สติปัฏฐาน คืออะไร
เชิญคลิกอ่าน...
สติปัฏฐาน [สติปัฏฐานสูตร]
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ โลก means kaya, vedana, citta anddhamma, or another sense means clinging to 5 khandhas (upadan khandhas 5) .
สติปัฎฐาน เป็นทางที่พระผู้มีพระภาค และ สาวก เสด็จดำเนินไปแล้วเจริญสติปัฎฐาน = เจริญมรรค = เจริญวิปัสสนา
สติปัฏฐาน คือ การรู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในรูปแบบของปรมัตบัญญัติ ไม่ใช่ในแบบสมมติบัญญัติใช่หรือไม่ครับ เช่น เห็นว่าคนที่เราเกี่ยวข้องและผูกพันด้วย เป็นแค่ รูปไม่ใช่เห็นว่าเป็น พ่อ แม่ พี่น้อง บุตร ภรรยาสามี ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้น ก็ทำให้เราไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นแค่รูป
สติปัฏฐาน คือความรู้จริงในสภาวะของรูปธรรมและนามธรรมด้วยว่าเป็นสภาวะที่มีจริง ถึงรูปธรรมเป็น สภาพไม่รู้อะไรแต่นามธรรมที่บัญญัติว่าเป็นพ่อ แม่ เช่น คุณคือเมตตามีอยู่จริง ไม่ใช่ให้เห็นว่าคุณพ่อ แม่ เป็นรูปไปด้วย ต้องศึกษาพระอภิธรรมให้รอบคอบและโดยเคารพ จึงจะหมดความถือมั่นได้ตามสมควรแก่เหตุ
สติปัฎฐาน จะเกิดได้ ผู้ที่เจริญสติจะต้องมีความเข้าใจ ศึกษาพระอภิธรรม คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน ผู้ที่จะศึกษาแล้ว สติปัฎฐานจะเกิดได้ ต้องเข้าใจหลักการดังต่อไปนี้
1. ต้องเข้าใจว่าจิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เกิดรับรู้อารมณ์หนึ่งแล้วดับไป แล้วเกิดรับรู้อารมณ์อีกหนึ่งแล้วดับไป ทีละขณะสืบต่อกันไปอย่างรวดเร็วมาก รวดเร็วเกินกว่าเราจะไปจดจ้องหยุดยั้งเพื่อพิจารณาหรือบังคับให้เกิดสติตามระลึกได้
2. สติต้องระลึกในปรมัตธรรม สภาพธรรม หมายความว่า ไม่ใช่ระลึกในเรื่องราวต่างๆ ที่เป็น บัญญัติธรรม ต้องระลึกในสภาพธรรม ที่เป็นจิต - เจตสิก - รูป เท่านั้นสภาพธรรมนั้นแหละคือสัจธรรม
3. สติจะต้องระลึก ในสภาพที่กำลังปรากฎ หรือ ในปัจจุบันขณะ หมายถึงขณะที่จิตยังไม่ละจากการรับรู้ในสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นสลับกันอย่างรวดเร็ว เช่น จิตเห็นเกิดขึ้นสลับกับจิตอื่นๆ และยังกลับมาเป็นจิตเห็นอยู่นั้น ถือว่าเห็น ยังเป็นปัจจุบันขณะแต่ไม่ใช่จะไปเกิดขึ้นซ้อนในขณะเดียวกันขณะใด เพราะจิตจะต้องเกิดขึ้นทีละขณะเท่านั้นอย่างนี้เรียกว่าตามระลึก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว หรือเรื่องราวที่ยังไม่มาถึง
4. สติปัฎฐานจะเกิดขึ้นตามฐานที่ตั้งของการปรากฏ แล้วแต่ว่าจิตอะไรจะเกิดถ้าสติเกิด ก็จะระลึกไปตามฐานที่ตั้งต่างๆ เหล่านั้น ไม่สามารถจับมาระลึก หรือเพ่งหรือจดจ้องอยู่ในสิ่งเดียว อย่างเดียวได้ ดังที่ท่านแจกแจงว่า ที่ กาย เวทนา จิต ธรรมคือจากใกล้ตัว จนครอบคลุมธรรม ทุกอย่างเป็นสติปัฎฐานได้หมด
5. สติปัฎฐานจะไม่มีทางเกิดได้ ถ้าหากเราอยากให้สติปัฎฐานเกิด เพราะความอยากนั้นเป็นอกุศลเป็นเครื่องกั้น สติซึ่งเป็นกุศล สติจะเกิดขึ้นเองจากการเข้าใจในการฟังเรื่องราวของอภิธรรมก่อน เมื่อความเข้าใจเจริญถึงพร้อม จะเริ่มสังเกต ความแตกต่างระหว่างการหลงลืมสติ กับการมีสติ ความเข้าใจเมื่อเข้าใจเพิ่มขึ้น สังขารขันธ์จะปรุงแต่งให้สติเกิดขึ้น ทีละน้อย ทีละน้อย
เจริญสติปัฏฐาน เพื่ออะไร ในเมื่อชีวิตนี้ก็มีแค่รูปกับนาม ทำไมต้องเจริญสติปัฎฐานด้วย
[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 606
๑๐. สติปัฏฐานสูตร
[๑๓๑ ] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :- ฯลฯ
[๑๓๒] พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อก้าวล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง. ทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ ประการ. ฯ
จากพระพุทธพจน์ในสติปัฏฐานสูตรก็เห็นได้ว่า เจริญสติเพื่อการละกิเลสอันเป็นเหตุของทุกข์ทั้งหมด จริงอยู่ชีวิตทั้งหมดมีแต่รูปกับนามเท่านั้น แต่กิเลสเข้าไปยึดถือรูปนามนั้นว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นตัวตนของเรา จึงมีปัญหามากมาย ฉะนั้น จึงเจริญสติปัฏฐานเพื่อละกิเลสอันเป็นต้นเหตุของปัญหาทุกอย่าง
สติที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
สาธุ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ