ธรรมะโดนใจ
โดย Nareopak  14 พ.ย. 2551
หัวข้อหมายเลข 10387

เข้าบ้านมาเจอผัสสะทางเสียง (ผสมสังขารขันธ์ปรุงแต่ง) เกิดโทสะอย่างแรง

ก่อนที่อารมณ์จะระเบิด ได้เดินไปเปิด ซีดี "บารมีในชีวิตประจำวันตอนที่1 "ธรรมะโดนใจ" ขันติบารมี" โทสะมอดลง (แต่ยังมีเหลืออยู่บ้างบางๆ ) ขอกราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์



ความคิดเห็น 1    โดย suwit02  วันที่ 14 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย choonj  วันที่ 15 พ.ย. 2551

บ่อยๆ เข้าก็จะเป็นประสพการณ์ เมื่อมีกำลังก็ไม่ต้องไปเปิดซีดี โทสะก็จะเบาบางลงเรื่อยๆ จนไม่เกิดอีก อะไรจะเกิดก็เกิดเมื่อเกิดแล้วก็ดับแต่โทสะไม่เกิด อารมณ์ก็ไม่มีโอกาสจะระเบิด ขณะนั้นมีสติ เป็นการเจริญสติไปในตัว ดีไหมครับ


ความคิดเห็น 3    โดย wannee.s  วันที่ 15 พ.ย. 2551

ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ นางทาสีเห็นเจ้านายชื่อเวเทหิกา เป็นคนที่ไม่มักโกรธ ก็เลยคิดทดลองเจ้านายที่ไม่โกรธเพราะอะไร วันรุ่งขึ้นก็แกล้งตื่นสาย นางเวเทหิกาก็โกรธ วันต่อไปก็ตื่นให้สายอีก นางเวเทหิกาก็โกรธยิ่งขึ้น ฯลฯ ตราบใดที่ยังไม่ได้ละกิเลส ถ้ากระทบกับสิ่งที่ไม่ดี มีเหตุมีปัจจัยก็ทำให้โกรธอีก แต่อาศัยการฟังพระธรรม ทำให้เราเห็นโทษของความโกรธว่าไม่ดีมีโทษ และรู้หนทางที่จะขัดเกลากิเลสต่างๆ ค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 15 พ.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

อาศัยการฟังพระธรรม เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้น ก็ย่อมเห็นโทษของกิเลสที่เกิดขึ้นโดนใจเพราะปัญญาเกิด เห็นโทษของกิเลส การศึกษาพระธรรมจึงมีอุปการะมาก เพราะพระธรรมเหมือนน้ำล้างสิ่งสกปรก แต่ต้องไม่ลืมว่า สภาพธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตาและมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น การเห็นโทษของกิเลสนั้นมีหลายระดับ ตามระดับความเข้าใจ (ปัญญา) เห็นโทษที่เป็นอกุศลแต่ก็เป็นเรา ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่การอบรมปัญาที่ถูกต้องคือ การรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แม้อกุศลที่เป็นความโกรธที่เกิดขึ้น แต่ธรรมก็เป็นเรื่องขัดเกลากิเลสทุกทาง อบรมสติปัฏฐานอย่างดียวไม่ได้ ต้องขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน คือการอบรมบารมีในชีวิตประจำวัน คือเจริญกุศลทุกประการเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย แต่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยคือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ ...

สำคัญที่น้อมประพฤติปฏิบัติตาม

เครื่องทดสอบปัญญา

ผู้มีปัญญาย่อมอดทนในความผิดของผู้อื่น

มุ่งเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว ไม่พอ


ความคิดเห็น 5    โดย paderm  วันที่ 15 พ.ย. 2551

๐๐๓๙๓ เราจักอดกลั้นถ้อยคำล่วงเกิน

เราจักอดกลั้นถ้อยคำล่วงเกิน ดังช้างอดทนลูกศร ซึ่งตกไปจากแล่งในสงคราม, เพราะคนเป็นอันมาก เป็นผู้ทุศีล,

ในหมู่มนุษย์ผู้ใดอดกลั้นถ้อยคำล่วงเกินได้, ผู้นั้นชื่อว่าฝึก (ตน) แล้ว เป็นผู้ประเสริฐสุด.

ม้าอัสดรที่ฝึกแล้วเป็นสัตว์ประเสริฐ, พระยาช้างชาติกุญชรที่ฝึกแล้ว ก็เป็นสัตว์ประเสริฐ, (แต่) ผู้ฝึกตนเองได้แล้ว ประเสริฐ

ธรรมเตือนใจวันที่ : ๒๔-๐๗-๒๕๔๙


ความคิดเห็น 6    โดย paderm  วันที่ 15 พ.ย. 2551

๐๐๔๙๖ ผู้ไม่สำรวมย่อมทิ่มแทงชนเหล่าอื่นด้วยวาจา

"ชนทั้งหลาย ผู้ไม่สำรวมแล้ว ย่อมทิ่มแทงชนเหล่าอื่นด้วยวาจาเหมือนเหล่าทหารที่เป็นข้าศึกทิ่มแทงกุญชรตัวเข้าสงครามด้วยลูกศร ฉะนั้นภิกษุผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายฟังคำอันหยาบคายที่ชนทั้งหลายเปล่งขึ้นแล้ว พึงอดกลั้น"

ข้อความตอนหนึ่งจาก สุนทรีสูตร ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๔๕๓

ธรรมเตือนใจวันที่ : ๒๔-๑๒-๒๕๕๐

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 7    โดย khampan.a  วันที่ 15 พ.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในชีวิตประจำวัน ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ หลังจากที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายแล้ว กิเลสย่อมเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นความติดข้องยินดี พอใจ หรือ ความขุ่นเคือง ไม่พอใจ เป็นปกติธรรมดา (ความผิดไม่ได้อยู่ที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่เพราะเราได้สั่งสมอกุศลมาอย่างเนิ่นนาน เป็นผลของการสะสม เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย อกุศลจิตจึงเกิดขึ้น) โดยมากเวลาที่ติดข้องยินดีพอใจ ไม่ค่อยจะเห็นโทษสักเท่าไหร่ เพราะเวทนาที่เกิดร่วมกับโลภมูลจิตเป็นโสมนัส (หรือ อุเบกขา) จึงชอบ แต่พอเวลาโทสมูลจิตเกิด เวทนาเป็นโทมนัส จึงไม่ชอบในอารมณ์ที่ปรากฏ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกิเลสอกุศลประเภทใดก็ตาม ควรที่จะเห็นว่าเป็นโทษเห็นภัยทั้งนั้น ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ เพราะไม่นำมาซึ่งคุณประโยชน์อะไรเลย จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะเป็นเหตุทำให้เข้าใจสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ว่าธรรม เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนและละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้


ความคิดเห็น 8    โดย khampan.a  วันที่ 15 พ.ย. 2551

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ทำให้เห็นถึงความต่างกันระหว่างปุถุชน ผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสกับพระอริยเจ้าที่ท่านดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะเหตุว่าพระอรหันต์ ท่านเห็นเหมือนกัน ได้ยินได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเหมือนกันแต่กิเลสไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ซึ่งกว่าที่ท่านเหล่านั้น จะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ได้นั้น ต้องเป็นผู้อบรมเจริญปัญญาสั่งสมการฟังพระธรรม จากพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มาเป็นระยะเวลาอันยาวนานทีเดียว

แล้วเรา ฟังมานานเท่าไหร่แล้ว? จึงต้องฟังต่อไปบ่อยๆ เนืองๆ เพราะจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ยิ่งๆ ขึ้นไป พร้อมทั้งเกื้อกูลต่อการขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน อีกด้วยครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 9    โดย เมตตา  วันที่ 15 พ.ย. 2551

เรียนพี่choonj ความคิดเห็นที่ 2 ค่ะ

ไม่มีใครที่จะไปบังคับให้ดับโทสะได้ค่ะ เพราะเหตุว่าโทสะเกิดขึ้นเพราะมีเหตุให้เกิดจึงเกิดมีขึ้น การศึกษาพระธรรมเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฎให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงว่าเป็นเพียง รูปธรรมและนามธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น สภาพธรรมที่เกิดขึ้นนั้นเกิดตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น จึงควรอบรมเจริญปัญญาจนกว่าสติระลึกรู้สภาพธรรมตรงตามความเป็นจริงว่าเป็นเพียงรูปธรรมและนามธรรม โทสะเกิดขึ้นเป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่งไม่ใช่เรา ไม่มีใครบังคับบัญชาให้เกิดหรือไม่ให้เกิดได้ ค่อยๆ ฟังพรธรรมให้เข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ก็จะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฎตามความเป็นจริงค่ะ ต้องใช้เวลาอบรมความเข้าใจ ยาวนานมากค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย Nareopak  วันที่ 15 พ.ย. 2551

ขอขอบพระคุณกัลยาณมิตรทางธรรมทุกๆ ท่านค่ะที่เมตตาอนุเคราะห์ข้อคิดเห็นทางธรรมะที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับผู้ซึ่งปัญญายังน้อยและอินทรีย์ยังอ่อน ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย orawan.c  วันที่ 16 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย pornpaon  วันที่ 16 พ.ย. 2551

ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ที่พึ่งอันเกษมสูงสุดของข้าพเจ้า

โทสะ เมื่อเหตุยังมีอยู่ ย่อมเกิดขึ้นอีกได้ ที่จะระงับ มีความรู้สึกข่มใจไว้ได้ ไม่โกรธตอบ ด้วยรู้ว่า เพราะมีเหตุ จึงเกิดจะเป็นไปได้ ก็ด้วยการฟังพระธรรมบ่อยๆ น้อมพิจารณาตามในเหตุผลบ่อยๆ

ผู้แสดงความคิดเห็นเองก็เป็นผู้มีโทสะง่าย (โกรธ ขุ่นใจ เสียใจ น้อยใจ) แต่ความผูกไว้ในใจเริ่มจืดจางไวขึ้น เพราะการฟังพระธรรม น้อมคิดพิจารณาตามในเหตุผลต่างๆ ที่ได้ฟัง บ่อยๆ เนืองๆ และขาดการฟังไม่ได้เลย

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณนฤภัค

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย ajarnkruo  วันที่ 16 พ.ย. 2551

ถ้าไม่เป็นผู้ที่ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จะไม่โกรธเลยแต่เพราะยังมีความติดข้องในสิ่งเหล่านั้นอยู่ก็ย่อมจะนำมาซึ่งความทุกข์ใจ เสียใจ เป็นธรรมดาเพราะปรารถนาสิ่งใด ถ้ากุศลกรรมไม่ให้ผลสิ่งนั้นก็จะไม่เป็นไปตามความปรารถนา ปรารถนาเสียงที่ดี แต่เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้ได้ยินเสียงที่ไม่ดีผลของกรรมเป็นสิ่งเลี่ยงไม่ได้ แต่ความเข้าใจพระธรรมจะช่วยประคับประคองให้ชีวิตดำรงอยู่ในความดีต่อไปได้...ขออนุโมทนาครับ...


ความคิดเห็น 14    โดย choonj  วันที่ 16 พ.ย. 2551

เรียน เมตตา

แน่นอนที่สุดไม่มีตัวตนทีจะบังคับได้ ก็รู้อยู่แล้วว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ที่น้องเมตตาเขียนมาก็ถูกต้องและเห็นด้วยทุกอย่าง และที่ผมเขียนก็อาจจะเข้าใจไปได้ว่ามีการบังคับได้ซึ่งไม่ใช่ เขียนให้ผู้ไหม่ๆ ที่กำลังมีโทสะจะได้เข้าใจ เพราะถ้าพูดเรื่องไม่มีตัวตนเลย เกรงว่าจะไม่เข้าใจเพราะกำลังมีโทสะ เมื่อโทสะเบาบางลงและศึกษาต่อก็จะเข้าใจว่าไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับเองแหละ ครับ