ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๘
โดย khampan.a  27 ต.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 48784

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๘




~ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะเห็นคุณค่ามหาศาลของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สามารถขจัดความไม่รู้และโทษต่างๆ ทีละเล็กทีละน้อยออกไป จนกว่าจะดับสนิทตามลำดับขั้น ไม่มีโทษใดๆ เกิดอีกเลย
~ ฟังพระธรรมเพื่อขัดเกลากิเลสทุกประการ เพื่อรู้ความจริง เพราะว่าไม่เคยรู้ความจริงเลย มีแต่ความไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง มีแต่ความเห็นผิด มีแต่ความรักตน มีแต่การทำทุกอย่างเพื่อตนซึ่งไม่ใช่การละกิเลส ไม่เห็นโทษของกิเลส ถ้าเห็นโทษของกิเลส ต้องเป็นคนตรงตั้งแต่ต้นเพื่อขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดี รู้ว่าไม่ดี จึงละ ถ้าไม่รู้ว่าไม่ดี ก็ไม่ละ
~ ฟังแล้วต้องไตร่ตรอง แล้วแทนคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้เพื่อให้เราเป็นคนดี เพื่อให้เรารู้จักความจริงว่าอะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์ แล้วทรงมีพระมหากรุณาแสดงจนเราสามารถที่จะละความไม่ดีได้ ใครจะทำอย่างนี้ได้ ใครจะอนุเคราะห์ได้ถึงอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงอย่างละเอียดถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง
~ "สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา" ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย แต่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทุกชาติที่ได้ฟังจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นค่อยๆ อบรมมั่นคงขึ้น จนกระทั่งค่อยๆ คลายความติดข้องในสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเราหรือของเรานานแสนนาน ไม่ใช่เฉพาะชาติเดียว กว่าจะหมดความไม่รู้ และความเป็นเรา ก็เพราะธรรมเตชะ (เดชแห่งพระธรรม) คำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทำให้ปัญญาสามารถที่จะค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้
~ ไม่พูดสิ่งที่จริงและตรงให้เขาเข้าใจ นั่นชื่อว่าเป็นมิตรหรือเปล่า? หวังดีหรือเปล่า? ปล่อยเขาไปสู่ความเห็นผิด ตกเหวลึกก็ตกไปไม่มีวันได้ขึ้นมาอีกเลย หันหลังให้พระสัทธรรม นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความหวังดี เพราะฉะนั้น เมื่อรู้แล้วจึงเพ่งโทษ ให้รู้ว่าโทษอยู่ตรงไหน ชี้แจงให้เห็นถูกให้เข้าใจถูก แล้วก็ติเตียนให้รู้ด้วยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง
~ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจถูกว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรถูก อะไรผิด อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ เป็นผู้ที่เข้าใจตามความเป็นจริงแล้วเห็นคนอื่นทำสิ่งที่ไม่ถูก ใจของคนนั้นคิดอย่างไร ทุกคนมีใจคิดได้ ใจของทุกคนคิดอย่างไร มีความหวังดีไหม รู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูก เป็นโทษอย่างยิ่ง ควรไหมที่จะให้เขารู้ว่าสิ่งนั้นไม่ถูก นี่เป็นความหวังดีหรือเปล่า?
~ ในบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหลาย ปัญญาประเสริฐสุด เพราะสามารถเห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อย จึงสามารถที่จะขจัดโทษออกไปได้ แต่ละอย่างๆ ตามกำลังของปัญญา นี่คือ ไม่มีสิ่งใดจะมีค่าเท่า ซื้อไม่ได้ ทรัพย์สินเงินทองมากมายสักเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถที่จะเอาอกุศลออกไปจากจิตได้ นอกจากปัญญาเท่านั้น และปัญญาก็ไม่สามารถจะมีได้ด้วยตัวเอง แต่เพราะได้ฟังผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริง ทรงพระมหากรุณาแสดงประโยชน์อย่างยิ่ง ให้ทุกคนฟัง ไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริง และเห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดีได้
~ เมตตาจำกัดไหมว่าต้องเมตตาเฉพาะคนดี? เมตตาคือความเป็นมิตรความหวังดีการที่จะทำประโยชน์เกื้อกูลทันทีที่สามารถจะทำได้ นั่นคือ ความเป็นมิตร จำกัดไหม? เมตตาจำปรารถนาหรือว่ามีประโยชน์ในที่ทั้งปวง ไม่เว้นเลย
~ ช่วยเหลือด้วยจิตที่เมตตาไม่ว่าจะกับใคร ไม่จำกัดความเมตตาความหวังดีหวังประโยชน์เกื้อกูล ขณะนั้นก็ต้องเป็นสิ่งที่ดี แม้ว่าเราอาจจะลำบาก แต่กุศลจิตก็ทำ เพราะว่าถ้าคิดถึงแต่ความสบายทำดีลำบากก็ไม่ทำดีเสียเลยสบายกว่า ถ้าคิดอย่างนั้นกุศลจิตก็ไม่เกิด
~ มิตรจริงๆ จะช่วยเหลือทุกโอกาส จะมีความหวังดีและพร้อมที่จะเกื้อกูล ไม่มีการประทุษร้าย ไม่มีการแข่งดี แม้แต่แข่งดีก็ไม่มี จึงจะชื่อว่าเป็นมิตร ไม่มีการกล่าวร้าย ไม่มีการลำเลิก ทุกๆ อย่างที่ไม่ดี เราจะไม่ทำกับมิตรเลย
~ ถึงแม้ว่าไม่ได้ให้อะไรเลย แต่เป็นมิตรกับคนอื่น ไม่เป็นศัตรูกับใคร ขณะนั้นก็เป็นกุศล
~ แต่ละคนก็แต่ละหนึ่ง มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็มีโอกาสได้รู้ว่ากุศลต้องเป็นกุศล อกุศลต้องเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น อกุศลของใครก็ของคนนั้น คนนั้นน่ารังเกียจ เพราะเหตุว่ามีธรรมที่เป็นอกุศลที่สะสมมามาก เพราะฉะนั้น กาย วาจา ใจของเขาก็ต้องเป็นไปตามการสะสม เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้วก็จะได้พบกับคนอย่างนั้นด้วย ไม่ใช่ไม่พบ แล้วกุศลอยู่ไหน?
~ รู้ว่ามีกิเลสมาก รู้ว่ามีความไม่รู้มาก จะได้ไม่ประมาทอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย เพราะประมาณไม่ได้เลยว่าอกุศลมากแค่ไหน แต่ว่าจากการฟังพระธรรมก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ก็สะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้น
~ ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ความไม่รู้ลดน้อยลง อกุศลธรรมทั้งหลายและความติดข้องน้อยลง การเห็นโทษของอกุศลก็เพิ่มขึ้น เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด แม้แต่ปัญญาขณะนั้นก็เกิดขึ้นเห็นโทษของอกุศลแล้วก็นำไปสู่ความดีทุกประการ



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๘๗



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 27 ต.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 2    โดย มังกรทอง  วันที่ 27 ต.ค. 2567

ฟังธรรม ฟังคำองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 27 ต.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 4    โดย jaturong  วันที่ 27 ต.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย shsso2551  วันที่ 27 ต.ค. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย เจียมจิต สุขอินทร์  วันที่ 28 ต.ค. 2567

~ ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ความไม่รู้ลดน้อยลง อกุศลธรรมทั้งหลายและความติดข้องน้อยลง การเห็นโทษของอกุศลก็เพิ่มขึ้น เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด แม้แต่ปัญญาขณะนั้นก็เกิดขึ้นเห็นโทษของอกุศลแล้วก็นำไปสู่ความดีทุกประการ

กราบขอบพระคุณ

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย nattawan  วันที่ 28 ต.ค. 2567

ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ความไม่รู้ลดน้อยลง อกุศลธรรมทั้งหลายและความติดข้องน้อยลง การเห็นโทษของอกุศลก็เพิ่มขึ้น เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด แม้แต่ปัญญาขณะนั้นก็เกิดขึ้นเห็นโทษของอกุศลแล้วก็นำไปสู่ความดีทุกประการ

ยินดีในกุศลวิริยะค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย Wisaka  วันที่ 28 ต.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย เมตตา  วันที่ 29 ต.ค. 2567

ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะเห็นคุณค่ามหาศาลของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สามารถขจัดความไม่รู้และโทษต่างๆ ทีละเล็กทีละน้อยออกไป จนกว่าจะดับสนิทตามลำดับขั้น ไม่มีโทษใดๆ เกิดอีกเลย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยความเคารพค่ะ