ปฏิจจสมุปปาท คือ ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นนั้น ก็เป็นกิเลสวัฏฏ์กัมมวัฏฏ์ และวิปากวัฏฏ์ คือ ...
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร (กิเลสวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดกัมมวัฏฏ์) สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ (กัมมวัฏฏ์เป็นปัจจัยให้เกิดวิปากวัฏฏ์)
อวิชชา คือ โมหเจตสิก เป็นอกุศลธรรมที่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นกิเลสวัฏฏ์ที่เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
สังขารที่เป็นผลของอวิชชา มี ๓ คือ ...
...ปุญญาภิสังขาร
...อปุญญาภิสังขาร
...อเนญชาภิสังขาร
ปุญญาภิสังขาร ได้แก่ เจตนาที่กระทำกุศลกรรมที่เนื่องกับ รูป คือกามาวจรกุศลกรรมและ รูปาวจรกุศลกรรม
อปุญญาภิสังขาร ได้แก่ เจตนาที่กระทำอกุศลกรรม
อเนญชาภิสังขาร ได้แก่ เจตนาที่เป็นอรูปาวจรกุศลกรรมคือ อรูปฌานกุศล ๔
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณคือ ปฏิสนธิในภูมิต่างๆ ตามควรแก่เหตุ คือ กรรมนั้นๆ ฉะนั้น ปฏิจจสมุปปาทที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปแต่ละขณะนี้เอง ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใด เช่น ทรงแสดงโดยนัยของปรมัตถธรรม ๔ โดยนัยของอริยสัจจ์ ๔ หรือโดยนัยของปฏิจจสมุปปาท
ดาวน์โหลดหนังสือ --> ปรมัตถธรรมสังเขป
จะค่อยๆ ศึกษาไปครับ
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ