[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 544
๑๐. เปมสูตร
ว่าด้วยธรรมชาติ ๔ ประการ
[๒๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ ๔ ประการนี้ย่อมเกิด ๔ ประการเป็นไฉน คือ ความรักย่อมเกิดเพราะความรัก ๑ โทสะย่อมเกิดเพราะความรัก ๑ ความรักย่อมเกิดเพราะโทสะ ๑ โทสะย่อมเกิดเพราะโทสะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความรักย่อมเกิดเพราะความรักอย่างไร บุคคลในโลกนี้เป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของบุคคลคนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลที่รักนั้น ด้วยอาการที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เขาย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นมาประพฤติต่อบุคคลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของเราด้วยอาการอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เขาย่อมเกิดความรักในคนเหล่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรักย่อมเกิดเพราะความรักอย่างนี้แล
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็โทสะย่อมเกิดเพราะความรักอย่างไร บุคคลในโลกนี้เป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของบุคคลคนอื่น มาประพฤติต่อบุคคลนั้นด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ บุคคลนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นมาประพฤติต่อบุคคลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของเราด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เขาย่อมเกิดโทสะในคนเหล่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทสะย่อมเกิดเพราะความรักอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความรักย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างไร บุคคลในโลกนี้ไม่เป็นที่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจของบุคคล คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ บุคคลนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจของเรา ด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เขาย่อมเกิดความรักใคร่ในคนเหล่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรักย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็โทสะย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างไร บุคคลในโลกนี้ไม่เป็นที่น่าปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจของบุคคล คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ บุคคลนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นๆ มาประพฤติต่อคนที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจของเรา ด้วยอาการอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เขาย่อมเกิดโทสะในบุคคลเหล่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทสะย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิด.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสงัดจากกาม ฯลฯ เข้าปฐมฌานอยู่สมัยนั้น แม้ความรักที่เกิดเพราะความรัก ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้โทสะที่เกิดเพราะความรัก ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้ความรักที่เกิดเพราะโทสะ ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้โทสะที่เกิดเพราะโทสะ ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเข้าทุติยฌาน ฯลฯ ตติยฌาน ฯลฯ จตุตถฌาน สมัยนั้น แม้ความรักที่เกิดเพราะความรัก ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้โทสะที่บังเกิดเพราะความรัก ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้ความรักที่เกิดเพราะโทสะย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ สมัยนั้น แม้ความรักที่เกิดเพราะความรัก เป็นธรรมชาติอันภิกษุนั้นละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำให้ไม่ให้มี ไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา แม้โทสะที่เกิดเพราะความรัก.. . แม้ความรักที่เกิดเพราะโทสะ ... แม้โทสะที่เกิดเพราะโทสะ เป็นธรรมชาติอันภิกษุนั้นละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำให้ไม่ให้มี ไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุนี้เราเรียกว่าไม่ยึดถือ ไม่โต้ตอบ ไม่บังหวนควัน ไม่ลุกโพลง ไม่ถูกไฟไหม้.
สรุป
1. ความรักเกิดเพราะความรัก เช่น ถ้าเรามีลูก แล้วเขาดีกับลูกเรา เราก็รักคนนั้นด้วย
2. โทสะเกิดเพราะความรัก คือ เรารักลูก มีคนมาทำไม่ดีกับลูกเรา เราก็ไม่ชอบคนนั้น
3. ความรักเกิดเพราะโทสะ คือ เราไม่ชอบใคร มีคนทำไม่ดีกับคนที่เราไม่ชอบ เราก็ชอบคนนั้นด้วย
4. โทสะเกิดเพราะโทสะ คือ เราไม่ชอบใคร แล้วมีคนมาทำดีกับคนที่เราไม่ชอบ เราก็ไม่ชอบคนนั้นด้วย
สำหรับพระอรหันต์ ท่านตัดความรัก ความชัง และดับกิเลสได้หมดแล้วค่ะ
ขออนุโมทนา พระธรรมบทนี้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมากจริงๆ ครับ สมบูรณ์โดยพยัญชนะและอรรถะ จึงไม่จำเป็นต้องจะสรุปให้ย่นย่อหรือเพิ่มเติม ความคิดเห็นใดๆ เลย
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 453
ความรักนั้นย่อมเกิด เพราะอาศัยเหตุ ๒
ความรักนั้นย่อมเกิด เพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการอย่างนี้ คือ เพราะการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑ เพราะการเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ๑ เปรียบเหมือนดอกบัวเกิดในน้ำได้ (เพราะอาศัยเปือกตมและน้ำ) ฉะนั้น"
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดในข้อความที่ผมโพสต์นะครับ ผมโพสต์ตอนที่ยังไม่เห็นข้อความคุณ wannee.s เลยไม่รู้ว่าคุณ wannee.s จะแสดงความคิดเห็นให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านอีกทีหนึ่ง
ถ้าอย่างไรขออภัยก่อนนะครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบูชาคุณพระรัตนตรัย
ถึงอย่างไรทุกคนก็ต้องการความรัก (โลภะ) แต่ขอให้รักให้เป็น ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงและเป็นธรรมนะคะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ให้เขาเมตตาดีกว่าให้เขารักค่ะ เพราะความรักนำมาซึ่งทุกข์ ถ้าเป็นเมตตา คือความรู้สึกที่หวังดี เกื้อกูล เป็นมิตร ให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่ผูกพันและไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ทุกคนต้องการความรักเท่าเทียมกันหมด แต่ทุกคนไม่ใช่จะได้รับเท่ากันหมด เช่นดิฉัน
ผู้ที่ไม่มีความรัก คือ พระอรหันต์ ค่ะ คือพ้นจากความรัก โลภ โกรธ หลง ตัดกิเลสถอดรากถอนโคนหมดแล้ว ถ้ายังเป็นปุถุชนทั่วไป คงหนีไม่พ้นเรื่องความรัก รักพ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา รักลูก รักเพื่อน สารพันจะรัก
รักที่ไม่มีผู้ใดเทียมคือ พระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงโลกทั้ง ๖ ให้ผู้มีปัญญาได้เข้าใจ และผู้ไม่มีปัญญาได้สั่งสมอุปนิสัยต่อไป
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 04472 ความคิดเห็นที่ 16 โดย oom
ผู้ที่ไม่มีความรัก คือ พระอรหันต์ ค่ะ คือพ้นจากความรัก โลภ โกรธ หลง ตัดกิเลสถอดรากถอนโคนหมดแล้ว ถ้ายังเป็นปุถุชนทั่วไป คงหนีไม่พ้นเรื่องความรัก รักพ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา รักลูก รักเพื่อน สารพันจะรัก
อนุโมทนาค่ะ
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 04472 ความคิดเห็นที่ 13 โดย wannee.s
ให้เขาเมตตาดีกว่าให้เขารักค่ะ เพราะความรักนำมาซึ่งทุกข์ ถ้าเป็นเมตตา คือความรู้สึกที่หวังดี เกื้อกูล เป็นมิตร ให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่ผูกพันและไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
อนุโมทนาค่ะ
เรียนถาม อ. ประเชิญ ในพระพุทธศาสนา มีคำว่าความรักด้วยหรือ คำว่าความรัก นั้น ดิฉันเข้าใจว่าเกิดจากโมหะ ทั้งนั้นผู้ที่ตัดขาดจากโลก คืออริยะบุคคล ต้องตัดขาดจากความรักโดยเด็ดขาดใช่ไหมคะ
อนุโมทนา
เรียน ความเห็นที่ 20
คำว่า ความรัก ในพระสูตรนี้ หมายถึง โลภะ ผู้ที่ละ โลภะ ได้แล้วคือ พระอริยบุคคลขั้นพระอรหันต์ ครับ
อ. ประเชิญ
ขออนุโมทนาสาธุค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
พระไตรปิฎก
ฟังธรรม
วีดีโอ
ซีดี
หนังสือ
กระดานสนทนา