สนใจธาตุรู้บ้างหรือเปล่า!!!!!
โดย nattawan  8 ส.ค. 2566
หัวข้อหมายเลข 46366

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สนทนาปัญหาธรรม อัง. 8 ส.ค. 66

อะไรก็ตามที่ปรากฏ ต้องมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น เมื่อธาตุรู้กำลังปรากฏ สิ่งอื่นๆ จะปรากฏไม่ได้

คิดว่าเห็นพัดลม ... พัดลมปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น ต้องมีธาตุรู้ที่จำว่าเป็นพัดลมและมีธาตุคิดที่คิดถึงพัดลมถ้าไม่มีธาตุรู้จะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ปรากฏๆ เพราะอะไร จึงสามารถเข้าใจสิ่งที่ปรากฏตรงตามความเป็นจริงได้

ธาตุรู้ถูกปกปิดด้วยสิ่งต่างๆ เช่น คน เก้าอี้ พัดลม ... เลยไม่ได้สนใจธาตุรู้

แต่ละคำต้องไตร่ตรอง มีสิ่งที่ถูกเห็น ธาตุรู้มีจริงไหม ... ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏด้วย สนใจธาตุรู้บ้างหรือเปล่า!!!!!

ยิ่งฟังธรรม ยิ่งเห็นความลึกซึ้ง ยิ่งเห็นคุณของพระพุทธเจ้า ขณะนี้แหละกำลังค่อยๆ เข้าใจเมื่อไหร่ ค่อยๆ ละความไม่รู้ ละความติดข้องและละความเป็นเรา ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงจะไม่มีใครรู้ว่า ถ้าไม่มีธาตุรู้ ... สิ่งต่างๆ ไม่ปรากฏ

ไปปฏิบัติอะไรไปทำไม ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ แล้วจะไปเข้าใจอะไร ถ้ารู้ความจริงจะละความหวัง เป็นปัญญาที่รู้ความลึกซึ้งถึงจะรู้ธรรมะที่ปรากฏตามความเป็นจริงได้ (ที่ถูกปกปิดไว้ด้วยอวิชชา ความไม่รู้ปกปิดสนิทมากโดยเฉพาะธาตุรู้)

พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงแสดงธาตุรู้ที่หลากหลาย สิ่งที่ปรากฏให้เห็นแต่ละอย่างไม่ใช่ธาตุรู้ แต่ปรากฏรวดเร็วมากและดับไป ไม่ใช่ใครไปทำอะไรให้รู้อะไรก็ไม่รู้

ธรรมะทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด

ธาตุรู้มีไม่ขาด อวิชชาปกปิดมากมายจริงๆ เพราะธาตุรู้มีตลอดเวลา

"ลักขณาทิจตุกะ"ของจิต
วิชานนลกฺขณํ มีการรู้อารมณ์ เป็นลักษณะ
ปุพฺพงฺคทรสํ มีการเป็นประธานในธรรมทั้งปวง เป็นกิจ (เป็นประธานในการรู้อารมณ์)
สนฺธานปจฺจุปฏฺฐานํ มีการเกิดสืบเนื่องกันไม่ขาดสาย เป็นอาการปรากฏ
นามรูปปทฏฺฐานํ มีนาม-รูป เป็นเหตุใกล้ให้เกิด"

เราติดคำบาลีเวลาศึกษาธรรมะ โมหะคือการไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะคิดคำโมหะ จะไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่มีใครรู้เพราะคิดว่ารู้หมด รู้คิด รู้สิ่งที่ปรากฏ แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่รู้คำ ... คิดคำเพราะความไม่รู้ ... ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เกิดตามเหตุปัจจัยก็ไม่รู้เลย เริ่มเข้าใจว่าอยู่ในโลกของความไม่รู้ ยิ่งฟังยิ่งรู้ว่าอยู่ในโลกของความไม่รู้ ... ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง เข้าใจธรรมะในภาษาของตน ... ไม่ใช่คำบาลี

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาคณะวิทยากร

ยินดียิ่งในความดีของทุกท่านค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย nattawan  วันที่ 8 ส.ค. 2566

ทุกคำที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นคำจริงเป็นสัจจญาณ ฟังทุกชาติเพื่อเข้าใจความจริง เพื่อละความไม่รู้ตามลำดับขั้น แม้ขั้นฟังก็ต้องรอบรู้ในภาษาของตนๆ ไม่ต้องคิดถึงคำที่ไม่รู้จัก แต่ค่อยๆ เข้าใจ พิจารณา ไตร่ตรองแต่ละคำ ฟังให้ละเอียด ลึกซึ้ง มั่นคง จนสามารถรู้สิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงว่ารู้หรือไม่รู้มากแค่ไหน

ถ้าไม่มีธาตุรู้ (ธาตุคือสิ่งที่มีจริง เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ทุกคนก็รู้ว่าหมายถึงอะไร) แต่พระพุทธเจ้าก็ยังทรงแสดงให้รู้ว่า กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ ต้องรู้อริยสัจ 4 ครบทั้ง 3 รอบ : ปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิเวธ

กว่าจะรอบรู้ได้ต้องตรง รู้ว่าจิตคืออะไร!! ปรากฏหรือยัง!! ปรากฏตรงตามความเป็นจริงหรือยัง!! นี่คือคุณของพระพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงธรรมถึง 45 พรรษา เพื่อให้เรารู้ความจริง ประจักษ์แจ้งความจริง เพราะความไม่รู้เหมือนเขาสูงใหญ่ปกปิดความจริง ... ฟังเท่าไหร่ ... เข้าใจแค่ไหน!!!

ถ้ามีอกุศลทั้งวันไม่เข้าใจความจริงเลย ถ้าฟังธรรมแต่ละน้อย เป็นหนทางเดียวที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เพื่อประจักษ์แจ้งความจริง ... ไม่ใช่แค่ฟัง (มรรค 8 คือหนทางที่รู้ความจริงของสิ่งที่มีถูกต้องตามความเป็นจริง)

ปัญญานำไปสู่ความอดทนเพื่อละความไม่รู้ ธรรมะลึกซึ้งอย่างยิ่งจึงทรงแสดงธรรม 45 พรรษา ฟังและค่อยๆ เข้าใจขึ้น ... ที่ไม่เคยเข้าใจเลยในสังสารวัฏฏ์ อวิชชามากมายมหาศาล ต้องความเห็นถูกเท่านั้นที่จะค่อยๆ ขูดความไม่รู้ออก

ทุกคำเป็นธรรมะทั้งหมด ... ไม่ใช่ชื่อ

เริ่มเห็นความไม่ละเอียดของการฟังสิ่งที่มีจริงที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จิตรู้แจ้งเป็นลักษณะ แล้วลักษณะที่รู้แจ้งปรากฏหรือยัง!! ยัง!! ฟังหมด จำหมด รู้หมด แต่จิตไม่ปรากฏทั้งๆ ที่กำลังเกิดทำกิจรู้แจ้งขณะนั้น ท่องแต่จิตรู้แจ้งเป็นลักษณะ ... จึงไม่รู้จักจิต

เผินมากเป็นลักษณะที่รู้แจ้งยังไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จำชื่อ จำเรื่อง จะรู้จักจิตได้ 4 อย่าง คือ ลักษณะ กิจ อาการปรากฏ และเหตุใกล้ให้เกิด

จิตไม่ปรากฏจะรู้แจ้งได้อย่างไร

พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีนานเท่าไรจึงทรงรู้ลักษณะของสิ่งต่างๆ ตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น พระธรรมงามในขั้นต้น ท่ามกลางและในที่สุด

ต้องไตร่ตรองทุกคำด้วยความเคารพสูงสุดในสิ่งที่พระองค์ทรงประจักษ์แจ้ง

รู้จักพระพุทธเจ้าแค่ไหน!!! รู้จักพระคุณที่ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ... รู้จักบ้างไหม!!!!!

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย nattawan  วันที่ 8 ส.ค. 2566

ธรรมะทั้งปวงลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเราไม่รู้ที่ปรากฏตามความเป็นจริง

แข็งปรากฏๆ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดใช่ไหม!!! ใช่!!! เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยตลอดใช่ไหม!!! มีจริงเกิดดับก็ไม่รู้ ... ลึกซึ้ง ทรงแสดงธรรมตามลำดับของสิ่งนั้น ... ปรากฏตามความเป็นจริงหรือเปล่า!!! ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เป็นธรรมไม่ใช่เรา ถ้าไม่ฟังธรรม ไม่ไตร่ตรอง ไม่สามารถเข้าใจได้ ทั้งหมดเป็นวิริยรัมภกถาหรือเปล่า!!! ทรงแสดงความจริงของแต่ละหนึ่ง ฟังแล้วเป็นอย่างไร!!! ความจริงรู้ได้ยากยิ่ง!!! อดทน ... ฟังต่อไป ... ไม่ไปทำอื่นๆ ... เป็นอกุศลให้ไม่รู้เหมือนเดิม แล้วจะรู้จักพระพุทธเจ้าหรือ!!! พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ไม่ใช่แค่คิด ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เกิดเพราะเหตุปัจจัย ใครจะทำอะไรได้ ไม่ไปทำอะไรที่ไร้เหตุผล ไม่ใช่คำของพระองค์

สิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ... เดี๋ยวนี้ไม่รู้ ... แต่เดี๋ยวนี้มีอะไร ... ค่อยๆ รู้ขึ้น ... รู้สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งและต้องไตร่ตรอง (ตามความเข้าใจนิดๆ หน่อยๆ ของเรา)

ฟังธรรมะ ฟังไว้ๆ ฟังดีๆ ทุกๆ คำ ละเอียดขึ้นๆ ไตร่ตรอง มั่นคง จำไว้ๆ เพื่อไม่ลืม

ธรรมะเกิดดับรวดเร็วจึงไม่รู้ หนทางรู้คือเป็นแต่ละหนึ่งรวมกับขณะอื่นไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้ความต่างของธรรมแต่ละหนึ่ง จะไม่สามารถแยกธรรมแต่ละหนึ่งขาดจากกันได้เลย จะได้รู้ว่าไม่มีเรา ... เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

เคารพพระพุทธเจ้าสูงสุดคือฟังธรรมด้วยความเคารพและไตร่ตรองตรงตามที่ได้ฟัง ไม่ว่าจะเกิดกี่ชาติ ไม่รู้เลยจนกว่าจะได้ฟังคำของพระองค์ ฟังจนค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าจริงตามที่ได้ฟังหรือไม่ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้อะไรปรากฏ!!! เสียงปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุรู้เสียงๆ จะปรากฏได้ไหม!!! ไม่ได้!!! ธาตุรู้เสียงไม่ใช่เสียง แต่ไม่เคยคิดถึงธาตุรู้ คิดแต่ว่าเป็นเสียงอะไร ... แม้ไม่รู้ก็คิดว่าคือเสียงอะไร!!!

พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงได้ แต่ต้องบำเพ็ญบารมีนานเท่าไร จนกว่าโลกจะปรากฏตามความเป็นจริง ที่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ค่อยๆ จางลง ให้ความจริงค่อยๆ ปรากฏตามลำดับ ... อดทนไหม!!! ตรงแค่ไหน สัจจบารมี ตรงแค่ไหนถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย nattawan  วันที่ 8 ส.ค. 2566

ยากจริงๆ จึงจะเป็นปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ยากจะละความหวังได้หรือ!!!

ค่อยๆ เข้าใจเพราะอยู่ในโลกของความไม่รู้มาแสนนาน

ถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงในปริยัติ (ขั้นฟัง) จะเข้าใจคำของพระองค์ได้อย่างไร!!! อดทนได้ไหมที่จะรู้ธรรมตามความเป็นจริงตรงตามที่กำลังปรากฏ!!!!!

ขั้นฟังไม่สามารถละความเป็นเราได้ ขณะกำลังคิดก็เรา เป็นเราทั้งหมดขณะที่ไม่รู้ความจริง หนทางละความเห็นผิดว่าเป็นเรา คือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏถูกต้องตรงตามความเป็นจริง รู้คำรู้เรื่องแต่ไม่รู้ตรงลักษณะตามที่ได้ฟังจริงๆ

เดี๋ยวนี้เพียงแค่แข็ง!! ไม่เคยรู้ว่าลักษณะแข็งเปลี่ยนไม่ได้!! ทั้งๆ ที่รู้ว่าแข็งไม่ใช่เรา!!! เพราะคิดเรื่องอื่นยังไม่รู้ตรงลักษณะแข็งว่ามีจริง เกิดและดับด้วย เป็นอนัตตา ถ้าไม่ปรากฏจะหมดความสงสัยในความไม่ใช่เราไม่ได้!!!!! คำของพระพุทธเจ้าให้รู้ความจริงตามลำดับ ขั้นฟัง ... ฟังทุกคำให้เข้าใจความจริงที่แสนสั้น เกิดเพราะเหตุปัจจัย คิดตรงลักษณะยังไม่พอ!!! ต้องเข้าใจถูกต้องในชีวิตประจำวัน เริ่มรู้จักพระองค์ พระคุณมหาศาล อยู่ในโลกมืดสนิท เมื่อฟังคำของพระองค์เข้าใจว่าเมื่อธรรมะปรากฏ ไม่ปรากฏตามความเป็นจริงเพราะรวมกันหมด

ฟังธรรมบ่อยๆ สนทนาธรรมบ่อยๆ เข้าใจบ่อยๆ จะเป็นเหตุให้ระลึกตรงลักษณะได้แล้วแต่ตามการสะสม ค่อยๆ รู้ตรงตามความเป็นจริงเป็นสัจจบารมี อธิษฐานบารมี ไม่ต้องไปทำบารมี แต่รู้ใช่ไหมความหมายบารมีแค่ไหน!! ฟังบ่อยๆ เข้าใจบ่อยๆ จนคุ้นเคย เข้าใจตามลำดับขั้น มั่นคงว่านี่เป็นหนทางเดียว จึงจะประจักษ์แจ้งในสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงเพราะได้ทรงตรัสรู้แล้ว

เห็นประโยชน์ของปัญญา (ความเข้าใจ) มิเช่นนั้นกิเลสก็พาไปทำผิดทาง ปัญญาต้องคมขึ้น ละเอียดขึ้น รอบคอบขึ้น ทั่วขึ้น ถ้ายังมีความไม่รู้อยู่และยังไม่เข้าใจจริงๆ ก็มีเหตุที่จะทำให้ประพฤติผิดไป

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย nattawan  วันที่ 8 ส.ค. 2566

ปัญญารู้ได้ว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา

ถ้าไม่รู้ความจริงจะละความเป็นเราและความติดข้องได้หรือ!!!!! ค่อยๆ ละทีละเล็กทีละน้อยๆ!!!!! ละความหวัง!!!!!

ท่านอาจารย์สุจินต์เป็นผู้เอื้อเฟื้อนำทางศิษย์ให้พ้นกับดัก แล้วชี้แสดงหนทางให้ไม่ตกกับดักอีก เป็นกัลยาณมิตร ไม่หวังร้ายเลย แต่ให้เข้าใจถูก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป

สภาพรู้ ธาตุรู้ คือจิตและเจตสิก นามะคือนามธรรม คำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ขันธ์ 4 ชื่อว่านามะ คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (จิต) มุ่งเฉพาะต่ออารมณ์ นามธรรมทั้งหมดชื่อนามะด้วยอรรถว่าน้อมไป เพราะขันธ์ 4 ย่อมยังกันและกันให้น้อมไปในอารมณ์ (อรรถสาลินี อรรถกถาพระอภิธรรมปิฏกธัมมสังคณี)

ทั้งจิตและเจตสิกและอารมณ์ยังไม่ปรากฏกับปัญญา ห่างไกลกับปัญญาที่ค่อยๆ รู้ขึ้น เจริญขึ้น ยิ่งรู้ว่าห่างไกลก็ยิ่งละความหวัง ทรงแสดงความต่างของธาตุรู้แต่ละหนึ่ง มิเช่นนั้นไม่สามารถรู้ได้ จิตต่างกับเจตสิกเพราะจิตเป็นจิต ต่างกับเจตสิกต่างๆ

พระพุทธเจ้าตรัสว่าจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ... ต้องต่างจากธาตุอื่นใช่ไหม!!! จิตไม่ว่าเกิดเมื่อไหร่ทำหน้าที่เดียว แต่เจตสิกไม่ได้เป็นใหญ่ในการรู้แจ้งอารมณ์ ฟังต่อไปในความละเอียดลึกซึ้ง ให้รู้ว่าไหนจิต ... เจตสิก ... อารมณ์ ยังไม่รู้แล้วจะไปไหน!!! เพราะรู้ความจริงตรงนี้จึงสามารถเข้าใจถูกตรงตามความเป็นจริงมากขึ้นได้

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย เมตตา  วันที่ 8 ส.ค. 2566

ขอบพระคุณ และยินดีในความดีของคุณณัฐวรรณ ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 5 ก.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ