คนสมัยนีเขาเป็นทุกข์เพราะความคิดทีใจเป็นทุกข์ เพราะเกิดความยึดมั่น แล้วมีการปรุงแต่งในความคิด ขึ้น และอุบายที่จะละความทุกข์ก็คือ หยุดการปรุงแต่ง แล้วปล่อยวางให้เป็น นี่คือหลักการ แต่การจะทำเช่นนั้น ได้ ต้อง อาศัยภาวนา ทำใจให้สงบ จึงจะเกิดพลัง มีสติ ปัญญามองเห็นเหตุเห็นผล แล้วจิตก็จะมีการปล่อยวาง ได้ เมื่อละความยึดมั่นได้ ความทุกข์ในสิ่งนั้นก็หมดไป
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การปล่อยวาง ในภาษาที่รู้กันทั่วไปว่า การไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นภาวะของผู้ที่มีปัญญา ละการยึดถือในนามรูปเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่คนทั่วไปมักแนะนำกันว่า อย่าไปยึดเลยควรปล่อยวาง สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เป็นผู้มีปกติยึดมั่นในรูปนามขันธ์ทั้งห้าว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา ไม่สามารถปล่อยวางได้เพราะกิเลสตัวยึดถือยังละไม่ได้ ฉะนั้น สำหรับคนทั่วไปไม่ควรกล่าวว่าปล่อยวางได้แล้ว หรือให้เขาปล่อยวาง ควรให้เขาเข้าใจความจริง ศึกษาความจริงที่กำลังปรากฏเมื่อศึกษาด้วยปัญญาย่อมเข้าใจความจริง เมื่อเข้าใจความจริง ย่อมค่อยๆ ละการยึดถือได้ด้วยปัญญา
ก็เพราะไม่เข้าใจธรรมเป็นเบื้องต้นว่าธรรมคืออะไร ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ข้ามแม้คำว่าอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ขณะนี้มีกิเลสเกิดเกือบตลอดเวลา ก็ไม่รู้ และบังคับกิเลสไม่ให้เกิดได้ไหม ถ้ามีเหตุปัจจัย ดังนั้น ใครบอกให้เราปล่อยวาง คนที่บอกก็ไม่เข้าใจคำพระพุทธเจ้า คำที่เป็นสัจจะความจริงไม่เปลี่ยน คือ ธรรมทั้หลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ คำเหล่านั้นที่บอกให้ปล่อยวาง เป็นคำ ที่แสดงถึงผล โดยไม่มีเหตุ ก็เป็นคำเลื่อนลอย ชวนเชื่อ เพราะเป็นคำผิด ที่บุคคลนั้นมีปัญญารู้ความจริงแล้ว จึงไม่ยึดถือว่าเป็นเรา แต่ เมื่อไม่มีเหตุคือปัญญา บอกให้ปล่อยวาง ก็เป็นเราที่ปล่อยวาง คิดว่าการเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็นการปล่อยวาง ไม่มีปัญญาเข้าใจความจริงเลยในขณะนั้น ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็มีเรา ที่เฉยๆ ไม่เดือดร้อน นั่นไม่ใช่การปล่อยวางในพระพุทธศาสนา ตอนนี้กิเลสเกิดแล้ว แค่เห็นก็ติดข้องในสิ่งที่เห็น รู้ไหมว่ากิเลสเกิดแล้ว ไม่รู้เลย เห็นไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็เป็นกิเลสแล้ว แล้วมีคนบอกว่าให้ปล่อยวาง อย่าเกิดกิเลส อย่าเกิดความไม่รู้ ทำได้ไหม เพราะไม่รู้จักกิเลส ก็สำคัญผิดว่าปล่อยวาง ไม่รู้ว่าปัญญาในพระพุทธศาสนารู้อะไร ก็สำคัญว่าปล่อยวาง นี่คือความละเอียดของพระธรรม ถ้าไม่ตั้งต้นจากคำว่า อนัตตา ไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้ การศึกษาพระธรรมก็จะผิดทางไปหมด เพราะสำคัญว่ามีเราทำได้ มีเราปล่อยวาง
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีทางที่จะเป็นภาวนาอะไรๆ ได้เลย มีแต่เป็นเรื่องทำ เป็นเรื่องตัวตน เป็นเรื่องของความไม่รู้ เท่านั้น ไม่มีทางที่กุศล และความเข้าใจถูกเห็นถูกจะเจริญขึ้นได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่พึ่งที่แท้จริง คือ พระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษา ค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผลตรงตามความเป็นจริง ความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะไม่ไปทำในสิ่งที่ผิด ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาค่ะ