ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรม จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ครั้งที่ ๑๒๑
* เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ถ้าท่านผู้ฟังไม่รีบร้อน แล้วก็รู้ว่า กิเลสมีเยอะ แล้วก็จะต้องอาศัยศรัทธา การที่จะต้องฟังธรรมต่อไป แล้วก็เป็นผู้ที่จะขัดเกลา คือเริ่มมีความเห็นถูก แล้วก็ตั้งตนไว้ถูกในจุดประสงค์ของการฟังว่า เพื่อขัดเกลา กิเลส ก็จะมีความใกล้ชิดต่อพระศาสนา เป็นอุบาสก อุบาสิกาที่แท้จริง
* ผู้ที่จะเห็นพระคุณของพระธรรมได้ ต้องเป็นผู้ที่เริ่มศึกษาพระธรรม
* ประโยชน์แท้จริงนั้นอยู่ที่ เมื่อได้เห็นคุณค่าของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วก็คือว่า น้อมประพฤติปฏิบัติ ด้วยตนเองจริงๆ ไม่ใช่คอยแต่ จะให้คนอื่นโกรธน้อยลง หรือว่าให้มีความดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ขณะที่กำลัง พูดถึงความไม่ดีของคนอื่น น้อมธรรมที่ได้ฟังเข้ามาในตนสามารถที่จะระลึกได้ ทันที ว่าจิตที่กำลังกล่าวถึงความไม่ดีของคนอื่นในขณะนั้นเป็น จิตอะไร นี่คือประโยชน์อย่างยิ่ง มิฉะนั้นแล้ว การศึกษาพระอภิธรรมเชี่ยวชาญมาก ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่น้อมพระธรรมนั้นมาประพฤติปฏิบัติจริงๆ แม้ว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกทีละเล็กทีละน้อยในเรื่องลักษณะของจิต หรือในเรื่องประเภทของจิต แต่ก็ให้ทราบจุดประสงค์ว่า เพื่อให้เห็นความ ไม่ใช่เรา หรือว่าไม่ใช่ตัวตน
* จิตเกิดขึ้นเป็นกุศลประเภทหนึ่ง จิตเกิดขึ้นเป็นอกุศลอีกประเภทหนึ่ง จิตเกิดขึ้นเป็นวิบากคือไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศลแต่ว่าเป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นเมื่อกุศลมี เป็นเหตุทำให้เกิดกุศลวิบากซึ่งเป็นจิตประเภทหนึ่ง อกุศลมีเป็นเหตุที่ทำให้เกิดอกุศลวิบากเป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง นี่ก็เริ่มที่จะ เข้าใจชีวิตในวันหนึ่งๆ เพราะเหตุว่าผู้ใดก็ตามที่เริ่มเข้าใจเรื่องกรรมซึ่งเป็นเหตุ และเรื่องวิบากซึ่งเป็นผล ก็จะทำให้สังเกตชีวิตของตัวเองได้ว่า สิ่งที่กำลังทำ ในขณะนี้เห็นเหตุที่จะให้เกิดผลประเภทใดข้างหน้า เพราะฉะนั้น ก็จะทำให้มีสติระลึกได้ ที่จะละเว้นอกุศล
* สภาพธรรมทั้งหลายเกิดแล้วดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เพราะเหตุว่า ไม่ประจักษ์ตามความเป็นจริง จึงมีความยึดถือว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นสิ่ง หนึ่งสิ่งใด การที่จะละกิเลสได้ ต้องเจริญอบรมปัญญาให้รู้แจ้ง ประจักษ์ในลักษณะ ที่ไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมเจริญจนกว่าจะเป็นปัญญาที่คมกล้า
* ความกระวนกระวาย เมื่อไรจะจบสักที ลองคิดดู วันนี้อยากได้อะไร พรุ่งนี้ จะหมดความอยากได้ไหม หรือ ถึงแม้ว่าจะเป็นพรุ่งนี้ก็ยังมีความอยากได้ต่อไป อีกเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกี่ภพกี่ชาติก็ตาม
* พระผู้มีพระภาคทรงเห็นประโยชน์และโทษแม้ของการคบค้าสมาคม เพราะเหตุว่าถ้าท่านได้คบหาผู้ที่เป็นบัณฑิต ท่านก็ย่อมเป็นผู้ที่มีปัญญา เจริญขึ้น แต่ถ้าท่านสมคบกับคนพาล ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน
* เรื่องของการดับกิเลส เป็นเรื่องของปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรม ที่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงอาการปรากฏภายนอก แล้วก็จะมี สันนิษฐานกันไปว่า บุคคลนั้นยังเป็นผู้ที่มีกิเลสอยู่หรือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่ ดับกิเลสหมด เพราะเหตุว่าเรื่องของการรู้สภาพธรรม ไม่ใช่เป็นอาการที่ปรากฏภายนอก
* ควรที่จะได้เข้าใจธรรมตามโอกาส เท่าที่จะเป็นไปได้ คนที่ได้ฟังพระธรรม กับ ไม่ได้ฟังพระธรรม ต่างกัน คนที่ได้ฟังพระธรรม มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ เป็นต้นส่วนคนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ขณะนั้นธรรม ฝ่ายดีเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น
* อกุศลใหญ่ๆ โตๆ ก็มาจากทีละเล็กทีละน้อยนี่เองหิริ โอตตัปปะ คุ้มครองจิตและเจตสิก ไม่ให้ตกไปในทางฝ่ายอกุศล
* ปัญญา สละความเห็นผิดและความไม่รู้
* ธรรม เป็นอนัตตา ต้องไม่ลืม อกุศล มีมาก ดูเหมือนจะละไม่ไหว แต่กำลังของปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ก็จะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายจนกระทั่งสามารถดับจนหมดสิ้นได้ ขณะที่เข้าใจ ย่อมปลอดภัย
* ฟัง ไม่รู้เรื่อง เพราะคิดเรื่องอื่น อย่างนี้ไม่ใช่การฟังด้วยดี หรือ ฟังพระธรรม เพราะอยากได้บุญ นั่นก็ไม่ใช่การฟังด้วยดี เพราะจุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ก็เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น
* อยาก โน่น อยาก นี่ นั่นไม่ใช่เหตุที่จะทำให้เข้าใจความจริง
* ทางลัด คือ ทางกดไม่ใ่ห้ปัญญาเกิดขึ้น
* ช่วยเหลือผู้อื่น ต้องช่วยในทางที่ถูก ไม่ใช่ช่วยในทางที่ผิด
* ความเข้าใจถูก เห็นถูก จะไม่นำไปผิดทาง
* ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนิ่งดูดาย สัตว์โลกก็จะไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเลย ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าอะไรถูก อะไรผิด จะเกื้อกูลให้อกุศลน้อยลง และกุศลเจริญขึ้น
* มีโอกาสทำดี แล้วไม่ได้ทำ ก็เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนใจในภายหลังได้
* ความดีเท่านั้นที่จะทำให้ความชั่วน้อยลง
* ขณะที่กุศลเกิด ย่อมบั่นทอนไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น
* ถูก คือ ถูก ผิด คือ ผิด เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้
* กำลังเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เป็นอกุศล
* จะข้ามพ้นจากความเสื่อมได้ เมื่อได้รับการรักษาจิต ด้วยความเข้าใจพระธรรม การฟังพระธรรมให้เข้าใจ เป็นยารักษาจิตที่ไม่สะอาดให้ค่อยๆ สะอาดขึ้น
* ที่จะเป็นอริยปัญญา (ปัญญาที่ประเสริฐ ที่เป็นวิปัสสนาญาณ และ ปัญญาที่เกิดร่วมกับมรรคจิต) ได้นั้น ก็เพราะมีการอบรมเจริญแล้ว จะขาดการฟังพระธรรม ไม่ได้ ทุกขณะที่ไม่รู้ความจริง หรือ เห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง นั่นแหละ เดือดร้อนแล้วด้วยอกุศลที่เกิดขึ้นเป็นไป กระสับกระส่ายเดือดร้อน เพราะเดินทางผิด ซึ่งเป็นหนทางที่ไม่ทำให้ได้เข้าใจความจริง ขณะที่ฟังพระธรรมแล้วไม่เข้าใจ นั่นไม่ใช่ปัญญา แต่ถ้าเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว แม้จะไม่ใส่ชื่อ ความเป็นจริงของธรรมนี้ ย่อมไม่เปลี่ยน ก็เป็นปัญญานั่นเองที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น
* ถ้ามีจิตอนุเคราะห์ ไม่ว่าเขาจะดีหรือเลว ก็สามารถอนุเคราะห์ได้ เพราะ คนเลววันนี้ อาจจะเป็นคนดีในวันหน้า ก็ได้
คำจริง (วาจาสัจจะ) เป็นคำอนุเคราะห์ให้ความไม่รู้และความเห็นผิด หมดไป
* ชื่อว่า ปัญญาแล้ว ย่อมเข้าใจจริง ถูกต้อง ตรง ไม่ผิด แม้ในขั้นของการฟัง
* เห็น เป็นเห็น จำ เป็น จำ คิดเป็นคิด เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง โดยประการต่างๆ
* ศรัทธาจะเพิ่มขึ้นตามระดับขั้นของปัญญา
* ชอบ กับ ไม่ชอบ ไม่ใช่วิบาก แต่เป็นการสะสมอกุศล
* ๔๕ พรรษา ตลอดระยะเวลาแห่งการประกาศพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำจริงทั้งนั้น ทำให้ผู้ได้ฟังได้ศึกษามีความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น
* ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ให้ไม่รู้
* ถ้าเป็นเพื่อน ก็ต้องให้สิ่งที่ดีกับเพื่อน สิ่งที่ดีที่สุด คือ ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก
* อกุศล เช่น ความโกรธ ความสำคัญตน ความแข่งดี เป็นต้น เกิดขึ้นเป็นไป นั่น ไม่ใช่เพื่อน และไม่เป็นเพื่อนกับคนอื่นด้วยในขณะนั้น
* พระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูก ประโยชน์อยู่ตรงนี้
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๒๐
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
- ถ้าศึกษาเรื่องราวของธรรม โดยไม่รู้ว่าธรรมอยู่ที่ไหน ก็จะไม่เจอธรรมะเลย เพราะว่า เป็นการรู้เรื่องราวเท่านั้น เช่น ถ้าเปิดพระไตรปิฎกไม่ว่าจะเป็นพระสุตตันตปิฎก หรือ พระอภิธรรมปิฎก หรือแม้พระวินัยปิฎกเป็นเรื่องราวทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่าสภาพธรรมอยู่ ตรงไหนแต่ถ้าเข้าใจว่า สภาพธรรมมีอยู่ เกิดปรากฏทุกขณะ ในชีวิตไม่ขาดธรรมะเลย
- ขณะที่เกิดก็เป็นธรรมะที่เกิด ขณะเห็นก็เป็นธรรมะที่เห็น ขณะคิดก็เป็นธรรมะที่คิด ก็จะเข้าใจได้ว่า การศึกษาธรรมะนั้น ไม่ใช่เพียงศึกษาเรื่องราวที่มีปรากฏในหนังสือ ในตำราแต่เป็นการศึกษาเพื่อเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นธรรม แต่อวิชชาไม่สามารถที่จะรู้ได้ อวิชชาไม่สามารถจะเข้าใจได้เลยเพราะว่าอวิชชา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอกุศลเมื่อเกิดขึ้นก็ทำให้ไม่เห็นความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เพราะฉะนั้น เวลาที่ศึกษาธรรมะต้องเข้าใจด้วยว่าศึกษา เพื่ออะไรเพื่อเข้าใจธรรมะตัวจริงๆ ซึ่งเป็นชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะๆ สามารถที่ จะเข้าใจได้
- ปัญญาต้องระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามปกติตาม ความเป็นจริง ต้องทราบว่าขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีตัวตน เป็นแต่เพียงธาตุ เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับๆ แต่ว่าการเกิดดับนั้น รวดเร็วมาก จนกระทั่ง เมื่อไม่ประจักษ์การเกิดดับ ก็มีการจดจำสิ่งที่ปรากฏเหมือนไม่ดับว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่ง ใด เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เป็นโลกียะต้องประจักษ์ความจริงของโลก คือ สภาพ ธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ แล้วดับในขณะนี้ นั่นจึงเป็นปัญญาในพระพุทธศาสนา ซึ่ง เริ่มจากปัญญาขั้นฟัง ตลอด๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงพระธรรมก็เพื่อที่จะให้พุทธบริษัท ได้ฟังพระธรรมที่ทรงตรัสรู้
- พระอภิธรมเป็นคำสอนเกี่ยวกับสภาวธรรมที่มีอยู่จริง หรืออีกนัยหนึ่งคือสัจจธรรม นั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงบำเพ็ญความเพียรอบรมพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อตรัสรู้ สัจจธรรม หรือ ความจริงของสิ่งทั้งปวง
- ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ยังเป็นคนพาลอยู่ แต่หากมีกิเลสแล้วไม่รู้ตัวว่ามีกิเลส ก็จะ เป็นคนพาลโดยแท้ คือ เป็นพาลปุถุชน การที่จะเป็นคนดีได้ ก็ต้องรู้ตนเองตาม ความเป็นจริงด้วยปัญญาก่อนว่า กิเลสของตนเองมีมากแค่ไหน แล้วศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจ สนทนาธรรมกับผู้รู้จึงจะได้ชื่อว่าเป็น กัลยาณปุถุชน แต่ถ้ารู้นิดๆ หน่อยๆ แล้วหลงคิดว่า ตัวเอง เริ่มดีแล้ว ก็ไม่เห็นจะต้องปรับปรุงอะไร ขณะที่คิด อย่างนั้นก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ประมาทในการเจริญกุศล
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอร่วมปันธรรมที่มีความประทับใจจากการฟังธรรม เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมาสักเล็กน้อยดังนี้
- ทุกคนห้ามความคิดไม่ได้เลย แต่ เดือดร้อนเพราะความคิด หรือเปล่า?
- ความลึกซึ้ง รู้ได้ด้วยปัญญาที่ค่อยๆ เจริญขึ้น
- เวลาที่เห็นแล้ว คิดแล้ว เดือดร้อนไหม? เดือดร้อน เพราะไม่รู้ความจริง
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ