แต่ละบุคคล ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่ปลอดภัยเพราะมีหลังคา เป็นเครื่องมุงบังสำหรับหลบแดดหลบฝน หลบสัตว์ร้ายนานาชนิดแต่แท้ที่จริงแล้วไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิดเลย เพราะยังอยู่ภายใต้ของหลังคา คือ กิเลส มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ที่คอยปิดบัง กลุ้มรุมทำร้ายจิตใจอยู่เกือบจะตลอดเวลา ไม่ให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ปิดบังไม่ให้กุศลธรรมเจริญขึ้นจนกว่าจะค่อยๆ เปิดหลังคา คือ กิเลสออกทีละเล็ก ทีละน้อย เมื่อนั้นก็จะเริ่มเห็นแสงสว่าง คือ ปัญญา ที่ค่อยๆ ทำลายความมืดคืออวิชชาที่ปิดบังไม่ให้รู้ความจริงมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ การที่จะเป็นผู้เปิดหลังคา คือ กิเลสออกได้ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา (ผู้ที่เปิดหลังคา คือ กิเลสได้โดยประการทั้งปวง คือ พระอรหันต์) แล้วปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่เริ่มฟัง เริ่มศึกษาพระธรรมตั้งแต่ในขณะนี้ ซึ่งควรอย่างยิ่งที่จะได้เข้าใจพระธรรม ในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ ขอเชิญศึกษาเพิ่มได้ค่ะ
[เล่มที่ 46] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๔๖ - หน้าที่ ๖๖
อีกอย่างหนึ่ง อัตภาพ ชื่อว่า กุฎี ก็เพราะเป็นที่อยู่ของลิง คือ จิต สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ก็กุฎี คือร่างกระดูกนี้ เป็นที่อยู่ของลิงเพราะฉะนั้น ลิงจึงออกจากกุฎีที่มีประตู พยายามอยู่บ่อยๆ ย่อมเที่ยวไปทางประตู ฝน คือ กิเลสมีราคะเป็นต้น ย่อมรั่วรดซึ่งกุฎีใดบ่อยๆ เพราะสัตว์ทั้งหลายถูกปกปิดไว้ ด้วยเครื่องปิด คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ กุฎีนั้นมีหลังคาอันเปิดแล้ว
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่มที่่ ๔๗ - หน้าที่ ๓๕๒
บทว่า วิวฏจฺฉโท คือ เป็นผู้มีกิเลสดังหลังคา คือ ราคะ โทสะ และโมหะ เปิดแล้ว
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณเมตตามากครับ
ขออนุญาตเรียนถามข้อความในพระสูตรเพิ่มเติมอีกนิดครับที่ว่า
"กฎีนั้นมีหลังคาอันเปิดแล้ว" หมายความโดยละเอียดคืออย่างไรครับ
ขอบพระคุณครับ
"...แล้วปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่เริ่มฟัง เริ่มศึกษาพระธรรมตั้งแต่ในขณะนี้..."
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เรียน คุณจักรกฤษณ์ ความคิดเห็นที่ 1
"กฎีนั้นมีหลังคาอันเปิดแล้ว" ในอรรถกถาแสดงไว้ว่า กุฏี คือ อัตภาพ ซึ่งก็คือความเป็นไปแห่งชีวิต คือ จิต เจตสิก และรูป กุฏีนั้นมีหลังคาอันเปิดแล้ว หมายถึง จากที่เคยถูกปกปิด หรือปิดบังด้วยกิเลสทั้งปวงไม่ให้รู้ความจริง อยู่ภายใต้หลังคาคือ กิเลสมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ เมื่อเปิดหลังคา คือ กิเลสออกได้แล้ว ก็ไม่ถูกปกปิดด้วย กิเลส ไม่อยู่ภายใต้หลังคาคือกิเลส อีกต่อไป ชีวิตที่ดำเนินไป ก็ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส จนกว่าจะดับขันธปรินิพพาน พระธรรมที่ว่าด้วยการเปิดหลังคา คือ กิเลสนี้ ที่ได้ยกมานั้น แสดงถึงบุคคลผู้ประเสริฐที่สุด เลิศที่สุดในโลก คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงเปิดหลังคา คือ กิเลสได้ทั้งหมด กล่าวคือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น พระองค์ทรงละได้หมดสิ้น เปิดออกได้หมดแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ กิเลสที่ทรงดับได้แล้ว ไม่มีการ เกิดขึ้นอีก (แต่เมื่อกล่าวถึงผู้มีหลังคาอันเปิดแล้ว ย่อมหมายถึง พระอรหันต์ ทั้งหมดซึ่งได้แก่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระอรหันตสาวก)
ขอขอบพระคุณอ. คำปั่นที่กรุณายกพระสูตรและให้ความละเอียดของธรรมค่ะ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณเมตตาอีกครั้งครับ
ขออนุโมทนาครับ