โรค หมายถึง สภาพที่เสียดแทง โรคทางกาย เสียดแทงกายให้ได้รับ ความเจ็บปวดทรมาน แต่โรคทางใจ คือ กิเลส เป็นสภาพที่ทำให้จิตเศร้าหมองย่อมเสียดแทงจิตใจของสัตว์ทั้งหลายให้เร่าร้อน และไม่ให้ออกไปจากวัฏฏะ
ซึ่งโรคร้ายที่คิดว่าน่ากลัว โรคร้ายก็มาจาก โรคกิเลส ที่น่ากลัวกว่า เพราะ โรคร้ายที่สมมติเรียกว่า เมอร์ส ก็เพราะ อาศัยอกุศลกรรมที่เคยทำไว้แล้วให้ผล เป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคร้าย และที่มีการทำอกุศกลรรม ก็เพราะมีกิเลสที่เป็นโรคร้ายที่สุด รักษาด้วยยาก็ไม่หายแต่รักษาได้ด้วย ปัญญาเท่านั้น เพราะฉะนั้น โรคกิเลสจึงเป็นโรคที่น่ากลัวและเกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่จะเห็นโทษภัยของกิเลสจริงๆ ก็ต้องด้วยปัญญา ที่รู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นกิเลสที่เกิดในขณะนั้น ครับ
ยารักษาโรคที่ดี และแท้จริง ที่เป็นโรคกิเลส คือ พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเพราะ ทำให้เกิดปัญญา จนสามารถค่อยๆ ละกิเลสได้ แต่ เมื่อไม่ได้ศึกษาพระธรรม ก็จะมีตัวตน จะพยายามหาวิธีละกิเลส แต่ ลืมความเป็นจริงว่า เมื่อยังไม่รู้จักกิเลส จะละกิเลสได้อย่างไร ไม่รู้จักศัตรู จะป้องกันศัตรูได้อย่างไร เพราะฉะนั้น การจะรู้จักกิเลสตามความเป็นจริงต้องด้วยปัญญาอันอาศัยการฟังศึกษาพระธรรมต่อไป และต้องไม่ลืมว่า สะสมกิเลสมามากมายนับไม่ถ้วน เพียงแค่ได้ยินได้ฟังพระธรรมจะละกิเลสได้ทันที เป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น หนทางการอบรมปัญญา จะต้องอย่างยาวนาน และจะต้องละกิเลสเป็นลำดับ ดั่งเช่น การจะถึงการบรรลุธรรม ต้องเป็นไปตามลำดับ คือ เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
การเจ็บป่วยของผู้อื่น จึงเป็นเครื่องเตือน หรือ เรียกว่า เป็นเทวทูต ให้เห็นว่า เป็นเพราะอกุศลกรรมที่ได้ทำ จึงพิจารณาว่าไม่ควรกระทำอกุศล อันเป็นธรรมที่มีโทษ นำมาซึ่งสิ่งที่ไม่ดีทั้งปวง มีความเจ็บป่วย เป็นต้น จึงค่อยๆ เห็นโทษและลดละที่จะทำอกุศลและเห็นประโยชน์ของการเจริญกุศล เพื่อจะสะสมไปในภายภาคหน้า อันจะนำความสุขมาให้ และที่สำคัญปัญญาเท่านั้นที่ประเสริฐสุด จึงควรแบ่งเวลาในการฟังพระธรรมในบางโอกาส ครับที่สำคัญที่สุด โชคดีแล้ว ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา มีโอกาสสนทนาสอบถาม ฟังพระธรรม ก็เป็นขณะที่ประเสริฐแล้ว และ ขณะนี้ ก็ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตที่เหลือ ไม่ว่าจะน้อยหรือมากประการใด ก็ควรทำให้ดีที่สุด คือ สะสมความดีเท่าที่ทำได้ โดยเฉพาะการสนทนา และฟังพระธรรม ครับ
โรคเมอร์สที่คิดว่าร้ายแรง แต่ โรคใจ คือ โรคกิเลสร้ายแรงกว่านั้นหาประมาณไม่ได้ แม้ขณะใจที่กลัวโรคเมอร์ส กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด และ กลัวในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ในสิ่งที่สมมติกันขึ้นเท่านั้น
สาธุ โรค เมอร์ส ถ้าไม่ได้รับเชื้อ ก็ไม่ติดเชื้อโรค แต่อีกหลายๆ โรคที่มีเชื้อติดมาเนิ่นนานหลายอสงขัยหลายๆ แสนกัปป์แล้ว คือ โรค กิเลส ไม่มียารักษานอกจากพระธรรม ระดับปัญญา สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา
โรคร้ายก็มาจากโรคกิเลส ที่น่ากลัวกว่า โรคร้ายต่างๆ ก็เพราะอาศัยอกุศลกรรมที่เคยทำไว้แล้วให้ผล เป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคร้าย
การทำอกุศกลรรม ก็เพราะมีกิเลส จีงเห็นว่าสมุฐานของโรคร้ายที่สุดในสังสารวัฎฎ์ คือ การไม่รู้ความจริง เข้าใจผิดว่า มีสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา จึงมีกิเลส และทำอกุศลกรรมต่างๆ
ยาขนานวิเศษ ขนานเดียวคือ พระธรรม ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และสนทนาธรรม ด้วยความเคารพ และไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟัง ได้ศึกษา ได้สนทนา อบรมเจริญปัญญา ด้วยความเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด ในแต่ละวัน
ขอกราบขอบพระคุณในการชี้แนะและเกื้อกูลค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ ๓๗๓
โรคสูตร (ว่าด้วยโรค ๒ อย่าง)
[๑๕๗] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย โรค ๒ อย่างนี้ โรค ๒ อย่างเป็นไฉน คือโรคกาย ๑ โรคใจ ๑ ปรากฏอยู่ว่า สัตว์ทั้งหลาย ผู้ยืนยันว่าไม่มีโรคทางกายตลอดเวลา ๑ ปีก็มี ยืนยันว่าไม่มีโรคทางกายตลอดเวลา ๒ ปีก็มี ๓ ปีก็มี ๔ ปีก็มี ๕ ปีก็มี ๑๐ ปีก็มี ๒๐ ปีก็มี ๓๐ ปีก็มี ๔๐ ปีก็มี ๕๐ ปีก็มี ๑๐๐ ปีก็มี ยิ่งกว่า ๑๐๐ ปีก็มี แต่ว่าผู้ที่จะยืนยันว่าไม่มีโรคทางใจแม้เพียงเวลาครู่เดียวนั้นหาได้ยากในโลก เว้นแต่พระขีณาสพ.
ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนานที่ผ่านมา เราได้สะสมกิเลสมามาก (กิเลส หมายถึง เครื่องเศร้าหมองของจิต) กิเลสเป็นนามธรรม เป็นอกุศลเจตสิกเกิดร่วมกับอกุศลจิต เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป แต่ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะไม่หายไปไหน โกรธขณะนี้มาจากไหน ถ้าไม่เคยสะสมความโกรธมา ความติดข้องในขณะนี้มาจากไหน ถ้าไม่เคยได้สะสมความติดข้องมา นี่คือความเป็นจริง, กิเลสเป็นสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เมื่อสะสมกิเลสมามาก กิเลสจึงเกิดมากเป็นธรรมดา ซึ่งจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวัน ในวันหนึ่งๆ แม้ว่าจะได้พบพระพุทธศาสนาได้ฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว แต่เมื่อเทียบกันระหว่างฟังพระธรรมกับฟังเรื่องอื่นๆ แล้ว ก็จะเห็นได้ว่าฟังเรื่องๆ อื่นมากกว่าฟังพระธรรม นี่เป็นความจริง ส่วนมากมักไหลไปด้วยอำนาจของกิเลสประการต่างๆ ธรรมฝ่ายดี อันได้แก่ปัญญาจึงมีน้อย และเจริญช้ามาก
ดังนั้น เมื่อปัญญายังน้อยจึงไม่มีกำลังที่จะกำจัดหรือดับกิเลสได้กิเลสจึงเกิดบ่อยมากในชีวิตประจำวัน ทั้งโลภะ ความติดข้องต้องการ โทสะ ความโกรธความขุ่นเคืองใจ โมหะความหลงความไม่รู้ อิสสา ความริษยา มัจฉริยะ ความตระหนี่ เป็นต้น จึงเต็มไปด้วยโรคทางใจ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้ผู้ฟังผู้ศึกษารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง การศึกษาพระธรรมนี้เอง เป็นหนทางเพื่อการดับกิเลสดับอกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้นในเบื้องต้นเมื่อปัญญายังไม่เพียงพอย่อมดับกิเลสไม่ได้ แต่เมื่อค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ก็ย่อมจะไม่เดือดร้อนกับกิเลสที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม เพราะกิเลสที่มีมากต้องอาศัยปัญญาเท่านั้น จึงจะดับให้หมดสิ้นได้ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ความจริงเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
สาธุค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ทำดี และ ศึกษาพระธรรม
สาธุ อนุโมทนา และ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ