เรื่องเทวสันนิบาต [มหาสมัยสูตร]
โดย Khaeota  25 มิ.ย. 2553
หัวข้อหมายเลข 16594

[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 73

๗. มหาสมัยสูตร
เรื่องเทวสันนิบาต_1

[๒๓๕] ข้าพเจ้าฟังมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่ป่าใหญ่ ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ ในแคว้นสักกะ พร้อมกับภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งล้วนแต่เป็น พระอรหันต์. อนึ่ง พวกเทวดาโดยมากจากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ก็มาประชุมกันเพื่อ ชมพระผู้มีพระภาคเจ้า และพระภิกษุสงฆ์. ครั้งนั้นแล พวกเทพชั้นสุทธาวาส ๔ องค์ มีความคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านี้แล กำลังประทับอยู่ที่ป่าใหญ่ใกล้ กรุงกบิลพัลดุ์ในสักกชนบทพร้อมกับพระภิกษุหมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่ง ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น อนึ่ง พวกเทวดาโดยมากจาก ๑๐ โลกธาตุก็ มาประชุมกันเพื่อชมพระผู้มีพระภาคเจ้า และภิกษุสงฆ์ อย่ากระนั้นเลย แม้ พวกเราก็พึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว พึงกล่าวคาถาองค์ละหนึ่งคาถาในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ครั้งนั้นแล พวกเทวดาเหล่านั้นก็หายตัวจากเทวโลกชั้นสุทธาวาส แล้วปรากฏเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนบุรุษที่มีกำลังพึงเหยียดแขนที่คู้ออก หรือ พึงคู้แขนที่เหยียดออกฉะนั้น. ครั้งนั้น พวกเทวดาเหล่านั้น ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วก็ยืนอยู่ส่วนข้างหนึ่ง. เทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งยืนอยู่แล้ว ณ ส่วนข้างหนึ่งแล ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า



ความคิดเห็น 1    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553

[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 74

๗. มหาสมัยสูตร
เรื่องเทวสันนิบาต_2

[๒๓๖] การประชุมใหญ่มีในป่าใหญ่ หมู่เทพ ก็มาประชุมกันแล้ว เราทั้งหลายก็มาแล้ว สู่ที่ประชุมธรรมนี้ เพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ ซึ่งไม่มีใครเอาชนะได้เลย.

[๒๓๗] ลำดับนั้นแล เทวดาอีกองค์หนึ่งก็ ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักของพระผู้มี พระภาคเจ้าว่า เหล่าพระภิกษุในที่ประชุมนั้น มั่นคง ได้ทำจิตของตนให้ตรงแล้ว เป็นบัณฑิต ย่อมรักษาอินทรีย์ทั้งหลาย เหมือนสารถี จับเชือกทั้งหลายอยู่ ฉะนั้น [๒๓๘] ลำดับนั้นแล เทวดาอีกองค์หนึ่งก็ ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักของพระผู้มี พระภาคเจ้าว่า พวกภิกษุเหล่านั้น ตัดกิเลสดุจตาปู ตัดกิเลส ดุจสิ่มสลักได้แล้ว ถอนกิเลส ดุจเสาเขื่อนได้แล้ว เป็นผู้ไร้ตัณหา หมด จด ไม่มีมลทินเที่ยวไป ท่านเป็นนาคหนุ่ม มีดวงตา ฝึกฝนดีแล้ว [๒๓๙] ลำดับนั้นแล เทวดาอีกองค์หนึ่งก็ ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักของพระผู้มี พระภาคเจ้าว่า ชนทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้ถึง พระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะแล้วซิ ชนเหล่า นั้นจักไม่ไปสู่อบายภูมิ ละร่างของมนุษย์ แล้ว จักทำให้ร่างเทพบริบูรณ์.


ความคิดเห็น 2    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553

[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒[เล่มที่ 14] - หน้าที่ 75

๗. มหาสมัยสูตร
เรื่องเทวสันนิบาต_3

[๒๔๐] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งภิกษุทั้งหลายว่า ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดา ๑๐ โลกธาตุโดยมากมาประชุมกันแล้วเพื่อชม ตถาคตและหมู่ภิกษุ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น แม้เหล่าใด ได้ มีแล้วในอดีตกาล หมู่เทวดามาประชุมเพื่อเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็มากเท่ากับของเรา เดี๋ยวนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหลายนั้น จักมีในอนาคตกาล หมู่เทวดาที่จักเป็นผู้เข้าประชุมกัน ของพระผู้มี พระภาคเจ้าแม้เหล่านั้น ก็จะมากเท่ากับของเราเดี๋ยวนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักบอกชื่อของหมู่เทพทั้งหลาย เราจักระบุชื่อของหมู่เทพทั้งหลาย เราจัก แสดงชื่อของหมู่เทพทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงฟังการแสดงชื่อหมู่เทพทั้งหลายนั้น จงเอาใจใส่ให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น สนองพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า ดังนี้แล. พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส ภาษิตนี้ว่า


ความคิดเห็น 3    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553

[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒[เล่มที่ 14] - หน้าที่ 75-77

๗. มหาสมัยสูตร
เรื่องเทวสันนิบาต_4

ทรงประกาศนามเทวดา

[๒๔๑] เราจักร้อยกรองโศลก ภุมมเทวดาอาศัยอยู่ ณ ที่ใด ภิกษุก็อาศัยที่นั้น อาศัย ซอกเขา ส่งตนไปแล้วมีจิตตั้งมั่น. เป็นจำนวนมาก เร้นอยู่เหมือนราชสีห์ ครอบ งำความขนพอง สยองเกล้าเสียได้ มีใจ ผุดผ่อง เป็นผู้หมดจด ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว. พระศาสดาทรงทราบภิกษุ ๕๐๐ รูป เศษในป่าใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แต่นั้น จึง ตรัสเรียกพระสาวกทั้งหลาย ผู้ยินดีใน พระศาสนาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่ เทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จักหมู่ เทวดาเหล่านั้น ภิกษุเหล่านั้นฟังพระดำรัส ของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียร. ญาณเป็นเครื่องเห็นพวกอมนุษย์ได้ปรากฏแก่ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวกได้เห็น อมนุษย์ร้อยหนึ่ง บางพวกได้เห็นอมนุษย์ พันหนึ่ง บางพวกได้เห็นอมนุษย์เจ็ดหมื่น บางพวกได้เห็นอมนุษย์หนึ่งแสน บางพวก ได้เห็นไม่มีที่สุดอมนุษย์ได้แผ่ไปทั่วทิศ


ความคิดเห็น 4    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553

[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒[เล่มที่ 14] - หน้าที่ 75-77

๗. มหาสมัยสูตร
เรื่องเทวสันนิบาต_5

ทรงประกาศนามเทวดา

พระศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงใคร่ครวญ ทราบเหตุนั้นสิ้นแล้ว แต่นั้น จึงตรัสเรียก สาวกผู้ยินดีในพระศาสนาว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวก เธอจงรู้จักหมู่เทวดานั้น เราจักบอกพวก เธอด้วยวาจาตามลำดับ ยักษ์ ๗,๐๐๐ เป็น ภุมมเทวดา อาศัยอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ มี ฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่ง หน้ามาสู่ป่าซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย. ยักษ์ ๖,๐๐๐ ที่อาศัยอยู่ในเขาเหมวัตมี ผิวพรรณต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ มุ่งหน้ามาสู่ป่าซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย.


ความคิดเห็น 5    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 75 -77
๗. มหาสมัยสูตร

เรื่องเทวสันนิบาต_6

ทรงประกาศนามเทวดา

ยักษ์ ๓,๐๐๐ ที่อาศัยอยู่ที่เขาสาตาคีรี

มีผิวพรรณต่างๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ

มีรัศมี มียศ ยินดีมุ่งหน้ามาสู่ป่าซึ่งเป็นที่

ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย.

ยักษ์ เหล่านั้นรวมเป็น ๑๖,๐๐๐ ตน

ซึ่งมีผิวพรรณแตกต่างกัน มีฤทธิ์ มีอานุ-

ภาพ มีรัศมี มียศ ยินดีมุ่งหน้ามาสู่ป่า

ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย.

ยักษ์ ๕๐๐ อยู่ที่เขาวิศวามิตร มีผิว

พรรณแตกต่างกัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มี

รัศมี มียศ ยินดีมุ่งหน้ามาสู่ป่า ซึ่งเป็น

ที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย.

ยักษ์ชื่อ กุมภีร์ อยู่ในกรุงราชคฤห์

อาศัยเขาเวปุลละ เป็นที่อยู่ ยักษ์มากกว่า

แสนไปเฝ้ายักษ์กุมภีร์นั้น แม้ยักษ์ชื่อกุม-

ภีร์อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์นั้น ก็ได้มา

สู่ป่า ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย.


ความคิดเห็น 6    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 77-79
๗. มหาสมัยสูตร

เรื่องเทวสันนิบาต_7

ชื่อพวกเทพ จตุโลกบาล

[๒๔๒] ก็ท้าวธตรัฐปกครองทิศตะวันออกเป็น

อธิบดีของพวกคนธรรพ์ ท้าวเธอเป็นมหา

ราช มียศ. แม้บุตรเป็นอันมากของท้าว

เธอนั้น ชื่อว่าอินทร์ มีกำลังมาก มีฤทธิ์

มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดีมุ่งหน้ามา

สู่ป่า ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย.

ส่วนท้าววิรุฬห์ ปกครองทิศใต้ เป็น

อธิบดีของพวกกุมภัณฑ์ ท้าวเธอเป็นมหา

ราช มียศ. ถึงบุตรเป็นอันมาก ของท้าว

เธอนั้น ก็ชื่อว่า อินทร์ มีกำลังมาก มีฤทธิ์

มีอานุภาพ มีรัศมี ยินดีมุ่งหน้ามาสู่ป่า

ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย.

ฝ่ายท้าววิรูปักษ์ ปกครองทิศตะวัน-

ตก เป็นอธิบดีของพวกนาค ท้าวเธอเป็น

มหาราช มียศ. แม้บุตรเป็นอันมากของ

ท้าวเธอนั้น ก็ชื่อว่า อินทร์ต่างมีกำลังมาก

มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี

มุ่งหน้ามาสู่ป่า ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุ

ทั้งหลาย.

ท้าวธตรัฐ ปกครองทิศตะวันออก

ท้าววิรุฬหก ปกครองทิศใต้

ท้าววิรูปักษ์ ปกครองทิศวันตก ท้าวกุเวร

ปกครองทิศเหนือ มหาราชทั้ง ๔ องค์นั้น

ยังทิศทั้ง ๔ โดยรอบให้รุ่งเรืองประทับอยู่

ในป่าใกล้กรุงกบิลพัสดุ์.


ความคิดเห็น 7    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 79

๗. มหาสมัยสูตร

เรื่องเทวสันนิบาต_8

บ่าวของท้าวโลกบาล

[๒๔๓] พวกบ่าวของมหาราชทั้ง ๔ องค์นั้น

ต่างมีมายาล่อลวง โอ้อวด เจ้าเล่ห์ คือ

กุเฏณฑุ ๑ เวเฏณฑุ ๑ วิฏุ ๑ วิฏุฏะ ๑

จันทนะ ๑ กามเศรษฐ์ ๑ กินนุฆัณฑุ ๑

นิฆัณฑุ ๑ ปนาทะ ๑ โอปมัญญะ ๑

เทวสูต ๑ มาตลี ๑ จิตรเสนผู้คนธรรพ์ ๑

นโฬราช ๑ ชโนสภะ ๑ ปัญจสิขะ ๑

ติมพรู ๑ สุริยวัจฉสา ๑

ราชาและคนธรรพ์เหล่านั้น และเหล่า

อื่น พร้อมด้วยเทวราชทั้งหลาย ยินดีมุ่ง

หน้ากันมาสู่ป่า ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุ

ทั้งหลาย.

อนึ่ง พวกนาคที่อยู่ในสระชื่อ

นาสภะ และอยู่ในเมืองไพศาลี กับบริษัท

แห่งตัจฉกะนาคราชก็มา พวกนาคตระกูล

กัมพลและตระกูลอัสดรก็มา พวกนาคที่

อยู่ในท่าปายาคะ พร้อมกับหมู่ญาติก็มา

พวกนาคในแม่น้ำยมุนา ตระกูลธตรัฐ ผู้มี

ยศก็มา เอราวัณเทพบุตรผู้เป็นช้างใหญ่

แม้นั้น ก็มาสู่ป่าซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุ

ทั้งหลาย.


ความคิดเห็น 8    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 80
๗. มหาสมัยสูตร

เรื่องเทวสันนิบาต_9

บ่าวของท้าวโลกบาล

ท้าวกุเวร ปกครองด้านทิศเหนือ

เป็นอธิบดีของพวกยักษ์ ท้าวเธอเป็นมหา

ราช มียศ. แม้บุตรเป็นอันมากของท้าว

เธอนั้น ก็มีชื่อว่า อินทร์ มีกำลังมาก มี

ฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศต่างก็

ยินดีมุ่งหน้ามาสู่ป่า ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่ง

ภิกษุทั้งหลาย.

[๒๔๔] ปักษีเกิดสองครั้ง เป็นทิพย์ มีตา

หมดจด นำพญานาคไปได้อย่างรวดเร็ว

(คือพญาครุฑ) เหล่าใด พญาครุฑเหล่า

นั้นมาโดยเวหา ถึงท่ามกลางป่า ชื่อของ

พญาครุฑเหล่านั้นว่า จิตรสุบรรณ ในครั้ง

นั้น การอภัยได้มีแล้วแก่พวกพญานาค

พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำความปลอดภัย

จากสุบรรณแล้ว พวกนาคและพวก

สุบรรณทักทายกันด้วยวาจาที่ไพเราะ ต่าง

กระทำพระพุทธเจ้า ให้เป็นสรณะแล้ว.

พวกอสูรที่อาศัยสมุทร ซึ่งถูกพระ

อินทร์ปราบจนพ่ายแพ้แล้ว นาคและครุฑ

เหล่านั้นเป็นพี่น้องของท้าววาสวะ มีฤทธิ์

มียศ.

พวกอสูรตระกูลกาลกัญชา มีกาย

ใหญ่น่ากลัว พวกอสูรตระกูลทานเวฆัส

อสูรเวปจิตติ และอสูรสุจิตติปาราท กับ

นมุจี บุตรของอสูรพลี ๑๐๐ ซึ่งมีชื่อว่า

ไพโรจน์ทั้งนั้น ผูกสอดเครื่องเสนา ที่

ทรงพลัง เข่าไปหาราหุภัทร (อสุรินทรา-

หู) แล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ วันนี้เป็น

วันประชุม แล้วก็เข้าไปสู่ป่าเป็นที่ประชุม

แห่งภิกษุทั้งหลาย.


ความคิดเห็น 9    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 81

๗. มหาสมัยสูตร

เรื่องเทวสันนิบาต_10

เทวนิกาย ๖๐

[๒๔๕] หมู่เทพพวกอาปะ พวกปฐวี พวก

เตชะและพวกวายะ ก็มาในครั้งนั้นด้วย

หมู่เทพพวกวรุณ พวกวารุณ พวกโสมะ

พวกยสสะ หมู่เทพผู้เกิดด้วยเมตตาและ

กรุณา ผู้มียศ ก็มา.

หมู่เทพ ๑๐ เหล่านี้เป็น ๑๐ พวก

ทั้งหมดล้วนมีผิวพรรณต่างๆ กัน มีฤทธิ์

มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ มุ่งหน้ามาสู่ป่า

ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย

เทพพวกเวณฑู พวกสหลี พวกโสมะ

และพวกยมทั้ง ๒ พวก เทพที่อาศัยพระ-

จันทร์ ทำพระจันทร์เป็นเบื้องหน้าก็มา.

พวกเทพที่อาศัยสุริยะ ทำสุริยะเป็น

เบื้องหน้าก็มา พวกเทพทำนักษัตรทั้งหลาย

เป็นเบื้องหน้า พวกเทพมันทพลาหก

ก็มา แม้ท้าวสักกะ วาสวะ ผู้ให้ทานเมื่อ

กาลก่อน ผู้ประเสริฐกว่าพวกอสูรเทพก็

เสด็จมา. หมู่เทพ ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก

ทั้งหมดล้วนแต่มีผิวพรรณต่างๆ กัน มี

ฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศยินดี มุ่ง

หน้ามาสู่ป่า ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้ง

หลาย.

เทพพวกสหภู ซึ่งรุ่งเรืองปานเปลว

เพลิง เทพพวกอริฏฐกะ และพวกโรชะ

มีรัศมีเหมือนสีดอกผักตบ เทพพวกวรุณ

พวกสหธรรม พวกอัจจุตะ พวกอเนชกะ

และสุไลยรุจิระ ก็มา พวกวาสวเนสิน

ก็มา.


ความคิดเห็น 10    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 81

๗. มหาสมัยสูตร

เรื่องเทวสันนิบาต_11

เทวนิกาย 60

หมู่เทพ ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก

ทั้งหมดล้วนแต่มีผิวพรรณต่างๆ กัน มี

ฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดีมุ่ง

หน้ามาสู่ป่า ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้ง

หลาย.

เทพพวกสมาน พวกมหาสมาน พวก

มานุสะ พวกมานุสุตะ พวกขิฑฑาปทูสิกะ

พวกมโนปทูสิกะ ก็มา อนึ่ง เทพพวกหริ

ก็มา พวกเทพซึ่งชื่อโลหิตวาสี เทพพวก

ปารัค และพวกมหาปารัคผู้มียศ ก็มา.

หมู่เทพ ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก

ทั้งหมดล้วนแต่มีผิวพรรณต่างๆ กัน มี

ฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดีมุ่งหน้า

มาสู่ป่า ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย.

เทพพวกสุกกะ พวกกรุมหะ พวก

อรุณ พวกเวฆนัส ก็มาด้วยกัน เทพพวก

โอทาตคัยห์ ซึ่งเป็นหัวหน้า พวกวิจักษณ์

พวกสทามัตต์ พวกหารคัช และพวก

มิสสัก ผู้มียศ ก็มา เทพผู้ซึ่งคำรามให้

ฝนตกทั่วทิศก็มา.

หมู่เทพ ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก

ทั้งหมดล้วนแต่มีผิวพรรณต่างๆ กัน มี

ฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดีมุ่งหน้า

มาสู่ป่า ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย.

เทพพวกเขมีย์ พวกดุสิต พวกยามะ

และพวกกัฏฐักผู้มียศ พวกลัมพิตัก พวก

ลามเศรษฐ์ พวกโชตินาม พวกอาสวะ

และพวกนิมมานรดี ก็มา อนึ่ง พวก

ปรนิมมิต ก็มาด้วย.

หมู่เทพ ๖๐ หมู่นี้ล้วนแต่มีผิวพรรณ

ต่างๆ กัน มาแล้วโดยส่วนแห่งชื่อ และ

เทพเหล่าอื่น ก็มา เช่นเดียวกัน ด้วยคิด

ว่า พวกเราจักเฝ้าพระมหานาคผู้ปราศจาก

ชาติผู้ไม่มีกิเลสดุจตาปู ผู้ข้ามห้วงน้ำได้

แล้ว ผู้ไร้อาสวะ ผู้ข้ามจากกิเลสที่เปรียบ

เหมือนห้วงน้ำ ผู้ก้าวล่วงกรรมดุจพระ-

จันทร์พ้นจากเมฆฉะนั้น.


ความคิดเห็น 11    โดย Khaeota  วันที่ 25 มิ.ย. 2553


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 81
๗. มหาสมัยสูตร

เรื่องเทวสันนิบาต_12

พวกพรหม

[๒๔๖] สุพรหม และปรมัตตะ ผู้เป็นบุตร

ของผู้มีฤทธิ์ก็มาด้วย สนังกุมารพรหม

และติสสพรหม แม้เขาก็มาสู่ป่า ซึ่งเป็น

ที่ประชุมแห่งภิกษุทั้งหลาย.

มหาพรหมย่อมปกครองพรหมโลก

พันหนึ่ง เป็นอุปปาติกะ มีอานุภาพ มี

กายใหญ่โต มียศ ก็มา.

พวกพรหม ๑๐ องค์ ผู้เป็นอิสระ

ในพรหมโลกพันหนึ่งนั้น ผู้มีอำนาจเป็น

ไปเฉพาะผู้เดียวก็มา และพรหมชื่อหาริตะ

อันพวกบริวารแวดล้อมแล้วก็มา ในท่าม

กลางแห่งพรหมเหล่านั้น.

และกองทัพมาร ได้เห็นพวกเทพ

พร้อมกับพระอินทร์ทั้งหมดนั้น ก็มาด้วย

แล้วกล่าวว่า ท่านจงดูความเขลาของมาร

พวกท่านจงมาจับผูกไว้ จงผูกด้วยราคะ

จงล้อมไว้โดยรอบ พวกท่านอย่าปล่อย

ให้ใครไปได้.

แม่ทัพ บังคับเสนามาร ในที่ประชุม

นั้นดังนี้ แล้วก็เอาฝ่ามือตบพื้นดิน ทำ

เสียงอย่างน่ากลัวเหมือนเมฆ ทำให้ฝนตก

คำรามอยู่ เป็นไปกับฟ้าแลบ. หมู่เทพ ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก

โดยทั้งหมด ล้วนแต่มีผิวพรรณต่างๆ กัน

มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดีมุ่ง

หน้ามาสู่ป่า ซึ่งเป็นที่ประชุมแห่งภิกษุทั้ง

ในเวลานั้น พญามารนั้น ไม่ทำให้

ใครเป็นไปในอำนาจของตนได้ เดือดดาล

แล้วกลับ ไป พระศาสดาผู้มีดวงตา ทรง

พิจารณา จนทราบเนื้อความนั้นหมดสิ้น

แล้ว แต่นั้นจึงตรัสเรียกพวกพระสาวกผู้

ยินดีในพระศาสนาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

กองทัพมารมุ่งหน้ามา พวกท่านจงรู้จัก

พวกเขาไว้ ก็ภิกษุเหล่านั้น ฟังพระดำรัส

ของพระพุทธเจ้าแล้ว กองทัพมารหลีกไป

จากพวกพระภิกษุ ผู้ปราศจากราคะแล้ว

ไม่ทำ แม้ขนของพวกท่านให้หวั่นไหวได้

สาวกทั้งหมดของพระองค์ ชนะสงความ

แล้วล่วงความกลัวเสียได้แล้ว เป็นผู้มียศ

ปรากฏแล้ว ในที่ประชุมชน บันเทิงอยู่

กับด้วยพระอริยเจ้าทั้งหลายแล.

จบ มหาสมัยสูตรที่ ๗