[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 233
ทุติยปัณณาสก์
พราหมณวรรคที่ ๑
๘. ติกัณณสูตร
ว่าด้วยวิชชา ๓ ของพราหมณ์และของพุทธ์
อรรถกถา ติกัณณสูตร 239
กถาพรรณนาปุพเพนิวาสานุสติญาณ 243
กถาพรรณนาจุตูปปาตญาณ 244
กถาพรรณนาอาสวักขยญาณ 244
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 34]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 233
๘. ติกัณณสูตร
ว่าด้วยวิชชา ๓ ของพราหมณ์และของพุทธ์
[๔๙๘] ครั้งนั้น พราหมณ์ชื่อติกัณณะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ พราหมณ์ติกัณณะนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง แล้วกล่าวสรรเสริญพวกพราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติพราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ อย่างไรกัน.
พราหมณ์ติกัณณะกราบทูลตอบว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พราหมณ์เป็นผู้ได้กำเนิดดีทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายมารดาทั้งฝ่ายบิดามีครรภ์ที่ถือปฏิสนธิหมดจดดี ไม่ถูกคัดค้านติเตียนเพราะเรื่องกำเนิดถึง ๗ ชั่วปู่
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 234
เล่าเรียนจำมนต์ได้ เจนจบไตรเพทพร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์และเกฏุภศาสตร์ กับอักษรประเภท เป็นห้าทั้งคัมภีร์อิติหาส รู้ตัวบท รู้คำแก้ (ในไตรเพทนั้น) ปราดเปรื่องในโลกายตศาสตร์ และมหาบุรุษลักษณศาสตร์ (๑) ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติพราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ อย่างนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติพราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ อย่างหนึ่ง แต่ผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเป็นอย่างหนึ่ง.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเป็นอย่างไร สาธุ ผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเป็นอย่างใด ขอพระโคดมผู้เจริญทรงแสดงธรรมอย่างนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด.
พราหมณ์ ถ้ากระนั้นท่านจงฟัง ทำในใจให้ดี เราตถาคตจักกล่าว.
พราหมณ์ติกัณณะรับพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
พราหมณ์ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม จากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าปฐมฌานอันประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่
(๑) ไตรเพท พระเวททั้ง ๓ (ความรู้ ๓ อย่าง) เป็นชื่อคัมภีร์แสดงลัทธิไสยศาสตร์ดั้งเดิมของพราหมณ์ คือ อิรุพเพท (ฤคเวท) ๑ ยชุพเพท (ยชุรเวท) ๑ สามเพท (สามเวท) ๑
นิฆัณฑุศาสตร์ ว่าด้วยชื่อสิ่งของมีต้นไม้เป็นต้น. เกฏุภศาสตร์ ว่าด้วยกิริยาเป็นประโยชน์แก่กวี, อักษรประเภท ท่านว่า ได้แก่ "ศึกษา" และ "นิรุกฺติ" (ภาคหนึ่งๆ แห่งเวทางค์ ๖ เวทางค์ ตำราประกอบพระเวทสำหรับช่วยให้เข้าใจพระเวทชัดเจนขึ้น แบ่งเป็น ๖ ภาค คือ กัลป, วฺยากรณ (ไวยากรณ์) , โชฺยติศาสตร์ (ตำราดาว) , ศึกษา, นิรุกฺติ (อธิบายคำที่ยาก) , ฉันโทวิจิติ (ตำราฉันท์)
อิติหาส ว่าด้วยพงศาวดารยืดยาว มีภารตยุทธ์เป็นต้น อันกล่าวประพันธ์ไว้แต่กาลก่อน, ที่ว่า "เป็นห้าทั้งคัมภีร์อิติหาส" นั้น ท่านว่า พระเวท ๓ เติมอาถรรพณเวทเป็น ๔ กับอิติหาสเป็น ๕
โลกายตศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องราวอันไม่น่าเชื่อ ถ้าบุคคลอาศัยปกรณ์นี้แล้วไม่คิดทำบุญ
มหาบุรุษลักษณศาสตร์ ว่าด้วยลักษณะของมหาบุรุษ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 235
เพราะวิตกวิจารสงบไป เข้าทุติยฌานอันเป็นเครื่องผ่องใสในภายใน ประกอบด้วยความที่ใจเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่
เพราะปีติคลายไปด้วย ภิกษุเพ่งอยู่ด้วย มีสติสัมปชัญญะด้วย เสวยสุขทางกายด้วย เข้าตติยฌานซึ่งพระอริยะกล่าว (ผู้ได้ตติยฌานนี้) ว่า ผู้มีสติเพ่งอยู่เป็นสุข
เพราะละสุข (กาย) ได้ด้วย เพราะละทุกข์ (กาย) ได้ด้วย เพราะโสมนัส (สุขใจ) และโทมนัส (ทุกข์ใจ) ดับไปก่อน เข้าจตุตถฌาน ไม่ทุกข์ ไม่สุข มีความบริสุทธิ์ด้วยสติอันเกิดเพราะอุเบกขาอยู่ (๑)
ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์สะอาด ไม่มีมลทิน ปราศจากอุปกิเลส เป็นจิตอ่อนควรแก่งาน ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว น้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ (วิชชาระลึกชาติได้) เธอก็ระลึกชาติได้อย่างอเนก คืออย่างไร คือแต่ ๑ ชาติ ๒ ชาติ ๓ ชาติ ๔ ชาติ ๕ ชาติ ถึง ๑๐ ชาติ ๒๐ ชาติ ๓๐ ชาติ ๔๐ ชาติ ๕๐ ชาติ กระทั่ง ๑๐๐ ชาติ ๑,๐๐๐ ชาติ ๑๐๐,๐๐๐ ชาติ จนหลายสังวัฏฏกัป หลายวิวัฏฏกัป และหลายสังวัฏฏวิวัฏฏกัปว่า ในชาติโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีนามสกุลอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น ได้เสวยสุขทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุเท่านั้น จุติจากชาตินั้นเกิดในชาติโน้น ในชาตินั้นเรามีชื่อ มีนามสกุล มีผิวพรรณ มีอาหารอย่างนั้นๆ ได้เสวยสุขทุกข์อย่างนั้น มีกำหนดอายุเท่านั้น จุติจากชาตินั้นมาเกิดในชาตินี้ เธอระลึกชาติได้อย่างอเนกพร้อมทั้งอาการ (คือรูปร่างท่าทางและความเป็นไปที่ต่างๆ กัน มีผิวพรรณต่างกันเป็นต้น) พร้อมทั้งอุทเทส (คือ สิ่งสำหรับอ้าง สำหรับเรียก ได้แก่ ชื่อและโคตร) อย่างนี้
(๑) ฌาน ๔ นี้ ถ้าอ่านตามพระบาลีนี้ ยังไม่พอจะให้เข้าใจชัด จงดูอธิบายในหนังสือวิสุทธิมรรค
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 236
นี่วิชชาที่ ๑ อันภิกษุนั้นได้บรรลุ อวิชชาหายไป วิชชาเกิดขึ้น ความมืดหายไป ความสว่างเกิดขึ้น (เป็นผล) สมแก่ที่ภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปอยู่ (๑) (เด็ดเดี่ยว)
ภิกษุนั้น ครั้นจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์สะอาด ไม่มีมลทิน ปราศจากอุปกิเลส เป็นจิตอ่อนควรแก่งาน ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว น้อมจิตไปเพื่อจุตูปปาตญาณ (๒) (วิชชากำหนดรู้ความตายความเกิด) แห่งสัตว์ทั้งหลาย เธอก็เห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ดี ผิวพรรณงาม ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยจักษุทิพย์อันแจ่มใสเกินจักษุมนุษย์สามัญ รู้ชัดว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นตามกรรม (ชี้ได้) ว่า สัตว์เหล่านี้ เจ้าข้า ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า มีความเห็นผิด กระทำกรรมไปตามความเห็นผิด สัตว์เหล่านั้น เพราะกายแตกตายไป ก็ไปอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่า สัตว์เหล่านี้ เจ้าข้า ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ มีความเห็นชอบ กระทำกรรมไปตามความเห็นชอบ สัตว์เหล่านั้น เพราะกายแตกตายไป ก็ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เธอเห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ดี ผิวพรรณงาม ผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยจักษุทิพย์อันแจ่มใสเกินจักษุมนุษย์สามัญ รู้ชัดว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นตามกรรม อย่างนี้ นี่วิชชาที่ ๒ อันภิกษุนั้นได้บรรลุ อวิชชาหายไป วิชชาเกิดขึ้น ความมืดหายไป ความสว่างเกิดขึ้น (เป็นผล) สมแก่ที่ภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปอยู่
ภิกษุนั้น ครั้นจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์สะอาด ไม่มีมลทิน ปราศจากอุปกิเลส เป็นจิตอ่อนควรแก่งาน ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ (วิชชาทำอาสวะให้สิ้น) เธอรู้ชัดตามจริงว่า นี้ทุกข์
(๑) เป็นสำนวนอย่างหนึ่ง หมายความว่า อุทิศร่างกายและชีวิตเพื่อทำการอันนั้นให้สำเร็จจงได้
(๒) ทิพจักษุญาณ ก็เรียก
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 237
นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา รู้ชัดตามจริงว่า เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย (เหตุเกิดอาสวะ) นี้อาสวนิโรธ (ความดับอาสวะ) นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา (ทางไปถึงความดับอาสวะ) เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตก็พ้นทั้งกามาสวะ ทั้งภวาสวะ ทั้งอวิชชาสวะ ครั้นพ้นแล้วก็มีญาณ (รู้) ว่าพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำแล้ว กิจอื่น (อันจะต้องทำ) เพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีก นี่วิชชาที่ ๓ อันภิกษุนั้นได้บรรลุ อวิชชาหายไป วิชชาเกิดขึ้น ความมืดหายไป ความสว่างเกิดขึ้น (เป็นผล) สมแก่ที่ภิกษุเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนอันส่งไปอยู่
จิตของพระโคดมองค์ใด ผู้มีศีลไม่ขึ้นลง (๑) มีปัญญา เพ่งพินิจ เป็นจิตตั้งมั่นแน่วแน่เป็นวสี บัณฑิตทั้งหลายกล่าวพระโคดมนั้นผู้เป็นปราชญ์ ขจัดความมืดเสีย ผู้ได้วิชชา ๓ ละมฤตยู ละเลิกบาปธรรมทั้งปวงเสียได้ว่า เป็นผู้มีประโยชน์สำหรับเทวดามนุษย์ทั้งหลาย
(๑) ศัพท์นี้ข้าพเจ้าแปลตามอรรถกถา ด้วยเห็นว่า มีบท "นิปกสฺส" แสดงปัญญา"ฌายิโน" แสดงสมาธิอยู่ในลำดับ พอครบไตรสิกขา และที่ว่า "มีศีลไม่ขึ้นลง" นั้น ท่านอธิบายว่า มีศีลเต็มบริบูรณ์เสมอ อันเป็นคุณของพระขีณาสพ ไม่เดี๋ยวเต็มเดี๋ยวพร่องอย่างปุถุชน ถ้าไม่มุ่งความอย่างนี้ จะแปลศัพท์นี้ว่า "ผู้มีปกติไม่ขึ้นลง" ก็ได้ และอธิบายว่า เป็นผู้คงที่ ไม่แสดงอาการฟูขึ้นด้วยความยินดีและห่อเหี่ยวลงด้วยความยินร้าย ในเมื่อประสบอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ ดังพระบาลีในธรรมบทว่า "น อุจฺจาวจํ ปณฺฑิตา ทสฺสยนฺติ บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่แสดงอาการขึ้นลง" เป็นคุณของพระขีณาสพเหมือนกัน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 238
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมนอบน้อมพระโคดมผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา ๓ ไม่ลุ่มหลงอยู่ เป็นพระพุทธะ มีพระสรีระเป็นครั้งที่สุด
ผู้ใดรู้ (ระลึก) ชาติได้ เห็นสวรรค์ และอบาย และถึงธรรมที่สิ้นชาติแล้ว เป็นมุนีสำเร็จด้วยความรู้ยิ่ง โดยวิชชา ๓ นี้ พราหมณ์จึงเป็นเตวิชฺโช (ผู้ได้วิชชา ๓) เรากล่าวผู้เช่นนั้นว่า ผู้ได้วิชชา ๓ หากล่าวตามคำที่พูดกันอย่างอื่นไม่.
พราหมณ์ ผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะ เป็นอย่างนี้แล.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ผู้ได้วิชชา ๓ ของพวกพราหมณ์เป็นอย่างหนึ่ง ส่วนผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะเป็นอย่างหนึ่ง แต่ผู้ได้วิชชา ๓ ของพวกพราหมณ์ ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งผู้ได้วิชชา ๓ ในวินัยของพระอริยะ ดีจริงๆ พระโคดมผู้เจริญ ฯลฯ ขอพระโคคมผู้เจริญทรงจำข้าพระองค์ไว้ว่า เป็นอุบาสก ถึงสรณะแล้ว จนตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้ไป.
จบติกัณณสูตรที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 239
อรรถกถาติกัณณสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในติกัณณสูตรที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
คำว่า ติกณฺโณ เป็นชื่อของพราหมณ์นั้น. บทว่า อุปสงฺกมิ ความว่า พราหมณ์คิดว่า ได้ข่าวว่า พระสมณโคดมเป็นบัณฑิต เราจักไปยังสำนักของท่าน ดังนี้ รับประทานอาหารเช้าแล้ว มีมหาชนห้อมล้อม เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า ภควโต สมฺมุขา ความว่า นั่งเบื้องหน้าพระทศพล.
บทว่า วณฺณํ ภาสติ ความว่า ถามว่า เพราะเหตุไร จึงกล่าวสรรเสริญ. ตอบว่า ได้ทราบว่า ก่อนแต่นี้ พราหมณ์นั้นไม่เคยไปสำนักของพระตถาคตเลย พราหมณ์จึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเข้าเฝ้าได้ยาก เราทูลก่อนแล้ว จักตรัสหรือไม่ตรัสก็ได้ ถ้าพระองค์จักไม่ตรัส คราวนั้น คนทั้งหลายจักต่อว่าเราผู้พูดในที่สมาคมอย่างนี้ว่า เหตุไรท่านจึงพูดในที่นี้ เพราะว่าท่านไปยังสำนักของพระสมณโคดมแล้ว ก็ยังไม่ได้แม้เพียงการดำรัสด้วย เพราะเหตุนั้น พราหมณ์ เมื่อสำคัญอยู่ว่า เราจักพ้นข้อครหาไปได้ด้วยอุบายอย่างนี้ จึงทูลขึ้น พราหมณ์พูดสรรเสริญพราหมณ์ทั้งหลายก็จริง แต่พูดถึงวิชชาสามด้วยความประสงค์อย่างเดียวว่า เราจักต่อ (ลองเชิง) พระญาณของพระตถาคต.
บทว่า เอวมฺปิ เตวิชฺชา พฺราหฺมณา ความว่า พราหมณ์ผู้ทรงวิชชา ๓ เป็นบัณฑิตอย่างนี้ คือ เป็นนักปราชญ์อย่างนี้ คือ เป็นผู้ฉลาดอย่างนี้ คือ เป็นพหูสูตอย่างนี้ หมายความว่าเป็นผู้มีปกติกล่าวอย่างนี้ อธิบายว่า เป็นผู้ได้รับสมมติอย่างนี้. ด้วยบทว่า อิติปิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการกำหนด
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 240
อาการของบัณฑิตเป็นต้นแห่งพราหมณ์เหล่านั้น. ก็ในข้อนี้มีอธิบายอย่างนี้ว่า เป็นบัณฑิตด้วยเหตุเท่านี้ ฯลฯ เป็นผู้ได้รับสมมติด้วยเหตุเท่านี้.
บทว่า ยถา ในบทว่า ยถา กถํ ปน พฺราหฺมณา นี้ เป็นคำแสดงเหตุ. บทว่า กถํ ปน เป็นคำถาม. ข้อนี้สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติพราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ ไว้อย่างไร. ท่านจงบอกเหตุที่จะให้รู้จักพราหมณ์ผู้ได้วิชชา ๓ นั้น.
พราหมณ์ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว ดีใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามในธรรมที่มีฐานะพอรู้ได้ ไม่ใช่มีฐานะที่รู้ไม่ได้ จึงทูลคำเป็นต้นว่า อิธ โภ โคตม ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุภโต ได้แก่ ทั้งสองฝ่าย. บทว่า มาติโต จ ปิติโต จ ความว่า ผู้ใดมีมารดาเป็นพราหมณี มียายเป็นพราหมณี แม้ยายชวดก็เป็นพราหมณี มีบิดาเป็นพราหมณ์ มีปู่เป็นพราหมณ์ แม้ปู่ชวดก็เป็นพราหมณ์ ผู้นั้นชื่อว่าเกิดดีแล้วทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายมารดา และฝ่ายบิดา.
บทว่า สํสุทฺธคหณิโก ความว่า ผู้ใดมีที่ถือกำเนิดคือท้องของมารดาบริสุทธิ์แล้ว ผู้นั้นชื่อว่าสังสุทธเคราหณี. แต่ในคำว่า สมเวปากินิยา คหณิยา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า การถือเอาเตโชธาตุที่เกิดแต่กรรม. ในคำว่า ยาว สตฺตมา ปิตามหยุคา นี้ มีความว่า บิดาของบิดา ชื่อว่าปิตามหะ. ยุค (ชั้น) แห่งปู่ ชื่อว่าปิตามหยุค (ชั้นปู่). ประมาณแห่งอายุ ท่านเรียกว่า ยุค. ก็คำว่า ยุค นี้ เป็นเพียงคำเรียกกันเท่านั้น. แต่โดยความหมายแล้ว ปิตามหะนั่นเอง ชื่อว่า ปิตามหยุค. บรรพบุรุษแม้ทั้งหมด ต่อจากปิตามหยุคลงไป ก็เป็นอันหมายเอาด้วยศัพท์ว่า ปิตามหะนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ชื่อว่าสังสุทธเคราหณี จะมีเพียง ๗ ชั่วคน (เป็นอย่างต่ำ).
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 241
อีกอย่างหนึ่ง ทรงแสดงว่า พราหมณ์ผู้อุภโตสุชาตนั้นจะไม่ถูกคัดค้าน ถูกตำหนิ ด้วยการกล่าวอ้างถึงชาติ. บทว่า อกฺขิตฺโต ความว่า ไม่ถูกตามคัดค้านอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงนำคนผู้นี้ออกไป คนผู้นี้จะมีประโยชน์อะไร. บทว่า อนุปกฺกุฏฺโ ความว่า จะไม่ถูกติเตียน ไม่เคยถูกด่า หรือไม่เคยถูกนินทา. ถามว่า ด้วยเหตุไร. ตอบว่า ด้วยการกล่าวอ้างถึงชาติ. อธิบายว่า ด้วยการกล่าวเห็นปานนี้ว่า คนนี้ชาติเลว แม้ด้วยประการนี้.
บทว่า อชฺฌายโก นี้ พึงทราบความดังต่อไปนี้ คำครหาเกิดขึ้นแก่พราหมณ์ผู้เว้นจากฌาน (๑) ในกาลแห่งปฐมกัปอย่างนี้ว่า ดูก่อน วาเสฏฐะและภารทวาชะ บัดนี้ชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่ บัดนี้พวกชนเหล่านี้ไม่เพ่งอยู่ อย่างนี้แล อักขระว่า อชฺฌายกา อชฺฌายกา (ผู้ไม่เพ่ง หมายถึง ผู้แต่งและสอนคัมภีร์) จึงอุบัติขึ้นเป็นครั้งที่ ๓. (๒) แต่ในปัจจุบันนี้ พราหมณ์ชื่อว่า อชฺฌายโก เพราะศึกษาพระเวทนั้น. คนทั้งหลายกล่าวคำสรรเสริญ ด้วยอรรถาธิบายนี้ว่า พราหมณ์ร่ายมนต์ (พระเวท). พราหมณ์ชื่อว่า มนฺตธโร เพราะทรงจำมนต์ (พระเวท) ไว้ได้. บทว่า ติณฺณํ เวทานํ ได้แก่ อิรุพเพท ยชุพเพท และสามเพท. พราหมณ์ชื่อว่า ปารคู เพราะถึงฝั่งด้วยสามารถแห่งการเลิกท่องบ่น (คือ ทรงจำได้แล้ว).
(ไตรเพท) พร้อมด้วยนิฆัณฑุศาสตร์ และเกฏุภศาสตร์ ชื่อว่า สนิฆัณฑุเกฏุภะ. บทว่า นิฆัณฑุ ได้แก่ ศาสตร์ที่จำแนกชื่อ (สิ่งของต่างๆ) คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยชื่อของต้นไม้เป็นต้น. บทว่า เกฏุภํ ได้แก่ ศาสตร์ที่กำหนดอากัปกิริยา คือ ศาสตร์ที่เป็นอุปการะแก่กวี. พระเวทพร้อมด้วยประเภทของอักษร ชื่อว่า สากขรปเภท. สิกขาและนิรุตติ ชื่อว่า อักขรัปป-
(๑) ปาฐะว่า ฐานวิรหิตานํ ฉบับพม่าเป็น ฌานวิรหิตานํ แปลตามฉบับพม่า
(๒) อักขระที่ ๑ ว่า พราหมณา ที่ ๒ ว่า ฌายิกา ฌายิกา ที่ ๓ ว่า อชฺฌายิกา อชฺฌายิกา
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 242
เภทะ. บทว่า อิติหาสปญฺจมานํ ความว่า พระเวท ชื่อว่ามีอิติหาสเป็นที่ ๕ เพราะมีอิติหาสที่ประกอบด้วยคำเช่นนี้ว่า อิติ-ห-อาส, อิติ-ห-อาส กล่าวคือ คัมภีร์ปุราณะ หรือกล่าวคือ คัมภีร์ว่าด้วยวิชาของกษัตริย์ (นักรบ) เป็นที่ ๕. โดยนับเอาอาถัพพนเวทเป็นที่ ๔ แห่งพระเวทเหล่านั้น ซึ่งมีอิติหาสเป็นที่ ๕. ชื่อว่ารู้บท รู้ไวยากรณ์ เพราะทรงจำ คือ รู้ทั้งตัวบท ทั้งพยากรณ์ (คำอธิบาย) ตัวบทที่เหลือนั้น.
วิตัณฑวาทศาสตร์ (พูดกันเล่นสนุกๆ) ท่านเรียกว่า โลกายตะ บทว่า มหาปุริสลกฺขณํ ได้แก่ ศาสตร์ที่มีบทร้อยกรองประมาณ ๑๒,๐๐๐ คัมภีร์ ที่แสดงลักษณะของมหาบุรุษ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ชื่อว่าพุทธมนต์ ประมาณ ๑๖,๐๐๐ บทคาถา มีความสามารถเป็นเหตุให้รู้ความแตกต่างกันดังนี้ว่า ผู้ประกอบด้วยลักษณะนี้ชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยลักษณะนี้ชื่อว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยลักษณะนี้ชื่อว่าเป็นพระอัครสาวกทั้งสอง ด้วยลักษณะนี้ชื่อว่าเป็นพระอสีติมหาสาวก ด้วยลักษณะนี้ชื่อว่าเป็นพระพุทธมารดา ด้วยลักษณะนี้ชื่อว่าเป็นพระพุทธบิดา ด้วยลักษณะนี้ชื่อว่าเป็นอรรคอุปัฏฐาก ด้วยลักษณะนี้ชื่อว่าเป็นอรรคอุปัฏฐายิกา และด้วยลักษณะนี้ชื่อว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ.
บทว่า อนวโย ได้แก่ เป็นผู้ไม่บกพร่อง คือ เป็นผู้บริบูรณ์ในคัมภีร์โลกายตะ และคัมภีร์มหาปุริสลักษณะเหล่านี้ มีคำอธิบายว่า ไม่ใช่เป็นผู้ย่อหย่อน. คนผู้ไม่สามารถจะทรงจำศาสตร์เหล่านั้นไว้ได้ ทั้งโดยอรรถาธิบาย และโดยคัมภีร์ ผู้นั้นชื่อว่าย่อหย่อน. อย่างหนึ่ง บทว่า อนวโย ตัดบทเป็น อนุ อวโย ด้วยอำนาจสนธิ ลบอุอักษรออก (ฉะนั้น) อนุ - อวโย จึงเป็น อนวโย อธิบายว่า มีศิลปบริบูรณ์.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 243
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นพราหมณ์นั้นทูลอาราธนาอยู่ ทรงรู้ว่า บัดนี้เป็นเวลาสมควรที่เราจะกล่าวแก้ปัญหาของพราหมณ์นั้น จึงตรัสคำนี้ว่า เตนหิ ดังนี้. บทว่า เตนหิ นั้น มีความหมายว่า เพราะเหตุที่ท่านขอร้องเราไว้ ฉะนั้น ท่านจงฟัง. บทว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ เป็นต้น ได้อธิบายไว้อย่างพิสดารในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล้วทีเดียว. แต่ในที่นี้ คำว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ เป็นต้นนี้ พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว เพื่อทรงแสดงถึงข้อปฏิบัติที่เป็นบุพภาคของวิชชาทั้ง ๒. บรรดาวิชชาทั้ง ๓ นั้น การพรรณนาวิชชาทั้ง ๒ ไปตามลำดับบทก็ดี นัยแห่งการเจริญวิชชาทั้ง ๒ ก็ดี ได้ให้พิสดารแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเหมือนกัน.
กถาพรรณนาปุพเพนิวาสานุสติญาณ
บทว่า ปมา วิชฺชา ความว่า วิชชา ชื่อว่าปฐมา เพราะเกิดขึ้นครั้งแรก. ที่ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่า กระทำให้แจ่มแจ้งแล้ว. ถามว่า กระทำอะไรให้แจ่มแจ้ง. ตอบว่า กระทำขันธ์ที่เคยอาศัยในชาติก่อนให้แจ่มแจ้ง. โมหะที่ปิดบังปุพเพนิวาสานุสติญาณนั้น เพราะความหมายว่าทำปุพเพนิวาสานุสติญาณนั้นนั่นแหละไม่ให้แจ่มชัด ตรัสเรียกว่า อวิชชา. บทว่า ตโม ความว่า โมหะนั้นแลเรียกว่า ตมะ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุปกปิด. บทว่า อาโลโก ความว่า วิชชานั่นแหละตรัสเรียกว่า อาโลกะ เพราะหมายความว่า ทำความสว่างไสว. ก็ในพระสูตรนี้มุ่งความว่า ได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว. คำที่เหลือเป็นคำกล่าวสรรเสริญ. ก็ในข้อนี้ ประกอบความว่า เธอได้บรรลุวิชชานี้แล้ว ลำดับนั้น อวิชชาก็เป็นอันเธอผู้บรรลุวิชชาแล้วกำจัดแล้ว อธิบายว่า ให้พินาศแล้ว. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะวิชชาเกิดขึ้นแล้ว. ในบททั้ง ๒ แม้นอกนี้ ก็มีนัยอย่างนี้แหละ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 244
บทว่า ยถา ในคำว่า ยถา ตํ นี้ เป็นอุปมา. บทว่า ตํ เป็นเพียงนิบาต. ชื่อว่าไม่ประมาทแล้ว เพราะไม่ขาดสติ. ชื่อว่ามีความเพียร เพราะมีความเพียรเครื่องเผากิเลส. ชื่อว่ามีตนอันส่งไปแล้ว เพราะไม่อาลัยใยดีในร่างกายและชีวิต. ท่านอธิบายไว้ดังนี้ ผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งใจไปแล้วอยู่ อวิชชา จะจางหายไป วิชชา จะเกิดขึ้น ความมืดจะจางหายไป ความสว่างจะพึงเกิดขึ้น ฉันใด อวิชชาก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นอันพราหมณ์นี้ขจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดเป็นอันถูกขจัดแล้ว ความสว่างเกิดขึ้นแล้ว. พราหมณ์นั้นจึงได้รับผลอันสมควรแก่การประกอบความเพียรนั้นแล้ว ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาพรรณนาปุพเพนิวาสานุสติญาณ
กถาพรรณนาจุตูปปาตญาณ
พึงทราบวินิจฉัยในกถาพรรณนาจุตูปปาตญาณ ดังต่อไปนี้
วิชชา คือ ทิพจักขุญาณ ชื่อว่า วิชชา. ความไม่รู้ที่ปกปิดจุติและปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่า อวิชชา. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวมาแล้วนั่นแล.
จบกถาพรรณนาจุตูปปาตญาณ
กถาพรรณนาอาสวักขยญาณ
พึงทราบวินิจฉัยในวิชชาที่ ๓ ดังต่อไปนี้
ในบทว่า โส เอวํ สมาหิเต จิตฺเต พึงทราบว่า ได้แก่ จตุตถฌานจิต อันเป็นบาทแห่งวิปัสสนา. บทว่า อาสวานํ ขยาณาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่อรหัตมัคคญาณ เพราะอรหัตตมรรค ท่านเรียกว่า ชื่อว่าธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะยังอาสวะทั้งหลายให้พินาศ. และ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 245
อรหัตมัคคญาณ ในบทว่า อาสวานํ ขยาณาย นั้น เรียกว่า ชื่อว่า ญาณ เพราะนับเนื่องในพระอรหัตตมรรคนั้น. บทว่า จิตฺตํ อภินินฺนาเมติ ความว่า น้อมจิตไปในวิปัสสนา. ในคำมีอาทิอย่างนี้ว่า โส อิทํ ทุกฺขํ พึงทราบความอย่างนี้ว่า เขาย่อมรู้คือย่อมแทงตลอดทุกขสัจแม้ทั้งหมดตามเป็นจริง โดยการแทงตลอดลักษณะพร้อมด้วยกิจว่า ทุกข์มีเพียงเท่านี้ ไม่มากไปกว่านี้ และรู้คือแทงตลอดตัณหาอันให้เกิดทุกข์นั้นว่า นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้นตามความเป็นจริง โดยการแทงตลอดลักษณะพร้อมทั้งกิจ รู้คือแทงตลอดสถานที่ใดถึงแล้วทุกข์และสมุทัยทั้งสองนั้นดับไปที่นั้น คือ นิพพานที่ทุกข์และสมุทัยทั้งสองนั้นไม่เป็นไปตามความจริง โดยการแทงตลอดลักษณะพร้อมทั้งกิจว่า นี้เป็นความดับทุกข์ และรู้คือแทงตลอดอริยมรรคที่ให้ถึงนิพพานนั้นตามความจริง โดยการแทงตลอดลักษณะพร้อมทั้งกิจว่า นี้เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
จบอรรถกถาพรรณนาอาสวักขยญาณ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงสัจจะทั้งหลายโดยสรุปอย่างนี้แล้ว ต่อนี้ เมื่อจะทรงแสดงสัจจะทั้งหลายโดยอ้อม ด้วยสามารถแห่งกิเลส จึงตรัสคำมีอาทิว่า อิเม อาสวา ดังนี้.
บทว่า ตสฺส เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต ความว่า ของภิกษุนั้นผู้รู้อยู่เห็นอยู่อย่างนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมรรคอันถึงที่สุด พร้อมด้วยวิปัสสนาไว้ (ในที่นี้). บทว่า กามาสวา แปลว่า จากกามาสวะ. ด้วยบทว่า จิตฺตํ วิมุจฺจติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงมัคคขณะ (ขณะจิตที่สัมปยุตด้วยมรรค) อธิบายว่า ในขณะแห่งมรรคจิต จิตกำลังหลุดพ้น. ในขณะแห่งผลจิต จิตเป็นอันหลุดพ้นแล้ว. ด้วยบทว่า วิมตตสมึ วิมตตมิติ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 246
าณํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปัจจเวกขณญาณ. ด้วยคำทั้งหลายมีอาทิว่า ขีณา ชาติ ทรงแสดงภูมิของพระขีณาสพนั้น. เพราะว่าพระขีณาสพนั้น เมื่อพิจารณาด้วยญาณนั้น ย่อมทราบข้อความเป็นต้นว่า ชาติสิ้นแล้ว ดังนี้.
ถามว่า ก็ชาติชนิดไหนของพระขีณาสพนั้นสิ้นไปแล้ว และท่านจะรู้ว่า ชาตินั้นสิ้นไปได้อย่างไร.
ตอบว่า ก่อนอื่น อดีตชาติของท่านไม่ได้สิ้นไปแล้ว เพราะอดีตชาตินั้นสิ้นไปก่อนแล้ว ชาติอนาคตก็ไม่สิ้น เพราะไม่มีการพยายามในอนาคต. ชาติปัจจุบันก็ยังไม่สิ้น เพราะชาติปัจจุบันนั้นยังมีอยู่ แต่ชาติใดที่แยกประเภทเป็นขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔ และขันธ์ ๕ จะพึงเกิดขึ้นในเอกโวการภพ จตุโวการภพ และปัญจโวการภพ เพราะไม่ได้อบรมมรรค ชาตินั้นชื่อว่าสิ้นไปแล้ว โดยการถึงความไม่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะได้อบรมมรรคแล้ว. ท่านครั้นพิจารณากิเลสที่ละได้แล้วด้วยมัคคภาวนา เมื่อรู้ว่า กรรมถึงจะมีอยู่ ก็ไม่แต่งปฏิสนธิต่อไป เพราะไม่มีกิเลส ดังนี้ ชื่อว่า รู้ชาตินั้น.
บทว่า วุสิตํ ได้แก่ อยู่จบแล้ว คือ อยู่เสร็จสิ้นแล้ว อธิบายว่า ทำสำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้ว. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ มัคคพรหมจรรย์ พระเสขะ ๗ จำพวก พร้อมด้วยกัลยาปุถุชนทั้งหลาย ชื่อว่ายังประพฤติพรหมจรรย์อยู่ (ส่วน) พระขีณาสพ ชื่อว่าอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านเมื่อพิจารณาการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ของตน ย่อมรู้ชัดว่า พรหมจรรย์เราอยู่จบแล้ว. บทว่า กตํ กรณียํ มีอธิบายว่า กิจทั้ง ๑๖ อย่าง ด้วยสามารถแห่งการบรรลุ โดย ปริญญากิจ ปหานกิจ สัจฉิกิริยากิจ และภาวนากิจ ด้วยมรรคทั้ง ๔ ในสัจจะทั้ง ๔ อันท่านให้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว. เพราะว่ากัลยาณปุถุชนเป็นต้นกำลังกระทำกิจนั้นอยู่ ส่วนพระขีณาสพกระทำกิจเสร็จ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 247
แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านเมื่อพิจารณากิจที่ตนจะต้องทำ ย่อมรู้ชัดว่า กิจที่ควรทำเราทำเสร็จแล้ว. บทว่า นาปรํ อิตฺถตฺตาย ความว่า ท่านย่อมรู้ชัดว่า กิจคือการบำเพ็ญมรรคเพื่อความเป็นอย่างนี้อีก คือ เพื่อความเป็นกิจ ๑๖ อย่าง หรือเพื่อความสิ้นกิเลสอย่างนี้ ไม่มีแก่เรา.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิตฺถตฺตาย ความว่า รู้ชัดว่า การสืบต่อแห่งขันธ์อื่นจากความเป็นอย่างนี้ คือ จากการสืบต่อแห่งขันธ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันมีประการอย่างนี้ นี้ไม่มีแก่เรา เบญจขันธ์เหล่านี้ที่เรากำหนดรู้แล้วยังดำรงอยู่ (แต่เป็น) เหมือนต้นไม้ที่มีรากขาดแล้ว เบญจขันธ์เหล่านั้นจักดับไปเพราะวิญญาณดวงสุดท้ายดับ เหมือนเปลวไฟที่หมดเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น. วิชชา คือ อรหัตมัคคญาณ ชื่อว่าวิชชาในที่นี้. อวิชชาที่ปิดบังอริยสัจ ๔ ไว้ ชื่อว่าอวิชชา. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้ว.
บทว่า อนุจฺจาวจสีลสฺส ความว่า ผู้ที่มีศีลบางเวลาเสื่อม บางเวลาเจริญ ชื่อว่ามีศีลลุ่มๆ ดอนๆ. ส่วนพระขีณาสพมีศีลเจริญโดยส่วนเดียวเท่านั้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงชื่อว่ามีศีลไม่ลุ่มๆ ดอนๆ. บทว่า วสีภูตํ ได้แก่ ถึงความชำนาญ. บทว่า สุสมาหิตํ ได้แก่ ตั้งไว้ด้วยดี คือ ตั้งไว้ดีแล้วในอารมณ์. บทว่า ธีรํ ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญาที่ทรงจำ. บทว่า มจฺจุหายินํ ได้แก่ ละทิ้งมัจจุราชแล้วดำรงอยู่. บทว่า สพฺพปฺปหายินํ ได้แก่ ละบาปธรรมทั้งหมดแล้วดำรงอยู่. บทว่า พุทฺธํ ได้แก่ ตรัสรู้สัจจะทั้ง ๔. บทว่า อนฺติมเทหธารํ ความว่า ทรงไว้ซึ่งร่างกายครั้งหลังสุด. บทว่า ตํ นมสฺสนฺติ โคตมํ ความว่า สาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนมัสการพระองค์ผู้โคตมโคตร. อีกอย่างหนึ่ง มีอธิบายว่า แม้สาวกของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคตมะ ก็ชื่อว่าโคตมะ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย นมัสการสาวกผู้ชื่อว่าโคตมะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 248
บทว่า ปุพฺเพนิวาสํ ได้แก่ ขันธ์ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนสืบต่อกันมา บทว่า โยเวติ ความว่า ผู้ใดไม่เสื่อม คือ ไม่ตกต่ำ. ปาฐะว่า โยเวทิ ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ผู้ใดได้รู้แล้ว คือ ทำสิ่งที่รู้แล้วให้ปรากฏดำรงอยู่ บทว่า สคฺคาปายญฺจ ปสฺสติ ความว่า ผู้นั้นเห็นสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้น พรหมโลก ๙ ชั้น และอบายทั้ง ๔. บทว่า ชาติกฺขยํ ปตฺโต ความว่า บรรลุอรหัตตผล. บทว่า อภิญฺาโวสิโต ความว่า อยู่ด้วยการสิ้นสุดกิจเพราะรู้. มุนี คือ พระขีณาสพ ผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้รู้ ชื่อว่า มุนี. บทว่า เอตาหิ ความว่า ด้วยญาณทั้งหลาย มีปุพเพนิวาสานุสติญาณเป็นต้นที่ทรงแสดงไว้แล้ว ในหนหลัง. บทว่า นาญฺํ ลปิตลาปนํ ความว่า แต่เราตถาคตไม่เรียกคนอื่น ที่เรียกเอาอย่าง ที่คนอื่นเรียกว่า เตวิชฺโช (ผู้มีวิชชา ๓) ว่าเป็น เตวิชฺโช. อธิบายว่า เราตถาคตเรียกผู้รู้โดยประจักษ์แก่ตน แล้วบอกวิชชา ๓ แก่ผู้อื่นด้วย ว่าเป็นผู้มีวิชชา ๓. บทว่า กลํ แปลว่า ส่วน. บทว่า นาคฺฆติ แปลว่า ไม่ถึง. บัดนี้พราหมณ์เลื่อมใสพระพุทธพจน์แล้ว เมื่อจะแสดงอาการของผู้เลื่อมใส จึงได้กล่าวคำมีอาทิว่า อภิกฺกนฺตํ ดังนี้.
จบอรรถกถาติกัณณสูตรที่ ๘.