ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ผู้ฟัง อาจารย์ครับ ขณะที่อาจารย์อ่านหนังสือธรรมหรือขณะที่กำลังพูด อาจารย์ตั้งสติไว้ที่ไหน ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่มีตัวตนที่จะตั้งเลยค่ะ สติเป็น อนัตตา ขณะใดสติเกิด รู้ว่า ขณะนั้นต่างกับหลงลืมสติ
ผู้ฟัง ขณะที่เราอ่านหนังสือไป ถ้าเกิดเราไม่มีสติ เราก็ไม่เข้าใจในเรื่องที่เราอ่าน
ท่านอาจารย์ มิได้ค่ะ เวลาที่อ่านหนังสือ เป็นกุศลจิต หรือ เป็นอกุศลจิต
ผู้ฟัง เป็นกุศล ครับ เพราะเป็นหนังสือธรรม
ท่านอาจารย์ อ่านหนังสือธรรมค่ะ เป็นกุศลจิต อย่างคำว่า พาราณสี เป็นกุศลจิตหรือ อกุศลจิต
ผู้ฟัง ผมไม่ทราบว่าเป็นกุศล หรือ อกุศล เพราะว่าก็อ่านไปอย่างนั้นเอง
ท่านอาจารย์ นี่เรื่องไม่ทราบ ใช่ไหมคะ ก็เป็นเรื่อง อหิริกะ เพราะว่า ไม่ทราบ ถัาทราบจึงจะเป็น หิริ คือ กุศลจิต นะคะ เพราะฉะนั้นเรื่องไม่ทราบนี่ก็เป็นเรื่องไม่รู้จริงๆ ว่าในวันหนึ่งๆ นี้ที่เรียกว่า "โลก" หรือว่าตัวเรา" ในขณะนี้นั้น ก็ไม่พ้นจากทางตาที่เห็น.....ทางกายที่ถูกต้อง ทางใจที่คิดนึก เพราะฉะนั้นทันที ที่เห็น ทางตานี้มีโลกปรากฏไหมคะ ทางตา
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ แต่ตามความจริงแล้ว สี่งที่ปรากฏทางตา เป็นของจริงอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญา จะรู้ได้จริง ด้วย หิริ และ โอตตัปปะว่า ในขณะนั้น สี่งที่ปรากฏทางตา เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง แล้ว ต่อจากนั้น เป็นความคิดทั้งหมด เรื่องสี่งที่ปรากฏทางตา และ โลกนี่เฉพาะทางตา เช่นในขณะที่อ่านหนังสือ เหมือนกับมีเรา แล้วก็มีโลก ใช่ไหมคะ แต่ว่าตามความเป็นจริง ที่เกิดหิริ โอตตัปปะ สติและ สัทธาและ ปัญญา พิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น จะรู้ได้ว่าสี่งที่ปรากฏทางตา จะไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเลย เมื่อไรก็เมื่อนั้น สี่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏอย่างนี้ วันนี้จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ก็เป็นสี่งทีปรากฏทางตา พรุ่งนี้จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ก็เป็นสี่งที่ปรากฏทางตา กลับไปรับประทานอาหาร ลืมตาเมื่อไร ก็มีสี่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น สี่งที่ปรากฏทางตา ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเลย แต่ความคิดหลังจากที่เห็นแล้วนี้เปลี่ยนตลอด เพราะฉะนั้น จะเห็นได้นะคะว่า สี่งที่ปรากฏทางตา เป็นเพียงสี่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่า โลกของความคิดของเรากว้างใหญ่กว่ามาก เกิดจากสี่งที่ปรากฏทางตา เมื่อไม่รู้ความจริง แต่ถ้ารู้ความจริงขณะใด โลกก็คือ สี่งที่ปรากฏทางตา และ ความคิดนึกเรื่องสี่งที่ปรากฏ ทางตาที่เห็น เท่านั้นเองค่ะ
เพราะฉะนั้นจะบอกว่า สติตั้งที่ไหน ในขณะที่อ่านหนังสือ ไม่ใช่มีกฏเกณฑ์นะคะ แต่ต้องเป็นการฟังเรื่องของสภาพธรรม จนกว่าจะเข้าใจจริงๆ แล้วสัมมาสติจึงจะระลึกได้ถูกต้อง แล้วค่อยๆ น้อมไปพิจารณาว่า เป็นความจริงอย่างนี้ไหม ที่คิดว่าอยู่ในโลกกว้างใหญ่่มีหลายคน ความจริงคนเดียว จิตขณะเดียว เกิดขึ้นรู้อารมณ์ ทางตาแล้วดับไป หลังจากนั้นจิตทางใจเกิดขึ้นคิดนึกเรื่องสี่งที่เห็นทางตามากมายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะฉะนั้นทุกคนนี้ ไม่ได้อยู่กับคนอื่นเลย ตามความเป็นจริงแล้ว อยู่กับ สี่งที่ปรากฏ ทางตา และ ความคิดกับ เสียง ที่ปรากฏ ทางหู และ ความคิด กับ กลี่นที่ปรากฏ ทางจมูก และ ความคิด กับ รสต่างๆ ที่ปรากฏ ทางลิ้น และ ความคิด กับ สี่งที่กระทบสัมผัส ทางกาย และ ความคิด
และแม้ไม่มีสี่งต่างๆ เหล่านี้ ใจก็ยังคิดถึงรูปเสียง.....พะ ที่เคยเห็น เพราะฉะนั้นทุกคนอยู่ในโลกของตัวเอง เป็นโลกเล็กๆ แต่ว่าในความรู้สึกเหมือนกับว่ามีสี่งต่างๆ มากมาย เป็นโลกที่กว้างขวาง แต่ความจริงก็คือขณะจิตเดียว
ผู้ฟัง ความคิดนี้ก็มีอยู่ตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ หลังจากเห็นแล้วก็คิดได้ หรือแม้ไม่คิด ก็คิดถึงเรื่องที่เคยเห็นได้ เพราะฉะนั้นนี่คือ โลกตามความเป็นจริงที่จะต้องเข้าใจ ที่บอกว่าสติตั้งที่ตรงไหน ในขณะที่อ่าน คือในขณะทีเห็นเหมือนกันค่ะ แทนที่จะเห็นเป็น ก ข ก็เห็นเป็นแส้นต่างๆ แล้วก็คิดไป ในหนังสือที่อ่าน มีชื่อของคนต่างๆ ใช่ไหมคะ ในขณะที่เห็นก็มี่เส้นต่างๆ ที่จะทำให้นึกถึงชื่อต่างๆ แต่ว่าไม่ได้อยู่ในกระดาษเท่านั้นเอง แต่ก็เป็นเพียงเมื่อเห็นแล้ว ทางใจก็คิดตามสี่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น ในโลกของแต่ละคนจะเป็นกุศล หรือป็นอกุศล ไม่เกี่ยวข้องกันคนอื่นเลยจะได้ผลของกุศล จะได้ผลของอกุศลกรรรม ก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตามความคิดของแต่ละคน จะคิดว่าคนนั้นจะติเตียน จะคิดว่าคนอื่นจะเกลียด จะคิดว่าคนอื่นจะรัก ก็คือความคิดของตนเอง ในเมื่อสี่งที่ปรากฏทางตาก็ดับไป ทุกสี่งทุกอย่างที่ปรากฏจะไม่กลับมาอีกเลย แม้แต่ สี ที่ปรากฏ ทางตา ที่ดับเร็ว หรือ เสียง ที่ปรากฏทาง หู ที่ดับไปแล้ว ก็จะไม่กลับมาอีกเลย แต่ว่า ความคิดเรื่องสี เรื่องเสียง...เรื่องโผฏฐัพพะ เรื่องสีต่างๆ มากมายในโลก อยู่กับคนมากมายในโลก แต่ตามความเป็นจริงแล้ว อยู่คนเดียว และไม่ใช่ สัตว์ บุคคลด้วย เพียงชั่วขณะจิต แล้วก็คิด
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ทีจะไปตั้งสตินี้เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าปัญญาไม่เกิด ไม่รู้ชัดในลักกษณะของสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง จะคิดถึงใคร ก็ไม่ใช่จะมีคนนั้นจริงๆ ค่ะ เป็นความคิด เป็นจิตที่เกิดคิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง แล้วถ้าเป็นสี่งทีปรากฏทางตา ก็เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นในห้องนี้ จะอ่านหนังสือหรือไม่อ่านหนังสือ สี่งที่ปรากฏทางตาจะไม่เปลี่ยนแปลงแต่ความคิดเปลี่ยน
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณมากค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
เพราะฉะนั้นในโลกของแต่ละคนจะเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล ไม่เกี่ยวข้องกันคนอื่นเลย จะได้ผลของกุศล จะได้ผลของอกุศลกรรรม ก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตามความคิดของแต่ละคน
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณและอนุโมทนาทุกท่านครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ