบเวร บทว่า ผู้แพ้ ความว่า ผู้แพ้ย่อมเศร้าโศกถึงผ้าโพก ผ้าสาฎกหรือทรัพย์สินมีเงินและทองเป็นต้น อย่างอื่นของเขาที่ผู้อื่นได้ไป เขาย่อมเศร้าโศก เพราะทรัพย์นั้น เป็นเหตุว่า ทรัพย์นั้นได้มีแล้วแก่เราหนอ ทรัพย์นั้นย่อมไม่มีแก่เราหนอ ดังนี้ ด้วยอาการอย่างนี้ ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์. บทว่า คําพูดของนักการพนันที่ไปพูดในที่ประชุมฟังไม่ขึ้น ความว่า เมื่อเขาถูกถามเพราะเป็นพยานในที่วินิจฉัย ด้วยคําฟังไม่ขึ้น. ชนทั้งหลายจะพากันพูดว่า ผู้นี้เป็นนักเลงสะกา เล่นการพนัน พวกท่านอย่าเชื่อคําพูดของเขา. บทว่า ถูกมิตรอมาตย์ดูหมิ่น ความว่า จริงอยู่ พวกมิตรอมาตย์จะพูดกะเขาอย่างนี้ว่า สหาย แม้ท่านก็เป็นบุตรของผู้มีตระกูล เล่นการพนัน เป็นผู้ตัด เป็นผู้
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 104
ทําลาย เที่ยวไปนี้ ไม่สมควรแก่ชาติและโคตรของท่าน ตั้งแต่นี้ไป ท่านไม่พึงทําอย่างนี้. นักการพนันนั้น แม้ถูกเขากล่าวอย่างนี้ก็ไม่เชื่อเขา แต่นั้นพวกมิตรและสหายเหล่านั้นไม่ยืน ไม่นั่งร่วมกับเขา. แม้พวกเขาถูกถามเป็นพยานก็ไม่ยอมพูด เพราะเหตุนักการพนันนั้น. ด้วยอาการอย่างนี้ นักการพนันจึงเป็นผู้ถูกมิตรและสหายดูหมิ่น. บทว่า อาวาหะและวิวาหะ ความว่า ผู้ประสงค์จะนําหญิงสาวไปจากเรือนของเขา ชื่อว่า อาวาหะ ผู้ประสงค์จะให้หญิงสาวอยู่ในเรือนของเขาชื่อว่า วิวาหะ. บทว่า อปฺปฏฺิโต โหติ แปลว่า ไม่มีใครปรารถนา บทว่า นาลํ ทารภรณาย ความว่า นักการพนันไม่สามารถจะเลี้ยงภรรยาได้. ความว่า แม้ให้หญิงสาวในเรือนของเขา แม้มาจากเรือนของเขา พวกเราก็จักพึงเลี้ยงดูได้.
บทว่า เย ธุตฺตา นักเลงการพนัน. บทว่า โสณฺฑา ความว่า นําให้เป็นนักเลงหญิง นําให้เป็นนักเลงลักข้าว นําให้เป็นนักเลงเหล้า นําให้เป็นนักเลงลักเผือกมัน. บทว่า ปิปาสา แปลว่า นักเลงดื่ม. บทว่า เนกติกา คือลวงด้วยของปลอม. บทว่า วฺจนิกา คือลวงซึ่งหน้า. บทว่า นําให้เป็นนักเลงหัวไม้ ความว่า เป็นผู้ทําการงานร่วมกับผู้อื่นที่อยู่อาคารเดียวกัน เป็นต้น. บทว่า พวกนั้นเป็นมิตรของเขา คือเขาไม่ยินดีกับคนอื่นที่เป็นคนดี เข้าไปหามิตรลามกเหล่านั้นอย่างเดียว เหมือนสุกรที่เขาประดับด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วให้นอนบนที่นอนอย่างดี ก็ยังเข้าไปสู่หลุมคูถฉะนั้น เพราะฉะนั้น ผู้คบคนชั่วเป็นมิตร ย่อมเข้าถึงความฉิบหายเป็นอันมากทั้งในภพนี้ และภพหน้า.
บทว่า อ้างว่า เย็นนักแล้วไม่ทําการงาน ความว่า พวกมนุษย์
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 105
ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่พูดว่า พ่อมหาจําเริญ มาไปทําการงานกันเถิด คนเกียจคร้านจะพูดว่า ยังหนาวเหลือเกิน กระดูกจะแตก พวกท่านไปกันเถิด เราจักไปทีหลัง แล้วนั่งผิงไฟ. มนุษย์เหล่านั้นไปทําการงานกัน. การงานของคนเกียจคร้านย่อมเสื่อม. แม้ในบททั้งหลายว่า ร้อนเหลือเกินก็มี นัยนี้แล.
บทว่า ชื่อว่าเพื่อนดื่มก็มี ความว่า บางคนเป็นสหายกันในโรงเหล้าอันเป็นที่ดื่มนั่นแหละ. ปาฐะว่า ปนฺนสขา ดังนี้ก็มี. ความอย่างเดียวกัน.
บทว่า เพื่อนกล่าวแต่ปากว่า เพื่อนๆ ก็มี ความว่า บางคนพูดว่า เพื่อน เพื่อน เป็นเพื่อนต่อหน้าเท่านั้น ลับหลังเป็นเช่นศัตรู ย่อมแสวงหาช่องทางอย่างเดียว. บทว่า เมื่อประโยชน์ทั้งหลายเกิดขึ้น ความว่า เมื่อกิจเห็นปานนั้นเกิดขึ้นแล้ว. บทว่า เวรปฺปสงฺโค แปลว่า มากด้วยเวร. บทว่า อนตฺถตา แปลว่า ทําความฉิบหาย. บทว่า ความเป็นผู้ตระหนี่เหนียวแน่น ความว่า ความเป็นผู้ตระหนี่เหนียวแน่น คือ ความเป็นผู้ตระหนี่จัด. บทว่า เขาจักจมลงสู่หนี้ เหมือนก้อนหินจมน้ำฉะนั้น ความว่า เขาจมลงสู่หนี้ เหมือนก้อนหินจมน้ำฉะนั้น. บทว่า เกลียดชังการลุกขึ้นในกลางคืน คือ ไม่ลุกขึ้นในกลางคืนเป็นปกติ. บทว่า มักอ้างว่าเย็นเสียแล้ว คือ เขากล่าวอย่างนี้ว่า เวลานี้เย็นนักแล้ว ไม่ทําการงาน. บทว่า สละการงาน คือ พูดอย่างนี้แล้ว ไม่ทําการงาน บทว่า ประโยชน์ย่อมล่วงเลยมาณพทั้งหลาย ความว่า ประโยชน์ทั้งหลาย ย่อมล่วงเลยบุคคลเห็นปานนี้ คือ ไม่ตั้งอยู่ในบุคคลเหล่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 106
บทว่า ติณฺณา ภิยฺโย แปลว่า ยิ่งกว่าหญ้า. บทว่า เขาย่อมไม่เสื่อมจากความสุข ความว่า บุรุษนั้นย่อมไม่ละความสุข ย่อมเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยความสุขทีเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเนื้อความนี้ ด้วยกถามรรคนี้. อันผู้ครองเรือน ไม่ควรทํากรรมนี้ ชื่อความเจริญย่อมไม่มีแก่ผู้กระทํา ผู้กระทําย่อมได้รับการติเตียนอย่างเดียวทั้งในโลกนี้และโลกหน้า.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงผู้ไม่ใช่มิตรเป็นมิตรเทียม เป็นคนพาลว่า ผู้ใดกระทําอย่างนี้ ความฉิบหายย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้นั้น ก็หรือภัยอย่างอื่นๆ อันตรายใดๆ อุปสรรคใดๆ ทั้งหมดนั้นย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยคนพาล เพราะฉะนั้น ไม่ควรคบคนพาลเห็นปานนั้นดังนี้ จึงตรัสคําเป็นต้นว่า ดูก่อนคฤหบดีบุตร คนไม่ใช่มิตรมี ๔ จําพวกเหล่านี้ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า คนปอกลอก ความว่า ตนเองมีมือเปล่ามาแล้วนําเอาของอย่างใดอย่างหนึ่งไปโดยส่วนเดียว. บทว่า ดีแต่พูด ความว่า เป็นดุจผู้ให้กระทํา เพียงคําพูดเท่านั้น. บทว่า คนหัวประจบ คือย่อมพูดคล้อยตาม. บทว่า คนชักชวนในทางฉิบหาย คือ เป็นสหายในทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงคนที่ไม่ใช่มิตร ๔ จําพวกอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงจําแนกเหตุอย่างหนึ่งๆ ในคนที่ไม่ใช่มิตรนั้น ด้วยเหตุ ๔ อย่าง จึงตรัสคําเป็นต้นว่า ดูก่อนคฤหบดีบุตร ด้วยฐานะ ๔ อย่าง ดังนี้.
ในบททั้งหลายนั้น บทว่า เป็นคนปอกลอก ความว่า เป็นผู้นําไปโดยส่วนเดียวเท่านั้น. ความว่า เป็นผู้มีมือเปล่ามาสู่เรือนของสหายแล้ว พูดถึงคุณของผ้าสาฎกที่ตนนุ่งเป็นต้น. คนปอกลอกพูดว่า ดูก่อนสหาย คนนั้นย่อมกล่าวถึงคุณของผ้าผืนนี้กะท่านเหลือเกินดังนี้แล้ว นุ่งผ้าผืนอื่น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 107
ให้ผืนนั้นไป. บทว่า เสียให้น้อยคิดเอาให้ได้มาก คือให้ของอย่างใดอย่างหนึ่งแต่น้อย แล้วปรารถนาของมากจากเขา. บทว่า เมื่อมีภัยย่อมทํากิจ ความว่า เมื่อภัยเกิดขึ้นแก่ตนย่อมทํากิจนั้นๆ เหมือนเป็นทาสของเขา คนปอกลอกนี้ไม่ทําในกาลทั้งปวง เมื่อภัยเกิดขึ้นจึงทํา ไม่ทําด้วยความรัก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้ไม่ใช่มิตร. บทว่า คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ ความว่า ไม่คบด้วยสามารถ เป็นผู้คุ้นเคยฉันมิตร หวังประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว จึงคบ. บทว่า อ้างเอาของที่ล่วงแล้วมาปราศรัย ความว่า คนดีแต่พูด ย่อมสงเคราะห์ด้วยสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างนี้ว่า เมื่อสหายมา เมื่อวาระนี้ ท่านไม่มา วาระนี้ ข้าวกล้าของพวกเราสําเร็จเรียบร้อย พวกเราตั้งข้าวสาลี ข้าวเหนียวและพืชเป็นต้นเป็นอันมาก แล้วนั่งดูหนทาง แต่วันนี้สิ้นไปทั้งหมดแล้ว ดังนี้. บทว่า อ้างสิ่งที่ยังไม่ถึงมาปราศรัย ความว่า คนดีแต่พูดย่อมสงเคราะห์ด้วยสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างนี้ว่า ในวันนี้ ข้าวกล้าของเราจักเป็นที่ปลื้มใจ เมื่อเราทําการสงเคราะห์ด้วย ข้าวกล้ามีข้าวสาลีเป็นต้น เป็นอันมีผลเต็มที่แล้ว เราจักสามารถเพื่อทําการสงเคราะห์แก่พวกท่านได้ดังนี้. บทว่า คนดีแต่พูดสงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์มิได้ ความว่า คนดีแต่พูดนั่งบนคอช้างหรือบนหลังม้า ครั้นเห็นสหายแล้ว กล่าวว่า เพื่อนเอย เพื่อนจงมานั่ง ณ ที่นี้เถิด คนดีแต่พูดนุ่งผ้าสาฏกผืนที่ชอบ แล้วกล่าวว่าผ้าผืนนี้สมควรแก่สหายของเราจริงหนอ แต่เราไม่มีผ้าผืนอื่น. อย่างนี้ชื่อว่าสงเคราะห์ด้วยสิ่งไม่มีประโยชน์. บทว่า เมื่อกิจเกิดขึ้น แสดงความขัดข้อง ออกปากพึ่งไม่ได้ ความว่า เมื่อมีผู้กล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องการเกวียน คนดีแต่พูดกล่าวคําเป็นต้นว่า เสียดายจริง ล้อเกวียน เพลาเกวียนหักเสียแล้ว. บทว่า คนหัวประจบ ตามใจ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 108
เพื่อนให้ทําความชั่ว ความว่า เมื่อเพื่อนพูดว่า พวกเราจะทําปาณาติบาต เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง คนหัวประจบตามใจเพื่อนด้วยคําว่า ดีแล้วเพื่อน ทํากันเถิด. แม้ในการทําดี ก็มีนัยนี้แล. บทว่า เป็นสหาย ความว่า เมื่อเพื่อนพูดว่า ชนทั้งหลายดื่มเหล้ากัน ณ ที่โน้น ท่านจงมาเราจะไปในที่นั้น คนชักชวนในทางฉิบหายรับว่าดีแล้ว แล้วก็ไป. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้. บทว่า บัณฑิตรู้แจ้งดังนี้แล้ว ความว่า รู้อย่างนี้ว่า พวกที่เป็นมิตรเทียมดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงมิตรชั่วไม่ควรคบอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงมิตรดี ควรคบในบัดนี้ จึงตรัสคําเป็นต้นว่า ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรแท้ ๔ จําพวกเหล่านี้ อีก.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สุหทา แปลว่า เพื่อนมีใจดี. บทว่า ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ความว่า มิตรมีอุปการะเห็นเพื่อนดื่มน้ำเมา แล้วนอนที่กลางบ้าน ที่ประตูบ้าน ที่หนทาง คิดว่าเมื่อเพื่อนนอนอย่างนี้ ใครๆ พึงลักแม้ผ้านุ่งและผ้าห่มไปดังนี้ จึงนั่งใกล้เพื่อน เมื่อเพื่อนตื่นพาไปส่ง. บทว่า รักษาทรัพย์ของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว ความว่า มิตรมีอุปการะคิดว่า เพื่อนไปข้างนอก หรือดื่มเหล้าเมา เรือนไม่มีคนเฝ้า ใครๆ จะพึงลักของอย่างใดอย่างหนึ่งไปดังนี้ จึงเข้าไปยังเรือนป้องกันทรัพย์ของเพื่อนนั้น. บทว่า เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพํานักได้ ความว่า เมื่อภัยอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น มิตรมีอุปการะ กล่าวว่าอย่ากลัว เมื่อสหายเช่นเรายังอยู่ ท่านจะกลัวอะไร แล้วขจัดภัยนั้นออกไปเป็นที่พึ่งพํานักได้. บทว่า เพิ่มทรัพย์ให้สองเท่า ความว่า เมื่อกิจที่ควรทําเกิดขึ้น มิตรมีอุปการะเห็นสหายมาหาตน แล้วถามว่า เพราะเหตุไรท่านจึงมา. มีการงานในราช
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 109
ตระกูล. ท่านควรจะได้อะไร. ขอ ๑ กหาปณะ. ธรรมดาการงานในเมืองจะไม่สําเร็จด้วยกหาปณะเดียว ท่านจงรับไป ๒ กหาปณะ. เขาให้ ๒ เท่า ตามที่พูด. บทว่า บอกความลับแก่เพื่อน ความว่า ไม่บอกเรื่องอันควรปกปิดความลับของตนแก่คนอื่นแล้ว บอกแก่เพื่อนเท่านั้น. บทว่า ปิดความลับของเพื่อน ความว่า มิตรมีอุปการะย่อมรักษาความลับที่เพื่อนกล่าวโดยที่คนอื่นไม่รู้. บทว่า ไม่ละทิ้งในยามมีอันตราย ความว่า เมื่อภัยเกิดขึ้น มิตรมีอุปการะย่อมไม่ทอดทิ้ง. บทว่า แม้ชีวิตก็สละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ ความว่า แม้ชีวิตของตน ก็เป็นอันมิตรร่วมสุขร่วมทุกข์สละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนได้ทีเดียว มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ไม่คํานึงถึงชีวิตของตน ทําการงานให้แก่เพื่อนอย่างเดียว. บทว่า ห้ามจากความชั่ว ความว่า มิตรแนะประโยชน์ย่อมห้ามว่า เมื่อเราเห็นๆ อยู่ ท่านจะไม่ได้ทําอย่างนี้ ท่านอย่าทําเวรทั้ง ๕ อกุศลกรรมบถ ๑๐ เลย. บทว่า ให้ตั้งอยู่ในความดี ความว่า มิตรแนะประโยชน์ย่อมให้ประกอบความดีอย่างนี้ว่า ท่านจงเป็นไปในกรรมดี ในสรณะ ๓ ในศีล ๕ ในกุศลกรรมบถ ๑๐ ท่านจงให้ทาน จงทําบุญ จงฟังธรรมดังนี้. บทว่า ให้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง คือ ให้ฟังสิ่งที่ละเอียด ทําให้ฉลาด ซึ่งยังไม่เคยฟัง. บทว่า บอกทางสวรรค์ให้ ความว่า มิตรแนะประโยชน์ย่อมบอกทางสวรรค์ อย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายกระทํากรรมนี้ย่อมเกิดในสวรรค์
บทว่า มิตรมีความรักใคร่ไม่ยินดีในความเสื่อมของเพื่อน ความว่า มิตรมีความรักใคร่ เห็นหรือได้ยินความสูญเสียเห็นปานนั้นของบุตรภรรยาหรือของบริวารชน เพราะความเสื่อม คือเพราะความไม่เจริญของเพื่อน ย่อมไม่ยินดีคือไม่ชอบใจ. บทว่า ด้วยความเจริญ ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 110
มิตรมีความรักใคร่ เห็นหรือได้ยินความสมบูรณ์ของข้าวกล้าเป็นต้น หรือ การได้ความเป็นใหญ่ เพราะความเจริญของเพื่อนเห็นปานนั้น ย่อมยินดี ชอบใจ. บทว่า ห้ามคนที่ติเตียนเพื่อน ความว่า เมื่อคนพูดว่า คนโน้นรูปชั่ว ไม่น่าเลื่อมใส มีชาติทราม หรือเป็นคนทุศีล ดังนี้ มิตรมีความรักใคร่ ย่อมห้ามผู้อื่นที่กล่าวติเตียนเพื่อนของตนด้วยคําทั้งหลายเป็นต้นว่า ท่านอย่าพูดอย่างนี้ซิ เขามีรูปงามน่าเลื่อมใส มีชาติดีและถึงพร้อมด้วยศีล. บทว่า สรรเสริญคนที่สรรเสริญเพื่อน ความว่า เมื่อคนพูดว่า คนชื่อโน้นมีรูปงามน่าเลื่อมใส มีชาติดี ถึงพร้อมด้วยศีล มิตรมีความรักใคร่ย่อมสรรเสริญคนอื่นที่พูดสรรเสริญเพื่อนของตนอย่างนี้ว่า โอ ท่านพูดดี ท่านพูดถ้อยคําอย่างนี้ดีแล้ว ชายผู้นี้มีรูปงาม น่าเลื่อมใส มีชาติดี ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล.
บทว่า บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีลย่อมรุ่งเรืองส่องสว่างเพียงดังไฟ ความว่า ย่อมรุ่งเรืองดุจไฟส่องแสงบนยอดเขาในกลางคืน. บทว่า เมื่อบุคคลสะสมโภคะอยู่ ความว่า เมื่อบุคคลไม่เบียดเบียนตนบ้าง ผู้อื่นบ้าง รวบรวมโภคะโดยธรรม โดยเสมอ คือทําให้เป็นกอง. บทว่า เหมือนแมลงผึ้งทํารัง ความว่า กระทําโภคะให้เป็นกองใหญ่โดยลําดับ เหมือนแมลงผึ้งไม่ทําลายสีและกลิ่นของดอกไม้ นําเกสรด้วยจะงอยปากบ้าง ด้วยปีกทั้งสองบ้าง แล้วทํารวงผึ้ง ประมาณเท่าล้อโดยลําดับ. บทว่า โภคะทั้งหลายย่อมถึงความเพิ่มพูน ความว่า โภคะทั้งหลายของเขาย่อมถึงความเพิ่มพูน. อย่างไร. เหมือนจอมปลวกอันตัวปลวกทั้งหลายก่อขึ้นโดยลําดับ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดุจจอมปลวกอันตัวปลวกก่อขึ้น. อธิบายว่า โภคะทั้งหลายย่อมถึงความเพิ่มพูนเหมือนจอมปลวกอันตัวปลวก
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 111
ก่อขึ้นฉะนั้น. บทว่า สมาหริตฺวา ความว่า รวบรวมแล้ว. บทว่า ผู้สามารถ ความว่า คฤหัสถ์เป็นผู้มีสภาพเหมาะสม หรือเป็นผู้สามารถหรือเป็นผู้ใคร่เพื่อดํารงการครองเรือน. บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประทานพระโอวาทโดยประการที่ผู้ครองเรือนพึงดํารงอยู่ จึงตรัสคําเป็นต้นว่า ผู้ครองเรือนพึงแบ่งโภคะออกเป็น ๔ ส่วนดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า เขานั่นแหละย่อมผูกมิตรไว้ได้ ความว่า ผู้ครองเรือนนั้น เมื่อแบ่งโภคะอย่างนี้ชื่อว่า ย่อมผูกมิตรไว้ได้ คือตั้งไว้ซึ่งความไม่แตกกัน. ผู้ที่มีโภคะย่อมสามารถประสานมิตรไว้ได้ คนนอกนั้นไม่สามารถ. บทว่า พึงบริโภคโภคะโดยส่วนเดียว ความว่า พึงบริโภคโภคะด้วยหนึ่งส่วน. บทว่า พึงประกอบการงานด้วยสองส่วน ความว่า พึงประกอบการงานมีกสิกรรม และพาณิชยกรรมเป็นต้น ด้วยสองส่วน. บทว่า พึงเก็บ คือ พึงเก็บส่วนที่สี่เอาไว้. บทว่า จักมีในยามอันตราย ความว่า เพราะการงานนั้น ย่อมไม่เป็นไปเช่นกับวันหนึ่งตลอดกาลของตระกูลทั้งหลาย. บางครั้งแม้อันตรายก็ย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยอํานาจราชภัยเป็นต้น. เพราะฉะนั้น โภคะจักมี ในยามอันตรายทั้งหลายเกิดขึ้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ผู้ครองเรือนพึงเก็บส่วนหนึ่งไว้ดังนี้. ก็ในส่วนทั้งหลาย ๔ เหล่านี้ พึงเก็บส่วนไหนๆ ไว้บําเพ็ญกุศล. ถือเอาส่วนที่ท่านกล่าว ในบทว่า โภเค ภฺุเชยฺย. ควรถือเอาจากส่วนนั้น บริจาคทานแก่ภิกษุทั้งหลายบ้าง แก่คนกําพร้าและคนเดินทางเป็นต้นบ้าง ควรให้รางวัลแก่ช่างหูกและกัลบกเป็นต้นบ้าง.
ด้วยกถามรรคเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานพระโอวาทเพื่อเว้นธรรมที่ควรเว้นและเพื่อเสพธรรมที่ควรเสพว่า ดูก่อน คฤหบดีบุตร อริยสาวกละอกุศลด้วยเหตุทั้งหลาย ๔ เว้นทางเสื่อมแห่ง
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 112
โภคะทั้งหลายด้วยเหตุทั้งหลาย ๖ เสพมิตร ๑๖ จําพวก ดํารงการครองเรือน กระทําการเลี้ยงดูภรรยา ย่อมเป็นอยู่ด้วยอาชีพอันเป็นธรรม และย่อมรุ่งเรืองดุจกองไฟในระหว่างเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงทิศ ๖ ที่ควรนอบน้อม จึงตรัสคําเป็นต้นว่า ดูก่อนคฤหบดีบุตร ก็อริยสาวกเป็นผู้ปกปิดทิศทั้ง ๖ อย่างไร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า พระอริยสาวกเป็นผู้ปกปิดทิศทั้ง ๖ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอยู่อย่างที่ภัยอันมาจากทิศทั้ง ๖ ย่อมไม่มาถึง เป็นแดนเกษมปราศจากภัย จึงตรัสว่า อริยสาวกเป็นผู้ปกปิดทิศทั้ง ๖ ดังนี้. ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า พึงทราบว่า มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้าดังนี้ คือ พึงทราบว่ามารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า เพราะเป็นผู้มีอุปการะก่อน อาจารย์เป็นทิศเบื้องขวา เพราะเป็นผู้ควรแก่ทักษิณา บุตรภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง ด้วยสามารถติดตามมาข้างหลัง มิตรสหายเป็นทิศเบื้องซ้าย เพราะแม้กุลบุตรนั้นอาศัยมิตรและสหาย จึงข้ามพ้นทุกข์พิเศษนั้นๆ ทาสและกรรมกรเป็นทิศเบื้องต่ํา ด้วยสามารถตั้งอยู่ ณ แทบเท้า สมณพราหมณ์เป็นทิศเบื้องบน เพราะความเป็นผู้ตั้งอยู่ในเบื้องบนด้วยคุณธรรมทั้งหลาย.
บทว่า ท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ ความว่า เราอันมารดาบิดาให้ดื่มน้ำนม ยังมือและเท้าให้เจริญ ดูดน้ำมูกให้ ให้อาบน้ำ ตกแต่งให้ เลี้ยงดูและประคับประคอง เราจักเลี้ยงมารดาบิดาเหล่านั้น ผู้แก่เฒ่าด้วยการล้างเท้า อาบน้ำ ให้ข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น. บทว่า เราจักทํากิจของมารดาบิดา ความว่า เราจักเว้นการงานของตน ไปทํากิจที่เกิดขึ้นในราชสํานักเป็นต้น แก่มารดาบิดา. บทว่า เราจักดํารงวงศ์ตระกูล
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 113
ความว่า บุตรไม่ทําให้นาวัตถุเงินและทองเป็นต้นอันเป็นของมารดาบิดาให้พินาศแม้รักษาอยู่ ก็ชื่อว่าดํารงวงศ์ตระกูล บุตรที่ให้มารดาบิดาเสื่อมจากวงศ์ที่ประกอบด้วยอธรรม แม้ให้ตั้งอยู่ในวงศ์ที่ประกอบด้วยธรรม ไม่เข้าไปตัดสลากภัตรเป็นต้น อันมาถึงแล้วโดยวงศ์ตระกูล แม้ให้เป็นไปอยู่ ก็ชื่อว่าดํารงวงศ์ตระกูล. ท่านกล่าวหมายถึงบทนี้จึงกล่าวว่า เราจักดํารงวงศ์ตระกูล ดังนี้. บทว่า เราจักปฏิบัติตนให้สมควรเป็นผู้รับทรัพย์มรดก ความว่า มารดาบิดาไปถึงโรงศาล กระทําทารกผู้ไม่ประพฤติในโอวาทของตน ผู้ปฏิบัติผิด มิให้ถือว่าเป็นบุตร บุตรเหล่านั้นก็เป็นผู้ไม่สมควรรับมรดก แต่มารดาบิดาย่อมกระทําทารกผู้ประพฤติในโอวาท ให้เป็นเจ้าของทรัพย์อันมีอยู่ในตระกูล ท่านกล่าวว่า เราจักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับมรดกด้วยประสงค์ว่าเราจักประพฤติอย่างนี้ ดังนี้. บทว่า เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วจักทําบุญอุทิศให้ท่าน ความว่า เราจักทําทานแผ่ส่วนบุญให้แก่ท่านเหล่านั้น แล้วจักเพิ่มทานอุทิศให้ตั้งแต่วันที่สาม.
บทว่า มารดาบิดาห้ามบุตรจากความชั่ว ความว่า มารดาบิดากล่าวถึงโทษ อันเป็นไปในปัจจุบันและภพหน้าของปาณาติบาตเป็นต้น แล้วห้ามว่า ลูกเอย เจ้าอย่าทํากรรมเห็นปานนั้นเลยดังนี้ ติเตียนบุตรที่ทําแล้ว. บทว่า ให้ตั้งอยู่ในความดี ความว่า มารดาบิดาแม้ให้สินจ้าง เหมือนอนาถปิณฑิกเศรษฐีก็ยังให้บุตรตั้งอยู่ในการสมาทานศีลเป็นต้น. บทว่า ให้เรียนศิลปะ ความว่า มารดาบิดารู้ความที่บุตรตั้งอยู่ในโอวาทของตนแล้ว ยังบุตรให้ศึกษาศิลปะมีการคํานวณชั้นยอดเป็นต้น อันไปตามวงศ์ตระกูล. บทว่า หาภรรยาที่สมควรให้ คือ สมควรด้วยตระกูล ศีลและรูปเป็นต้น. บทว่า มอบทรัพย์ให้ในสมัย ความว่า ให้ทรัพย์ในสมัย.
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 114
ในบทนั้น สมัย ๒ อย่าง คือ นิจสมัย ๑ กาลสมัย ๑. มารดาบิดาให้ด้วยคําว่า เจ้าจงกระวีกระวาดถือเอาสิ่งที่ควรถือเอานี้ นี้จงเป็นรายจ่ายของเจ้า เจ้าจงทํากุศลด้วยรายจ่ายนี้ ดังนี้ชื่อว่าให้ในนิจสมัย ให้เป็นนิจ. มารดาบิดาย่อมให้ในสมัยตัดจุกแต่งงานเป็นต้น ชื่อว่าให้ในกาลสมัย. อีกอย่างหนึ่ง มารดาบิดา แม้ให้ด้วยคําว่า เจ้าจงทํากุศลด้วยทรัพย์นี้แก่บุตรผู้นอนบนเตียงมรณะในครั้งสุดท้าย ก็ขอว่าให้ในสมัย.
บทว่า ทิศเบื้องหน้า นั้น อันบุตรปกปิดแล้ว ความว่า ทิศเบื้องหน้าอันบุตรปกปิดแล้ว โดยที่ภัยพึงมาจากทิศเบื้องหน้า ย่อมไม่มาถึง. ก็ถ้าบุตรทั้งหลายพึงเป็นผู้ปฏิบัติผิด มารดาบิดาเป็นผู้ปฏิบัติชอบด้วยการเลี้ยงดูเป็นต้น ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ทารกเหล่านั้นเป็นผู้ไม่สมควรแก่มารดาบิดา เพราะฉะนั้น ภัยนั้นพึงมาถึง. บุตรทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติชอบ มารดาบิดาเป็นผู้ปฏิบัติผิด มารดาบิดาก็ไม่สมควรแก่บุตรทั้งหลาย ดังนั้น ภัยนี้พึงมาถึง. เมื่อทั้งสองปฏิบัติผิด ก็มีภัยทั้งสองอย่าง. เมื่อทั้งสองปฏิบัติชอบ ก็ไม่มีภัยทั้งหมด. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทิศเบื้องหน้านั้นอันบุตรปกปิดให้เกษมสําราญ ไม่ให้มีภัยดังนี้. ก็แลพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ตรัสกะสิงคาลกะว่า ดูก่อนคฤหบดีบุตร บิดาของเธอไม่ได้ให้เธอนอบน้อมทิศเบื้องหน้าที่โลกสมมติกัน แต่บิดาของเธอกระทํามารดาบิดาให้เป็นเช่นกับทิศเบื้องหน้าแล้วให้เธอนอบน้อม บิดาของเธอกล่าวถึงทิศเบื้องหน้าอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างอื่น.
บทว่า ด้วยการลุกขึ้น คือด้วยลุกขึ้นจากที่นั่ง. จริงอยู่ ศิษย์เห็นอาจารย์มาแต่ไกล ลุกจากที่นั่งทําการต้อนรับ รับสิ่งของจากมือ ปูอาสนะให้อาจารย์นั่งแล้ว พึงทําการพัด ล้างเท้า นวดเท้า เป็นต้น นั้นท่าน
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 115
กล่าวหมายถึงบทว่า ด้วยการลุกขึ้น ดังนี้. บทว่า ด้วยการรับใช้ ความว่า ด้วยเข้าไปรับใช้วันละ ๓ ครั้ง. แต่ที่แน่ๆ ก็ควรไปในกาลเรียนศิลปะ. บทว่า ด้วยการเชื่อฟัง ความว่า ก็ศิษย์เมื่อไม่เชื่อฟัง ย่อมไม่บรรลุคุณวิเศษ. บทว่า ด้วยการปรนนิบัติ คือ ด้วยการปรนนิบัติเล็กๆ น้อยๆ ไม่เหลือบ่ากว่าแรง. จริงอยู่ศิษย์ควรลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ให้น้ำบ้วนปาก แปรงสีฟัน แม้ในเวลาอาหารก็ถือเอาน้ำดื่มไปให้ แล้วทําการรับใช้ เสร็จแล้วไหว้ ควรกลับได้ ควรซักผ้าที่มัวหมอง ควรตั้งน้ำอาบในตอนเย็น ควรอุปฐากในเวลาที่ท่านไม่สบาย. แม้บรรพชิตก็ควรทําอันเตวาสิกวัตรทุกอย่าง. นี้ท่านหมายถึงบทว่า ด้วยการปรนนิบัติ. บทว่า ด้วยการเรียนศิลปะโดยเคารพ ความว่า การเรียนนิดหน่อยแล้วท่องหลายๆ ครั้งแม้บทเดียว ก็ควรเรียนให้รู้จริงชื่อว่า เรียนด้วยความเคารพ.
บทว่า แนะนําดี ความว่า อาจารย์ทั้งหลายย่อมให้ศิษย์ศึกษา คือ แนะนํามารยาทนี้ว่า เธอควรนั่งอย่างนี้ ควรยืนอย่างนี้ ควรเคี้ยวอย่างนี้ ควรบริโภคอย่างนี้ ควรเว้นมิตรชั่ว ควรคบมิตรดีดังนี้. บทว่า ให้เรียนดี ความว่า อาจารย์ทั้งหลายชําระอรรถและพยัญชนะชี้แจงประโยคแล้ว ให้ศิษย์เรียนโดยอาการที่ศิษย์จะเรียนได้ดี. บทว่า ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง ความว่า อาจารย์ทั้งหลายกล่าวถึงคุณของศิษย์อย่างนี้ว่า ศิษย์ของเราคนนี้ ฉลาดเป็นพหูสูตร เท่าๆ กับเรา พวกท่านพึงยึดเหนี่ยวศิษย์นี้ไว้แล้ว ให้ศิษย์ปรากฏในเพื่อนฝูงทั้งหลาย. บทว่า ทําการป้องกันในทิศทั้งหลาย ความว่า อาจารย์ย่อมทําการป้องกันศิษย์ในทิศทั้งปวงด้วยให้ศึกษาศิลปะ. เพราะว่า ลาภสักการะย่อมเกิดแก่ผู้เรียนศิลปะในทิศที่ไปแสดงศิลปะ ลาภสักการะนั้นเป็นอันชื่อว่า อาจารย์กระทําแล้ว. มหาชน
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 116
แม้เมื่อจะกล่าวถึงคุณของศิษย์นั้น ย่อมกล่าวถึงคุณของอาจารย์ก่อนโดยแท้ว่า ศิษย์ของท่านนี้เป็นศิษย์ที่ล้างเท้าอาจารย์อยู่แล้วดังนี้. ลาภเกิดขึ้นแก่ศิษย์นั้นแม้ประมาณถึงพรหมโลก ก็เป็นของอาจารย์นั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง โจรทั้งหลายในดง ย่อมไม่เห็นอมนุษย์ก็ดี งูเป็นต้นก็ดี ย่อมไม่เบียดเบียน ศิษย์คนใด ผู้อยากได้วิชาเดินไป อาจารย์แม้ให้ศิษย์คนนั้นศึกษาก็ชื่อว่า ย่อมทําความป้องกันในทิศทั้งหลาย. อาจารย์ทั้งหลายแม้ยกย่องศิษย์อย่างนี้ว่า ศิษย์ของเราอยู่ในทิศนี้ ไม่มีต่างกันในศิลปะนี้ของศิษย์และของเรา พวกท่านจงไปถามศิษย์นั้นเถิด แก่มนุษย์ผู้เกิดความสงสัยจากทิศที่ศิษย์นั้นไปแล้วมาหาตน ก็ชื่อว่าย่อมทําการป้องกันเพราะลาภสักการะเกิดขึ้นแก่ศิษย์ในที่นั้น อธิบายว่า ย่อมทําให้เป็นที่พึ่ง. บทที่เหลือในเรื่องนี้พึงประกอบ โดยนัยก่อนนั่นแล.
พึงทราบความในวาระทิศที่ ๓. บทว่า ด้วยยกย่อง ความว่า ด้วยกล่าวถ้อยคํายกย่องอย่างนี้ว่า แม่เทพ แม่ดิศ ดังนี้. บทว่า ด้วยไม่ดูหมิ่น ความว่า ด้วยไม่กล่าวดูถูก ดูหมิ่นเหมือนโบยเบียดเบียน แล้วพูดกะทาสและกรรมกรเป็นต้น ฉะนั้น. บทว่า ด้วยไม่ประพฤตินอกใจ ความว่า สามีละเลยภรรยาแล้ว บําเรอกับหญิงอื่น ชื่อว่าประพฤตินอกใจภรรยา ด้วยไม่ทําอย่างนั้น. บทว่า ด้วยสละความเป็นใหญ่ให้ มอบความเป็นใหญ่ให้ ความว่า จริงอยู่ หญิงทั้งหลายได้อาภรณ์แม้เช่นเครื่องประดับมหาลดา เมื่อไม่ได้จัดอาหารย่อมโกรธ เมื่อสามีวางทัพพีในมือแล้วกล่าวว่า แม่จงทําตามชอบใจของแม่เถิด ดังนี้ แล้วมอบครัวให้ชื่อว่ามอบความเป็นใหญ่ทั้งหมดให้ อธิบายว่า ด้วยทําอย่างนั้น. บทว่า ด้วยมอบเครื่องประดับให้
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 117
ความว่า ด้วยมอบเครื่องประดับตามสมควรแก่สมบัติของตน.
บทว่า ภรรยาจัดการงานดี ความว่า ภรรยาไม่ละเลยเวลาต้มข้าวต้มและหุงข้าวสวยเป็นต้น แล้วจัดการงานให้ดี ด้วยการทําความดีแก่สามีนั้นๆ. บทว่า สงเคราะห์บริชน ความว่า สงเคราะห์บริชนด้วยความนับถือเป็นต้น และด้วยการส่งข่าวเป็นต้น. ชนผู้เป็นญาติของสามีและของตน ชื่อบริชนในที่นี้. บทว่า ไม่ประพฤตินอกใจสามี ความว่า ไม่ทิ้งขว้างสามีแล้วปรารถนาชายอื่นแม้ด้วยใจ. บทว่า รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ ความว่า ทรัพย์ที่สามีทํากสิกรรมและพาณิชยกรรมเป็นต้นแล้วนํามารักษาไว้. บทว่า เป็นผู้ขยัน ความว่า เป็นผู้ฉลาดละเอียดละออในการจัดข้าวยาคูแลภัตร เป็นต้น. บทว่า ไม่เกียจคร้าน ความว่า ไม่ขี้เกียจ ภรรยาไม่เป็นเหมือนอย่างหญิงพวกอื่นซึ่งเกียจคร้าน นั่งจมอยู่กับที่ที่ตนนั่ง ยืนและอยู่กับที่ที่ตนยืนฉะนั้น ย่อมยังกิจทั้งปวงให้สําเร็จด้วยใจกว้างขวาง. พึงประกอบบทที่เหลือในเรื่องนี้ โดยนัยก่อนนั่นแล.
พึงทราบความในวาระทิศที่ ๔. บทว่า ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความเป็นจริง ความว่า ด้วยไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความเป็นจริง ถึงผู้ที่ยึดถือไว้แล้ว ไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความเป็นจริงแล้วให้อย่างนี้ว่า แม้ชื่อนี้ก็มีอยู่ในบ้านของพวกเรา แม้ชื่อนี้ก็มี ท่านจงรับเอาไปเถิด. บทว่า นับถือตลอดถึงวงศ์ของมิตร ความว่า บุตรธิดาของสหาย ชื่อประชา ก็บุตรธิดาของบุตรธิดาเหล่านั้น เป็นหลานและเป็นเหลน ชื่อว่า ประชา อื่นๆ ย่อมบูชา ย่อมยินดี ย่อมนับถือพวกเขา กระทําการมงคลเป็นต้น แก่พวกเขาในการทําพิธีมงคลเป็นต้น. บทที่เหลือในเรื่องนี้พึงประกอบ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 118
โดยนัยก่อนนั้นแล.
บทว่า ด้วยจัดการงานตามกําลัง ความว่า ด้วยไม่ให้คนแก่ทํางานที่คนหนุ่มทํา หรือไม่ให้คนหนุ่มทํางานที่คนแก่ทํา ไม่ให้ชายทํางานที่หญิงทํา หรือไม่ให้หญิงทํางานที่ชายทํา แล้วจัดการงานตามกําลังของคนนั้นๆ. บทว่า ด้วยให้อาหารและรางวัล ความว่า ด้วยกําหนดความสมควรของคนนั้นๆ ว่า คนนี้เป็นลูกคนเล็ก คนนี้อยู่ร่วมกันมา ดังนี้แล้วให้อาหารและค่าใช้จ่าย. บทว่า ด้วยรักษาในเวลาเจ็บไข้ ความว่า ด้วยไม่ให้ทํางานในเวลาไม่สบายแล้วให้ยาทําให้สบายเป็นต้น แล้วดูแลรักษา. บทว่า ด้วยแจกของมีรสแปลกประหลาดให้กิน ความว่า ด้วยเมื่อได้ของมีรสอร่อยแปลกๆ แล้วไม่กินเสียเองทั้งหมด แจกให้ทาสและกรรมกรเหล่านั้น. บทว่า ด้วยปล่อยในสมัย ความว่า ด้วยปล่อยในนิจสมัยและกาลสมัย ทาสและกรรมกรทํางานตลอดวันย่อมเหน็ดเหนื่อย เพราะฉะนั้น การรู้เวลาแล้วปล่อยโดยประการที่ทาสและกรรมกรไม่เหน็ดเหนื่อย ชื่อว่าปล่อยในนิจสมัย. การให้ของตบแต่งของเคี้ยวแลของบริโภคเป็นต้น ในวันมีมหรสพนักขัตฤกษ์และเล่นกีฬาเป็นต้นแล้วปล่อย ชื่อว่าปล่อยในกาลสมัย.
บทว่า ถือเอาแต่ของที่นายให้ ความว่า ไม่หยิบฉวยอะไรๆ เยี่ยงโจร ถือเอาแต่ของที่นายให้เท่านั้น. บทว่า ทําการงานให้ดีขึ้น ความว่า ไม่เพ่งโทษว่าเรื่องอะไรที่เราจะทํางานให้แก่เขา เราไม่เห็นได้อะไรๆ เลย แล้วมีใจยินดีทํางาน เป็นผู้กระทํางานอย่างที่ทําดีแล้ว. บทว่า นําคุณของนายไปสรรเสริญ ความว่า เมื่อถึงคราวสนทนากันในท่ามกลางบริษัท นําคุณของนายไปสรรเสริญว่าไม่มีใครเช่นกับนายของเรา เราไม่รู้แม้ความเป็นทาสของตน ไม่รู้ความที่ท่านเหล่านั้นเป็นนาย นายอนุเคราะห์พวกเรา
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 119
ถึงอย่างนี้. บทที่เหลือ แม้ในเรื่องนี้ พึงประกอบโดยนัยก่อนนั้นแล.
ท่านกล่าวเมตตากายกรรมเป็นต้นที่กุลบุตร เข้าไปตั้งเมตตาจิตกระทําแล้ว ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า ด้วยกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ดังนี้. ในบทเหล่านั้น การไปวัดด้วยคิดว่า เราจักนิมนต์ภิกษุทั้งหลาย การถือธัมกรกกรองน้ำและการกระทํามีการนวดหลังและนวดเท้าเป็นต้น ชื่อว่า กายกรรมประกอบด้วยเมตตา. การเห็นภิกษุทั้งหลายเข้าไปบิณฑบาต แล้วกล่าวคําเป็นต้นว่า พวกท่านจงถวายข้าวต้ม พวกท่านจงถวายข้าวสวย โดยความเคารพดังนี้ การให้สาธุการแล้วฟังธรรมและการกระทําการปฏิสันถารเป็นต้นโดยความเคารพ ชื่อว่า วจีกรรมประกอบด้วยเมตตา. การคิดอย่างนี้ว่า พระเถระผู้เข้าไปสู่ตระกูลของพวกเรา ขอจงเป็นผู้ไม่มีเวร ขอจงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนเถิด ชื่อว่า มโนกรรมประกอบด้วยเมตตา. บทว่า อนาวฏทฺวารตาย แปลว่า ด้วยความเป็นผู้ไม่ปิดประตู. ในบทนั้น อธิบายว่ากุลบุตรแม้เปิดประตูทั้งหมด ไม่ให้ ไม่ต้อนรับผู้มีศีลทั้งหลาย ก็ชื่อว่าเป็นผู้ปิดประตูอยู่นั่นเอง. ก็แต่ว่ากุลบุตรแม้ปิดประตูทั้งหมด ให้ต้อนรับผู้มีศีลเหล่านั้น ก็ชื่อว่าเป็นผู้เปิดประตูอยู่นั้นเอง. เมื่อผู้มีศีลมาถึงประตูเรือน ไม่ควรกล่าวสิ่งที่มีอยู่ว่าไม่มี แล้วถวาย อย่างนี้ชื่อว่า ความเป็นผู้ไม่ปิดประตู. บทว่า ด้วยให้อามิสทานเนืองๆ อธิบายว่า ของที่ควรบริโภคก่อนภัตตาหาร ชื่อว่าอามิส เพราะฉะนั้น ด้วยการถวายข้าวยาคูและภัตแด่ผู้มีศีลทั้งหลาย ดังนี้.
บทว่า อนุเคราะห์ด้วยใจงาม ความว่า ด้วยแผ่ประโยชน์เกื้อกูลอย่างนี้ว่า ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงเป็นผู้มีความสุข ไม่มีเวร ไม่มีโรค ไม่เบียดเบียนกันเถิด. อีกอย่างหนึ่ง สมณพราหมณ์ แม้พาเพื่อนพรหมจรรย์
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 120
ผู้มีศีลเหล่าอื่น แล้วเข้าไปสู่เรือนของอุปฐากทั้งหลาย ก็ชื่อว่า อนุเคราะห์ด้วยใจงาม. บทว่า ทําสิ่งที่ฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ความว่า มีสิ่งใดที่กุลบุตรเหล่านั้นฟังแล้วตามปกติ สมณพราหมณ์ทั้งหลายบอกเนื้อความของสิ่งนั้น แล้วบรรเทาความสงสัยหรือให้ปฏิบัติตามที่เป็นจริง. บทที่เหลือแม้ในเรื่องนี้ ก็พึงประกอบโดยนัยก่อนนั้นแล.
บทว่า คฤหัสถ์ผู้สามารถ ความว่า คฤหัสถ์ผู้สามารถกระทําการเลี้ยงดูบุตรภรรยา แล้วให้ครองเรือน. บทว่า บัณฑิต คือ เป็นผู้ฉลาดในฐานะนอบน้อมทิศทั้งหลาย. บทว่า เป็นผู้ละเอียด คือ เป็นผู้ละเอียดด้วยการเห็นความอันสุขุม หรือด้วยกล่าววาจานุ่มนวล. บทว่า มีไหวพริบ คือ เป็นผู้มีไหวพริบในฐานะนอบน้อมทิศทั้งหลาย บทว่า ถ่อมตน คือ ประพฤติต่ํา. บทว่า ไม่กระด้าง คือ เว้นจากความดื้อรั้น. บทว่า มีความเพียร คือ ถึงพร้อมด้วยความขยันและความเพียร. บทว่า ไม่เกียจคร้าน ความว่า ผู้ปราศจากความเกียจคร้าน. บทว่า มีความประพฤติไม่ขาดสาย คือ มีความประพฤติไม่ขาดด้วยสามารถกระทําติดต่อกันไป. บทว่า มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาอันทําให้เกิดฐานะ. บทว่า เป็นผู้สงเคราะห์ คือ ทําการสงเคราะห์ด้วยสังคหวัตถุ ๔. บทว่า ทําให้เป็นมิตร คือ แสวงหามิตร. บทว่า เป็นผู้รู้ถ้อยคํา คือ รู้คําอันบุพการีกล่าว. อธิบายว่า ในเวลาไปเรือนสหาย ระลึกถึงคําพูดที่บุพการี พูดว่า พวกท่านจงให้ผ้าโพก จงให้ผ้าสาฎกแก่สหายของเรา จงให้อาหาร และค่าจ้างแก่มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อเขามาเรือนของตน เป็นผู้กระทําตอบ เพียงเท่านั้น หรือยิ่งกว่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง รู้คําพูดของสหายนั้น แม้เป็นคําพูดที่ประพฤติตามกันต่อๆ กันมา ไม่สามารถจะรับได้ด้วยความละอาย
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 121
สหายผู้มาด้วยคิดว่า เราจักไปเรือนของสหายแล้วจักถือเอาสิ่งนี้ดังนี้ เขามาด้วยประโยชน์อันใด ยังประโยชน์อันนั้นให้สําเร็จ ชื่อว่ารู้คําพูด. แม้ตรวจตราดูแล้วให้สิ่งที่สหายพร่อง ก็ชื่อว่า เป็นผู้รู้คําพูดเหมือนกัน. บทว่า เป็นผู้แนะนํา ความว่า เมื่อจะชี้แจงเนื้อความนั้นๆ เป็นผู้แนะนําด้วยปัญญา. ชี้แจงเหตุหลายๆ อย่าง แนะนําชื่อว่าเป็นผู้แนะนําเหตุผล แนะนําบ่อยๆ ชื่อว่าตามแนะนํา.. บทว่า ตตฺถ ตตฺถ ความว่า ในบุคคลนั้นๆ. บทว่า เหมือนสลักรถอันแล่นไปอยู่ ความว่า เมื่อการสงเคราะห์เหล่านี้ยังมีอยู่โดยแท้ โลกยังเป็นไปได้ เมื่อไม่มีโลกก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนสลักยังมีอยู่ รถย่อมแล่นไปได้ เมื่อสลักไม่มี รถก็แล่นไปไม่ได้ ฉะนั้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า การสงเคราะห์เหล่านี้แลในโลก เหมือนสลักรถแล่นไปอยู่ฉะนั้น. บทว่า มารดาไม่ได้รับความนับถือบูชาเพราะเหตุแห่งบุตร ความว่า ผิว่า มารดาไม่พึงทําการสงเคราะห์เหล่านี้แก่บุตร มารดาไม่พึงได้ความนับถือหรือความบูชาเพราะเหตุแห่งบุตร. บทว่า สงฺคหา เอเต เป็นปฐมาวิภัตติ์ลงในอรรถทุติยาวิภัตติ์. หรือปาฐะว่า สงฺคเห เอเต. บทว่า สมฺมเปกฺขนฺติ ตัดบทเป็น สมฺมา เปกฺขนฺติ. บทว่า ปสํ สา จ ภวนฺติ แปลว่า ควรได้รับการสรรเสริญ.
ด้วยประการดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีบุตร เธอจงนอบน้อมทิศที่บิดาของเธอกล่าวหมายถึง แล้วทรงแสดงทิศ ๖ เหล่านี้นั้นว่า ผิว่าเธอทําตามคําบิดา เธอจงนอบน้อมทิศเหล่านี้ ทรงตั้งคําถามแก่สิงคาลกะ ยังเทศนาให้ถึงที่สุดแล้ว เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต. แม้สิงคาลกะก็ได้ตั้งอยู่ในสรณะทั้งหลาย แล้วเฉลี่ยทรัพย์ ๔๐
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 122
โกฏิ ไว้ในพระพุทธศาสนากระทํากรรมอันเป็นบุญ ได้เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ก็ในสูตรนี้ ชื่อว่า กรรมใดที่คฤหัสถ์ควรทําอย่างใดอย่างหนึ่ง กรรมนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ตรัสไว้ ย่อมไม่มี พระสูตรนี้ ชื่อว่า คิหิวินัย เพราะฉะนั้น เมื่อฟังพระสูตรนี้แล้วปฏิบัติตามที่ได้สอนไว้ ความเจริญเท่านั้นเป็นอันหวังได้ ไม่มีความเสื่อมฉะนี้.
จบอรรถกถาสิงคาลกสูตร ที่ ๘ ในทีฆนิกายอรรถกถา ชื่อ สุมังคลวิลาสินี ด้วยประการฉะนี้.