เรือ เปรียบเสมือนกับตัวเราที่กำลังเป็นอยู่นี้ น้ำ เปรียบกับกิเลส เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม ก็ย่อมไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า กิเลสมีมากมายเพียงใด ความไม่รู้ ความเห็นผิดที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง นำมาซึ่งความติดข้อง ความไม่พอใจ มานะ ความริษยา ... กิเลส ต่างๆ มากมายที่ทับถมเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ทุกๆ ขณะที่เกิดขึ้น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึกก็ตามมาซึ่งอกุศลตามการสะสม แล้วก็สะสมอกุศลเพิ่มต่อไปอีก น้ำที่เข้าเรือหนักขึ้นทุกวันๆ แล้วเมื่อไหร่จะถึงฝั่ง แม้จะได้ฟังพระธรรมแล้ว แต่กิเลสที่สะสมมามาก ก็ย่อมเกิดขึ้นตามการสะสม ยังมีเราที่ติดข้อง เป็นเราที่โกรธ เป็นเราที่ทำดี ทุกคนกำลังติดข้องอย่างมาก ตลอดชีวิตเห็นอะไรสำคัญ เห็น ได้ยิน ลาภ ยศ เป็นสาระสำคัญ แท้จริง สิ่งที่คิดว่าสำคัญนั้นก็มีเพียงในความคิด ถ้าไม่คิดก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ไม่มีอะไรเหลือ
เริ่มค่อยๆ เอาน้ำออกจากเรือ แม้จะหนักด้วยกิเลส แต่เมื่อมีการเริ่มต้นที่จะรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตก็เป็นเพียงแต่ละขณะของจิตที่เกิดขึ้นมาเห็น ได้ยิน ... และก็คิด เริ่มเห็นว่าแม้คิดก็ไม่มีสาระ เห็นก็ไม่มีสาระ เพียงไม่คิดเรื่องนั้น เรื่องนั้นก็ไม่มี เพราะเห็นแล้วก็ต้องจำ แล้วก็คิดถึงสิ่งต่างๆ เรื่องที่คิดเกิดเพียงชั่วขณะที่คิด คิดก็ดับ เรื่องที่คิดจะมีต่อไปได้อย่างไร ไม่มีธรรมใดเลยที่เที่ยง เกิดแล้วหมดไป เพียงปรากฏให้เห็นได้แล้วหมดไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจธรรม เข้าใจความจริงของชีวิต เข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เป็นผู้ตรงที่รู้ว่าตัวเองยังมีกิเลสอีกมากมายที่ต้องขัดเกลา ค่อยๆ วิดน้ำออกจากเรือ จนกว่าน้ำจะออกจากเรือจนหมด เมื่อนั้นเรือก็จะถึงฝั่งจนได้สักวัน แม้ฝั่งโน้นจะไปได้แสนยาก แต่ถ้าไม่ประมาทอาศัยพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ผู้ทรงตื่น ตื่นจากการหลับในสังสารวัฏฏ์ (หลับ คือ กิเลส) สักวันย่อมถึงฝั่งได้
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 377
" ภิกษุใด นี้ปกติอยู่ด้วยเมตตา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา, ภิกษุนั้น พึงบรรลุบทอันสงบ เป็นที่เข้าไประงับสังขาร อันเป็นสุข. ภิกษุ เธอจงวิดเรือนี้, เรือที่เธอวิดแล้ว จักถึงเร็ว; เธอตัดราคะ และโทสะได้แล้ว แต่นั้นจักถึงพระนิพพาน.
ข้อความในอรรถกถา อธิบายครับว่า เรือ คือ จิต เจตสิก ที่สมมติว่าเป็นเรานั้น เป็นเรือที่รั่ว แสดงว่า จะต้องมีรู จึงรั่วได้ รู ก็มี ๖ รู คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ขณะใดที่กิเลสเกิดขึ้น อันอาศัยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ น้ำ คือ กิเลส เข้ารู ทำให้เรือเต็มไปด้วยน้ำ คือ กิเลสประการต่างๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อเรือเต็มไปด้วยน้ำ ย่อมอับปาง จมลงมหาสมุทร คือ โอฆะ คือ กิเลสที่เป็นห้วงน้ำใหญ่ ไม่สามารถแล่นเรือไปถึงฝั่ง คือ ที่ที่ปลอดภัย ฝั่ง คือ พระนิพพานได้ ครับ
แต่ เมื่อมีการเจริญอบรมปัญญา ขณะที่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ก็ค่อยๆ ปิดรูรั่ว ที่รั่วทางใจ ที่เป็นอกุศล แลเมื่อค่อยๆ ปิดรูแล้ว ก็วิดน้ำ เพราะ เพียงวิดน้ำ แต่ไม่ปิดรูรั่ว ก็ไม่สามารถวิดน้ำได้หมด
แต่ ขณะที่รู้ความจริงของสภาพธรรม ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน ขณะนั้นสำรวมทาง ตา..ใจ คือ ไม่เป็นอกุศล และเกิดปัญญาที่รู้ความจริง ขณะที่ไม่เป็นอกุศลทาง ตา..ใจ หนทาง ก็ชื่อว่ากำลังปิดรูรั่ว ไม่ให้น้ำ คือ กิเลส เข้า เพราะเป็นกุศลในขณะนั้น และขณะที่ ปัญญา รู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียง ธรรม ไม่ใช่เรา ปัญญาทำหน้าที่วิดน้ำ คือ ละกิเลสในขณะนั้น ครับ
นี่แสดงถึงอุปมาของพระพุทธเจ้า ที่แสดงโดยนัยต่างๆ โดยที่ไม่ต้องติดที่คำอุปมา แต่ให้เข้าใจว่า ไม่ว่าจะทรงแสดง ด้วยอุปมาใดๆ ก็ไม่พ้นไปจาก เรื่องของการ ละ ขัดเกลากิเลส แต่ (ต้อง) ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้น ครับ ซึ่งจะมีได้ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะ ถ้าหากทำด้วยวิธีอื่น เข้าใจหนทางที่ผิด แทนที่จะวิดน้ำ ปิดรูรั่ว ก็กลับเติมน้ำ คือ กิเลส คือความเห็นผิด และ ไม่ปิดรู้รั่ว เพิ่มน้ำเข้ามา เรือก็จมในสังสารวัฏฏ์ ความเห็นถูกจึงเป็นเบื้องต้น และมีอุปการะมากกับการดับกิเลส ทำให้เรือถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน ครับ
ขออนุโมทนาพี่เมตตา และทุกท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรือ ก็คือ ชีวิตแต่ละบุคคล ที่กำลังท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของนามธรรม กับ รูปธรรม น้ำ ก็คือ กิเลสประการต่างๆ ที่สะสม หมักหมม พอกพูนขึ้นในชีวิตประจำวัน เครื่องวิดน้ำออกจากเรือ คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก
ชีวิตของแต่ละบุคคล ก็เป็นไปตามการสะสม มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผู้ที่สะสม เหตุที่ดีมาแล้ว เคยได้ฟังพระธรรมมาแล้ว เท่านั้น ที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรม มีศรัทธา มีความเพียร มีความอดทน ที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรมต่อไป
เพราะชีวิตแต่ละภพแต่ละชาตินั้น สั้นแสนสั้น ชีวิตจะมีค่า ก็ต่อเมื่อ ได้ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ เป็นการค่อยๆ วิดน้ำ (คืออกุศล) ออกจากจิตของตนเอง อันเป็นการขัดเกลากิเลสของตนเอง จนกว่าจะเป็น ผู้ถึงฝั่งโน้นซึ่ง เป็นฝั่งของการดับกิเลสได้ ในที่สุด การสะสมปัญญาจากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้ง ย่อมไม่ไร้ผล มีโอกาสได้ฟังเมื่อใด ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น กิเลสที่มีมาก ต้องอาศัยปัญญาจึงจะสามารถดับได้ ครับ
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา และ ทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ปัญญานั่นเองที่จะทำหน้าที่วิดน้ำออกจากเรือไม่มีเรา"
"ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ