ทิฏฐิของอัลเบิร์ต ไอสไตล์
โดย oj.simon  18 มิ.ย. 2555
หัวข้อหมายเลข 21271

ผมขออนุญาตนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับทิฏฐิของคุณอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามาให้ทุกท่านทราบดังต่อไปนี้ กล่าวคือ ก่อนที่คุณอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลผู้โด่งดังของโลกจะเสียชีวิต ๑ ปี มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน New Jersey สหรัฐอเมริกา ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง “The Human Side” ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้นี้ได้กล่าวทิ้งท้ายเปรียบเทียบพระพุทธศาศนากับศาสนาอื่นไว้ แม้ท่านมิได้นำวิทยาศาสตร์ หรือความรู้ของตนเข้ามาเปรียบเทียบด้วยก็ตาม แต่โดยนัยของคำพูดนี้เราก็สามารถสรุปเป็นปฏิภาคกับด้านวิทยาศาสตร์ได้ว่า “วิทยาศาสตร์สมัยปัจุบันนี้ยังคงอาศัยแต่เพียงการพิสูจน์ด้วยสัมผัสภายนอกทั้งห้าเท่านั้น จึงไม่เป็นการสมบูรณ์เพียงพอ เพราะที่ถูก ต้องมีจิตเข้าไปสัมพันธ์เป็นหน่วยรวมอยู่ด้วยจึงจะก่อให้เกิดความหมายที่ถูกต้องสมบูรณ์ตามความเป็นจริงได้” ทั้งนี้ นักฟิสิกส์ผู้นี้ได้ยอมรับว่าพระพุทธศาสนาสามารถตอบข้อกำหนดนี้ได้ ผมขอนำยกร่างคำกล่าวของท่านผู้นี้มาลงไว้ดังต่อไปนี้ครับ

“The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend a personal God and avoid dogmas and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things, natural and spiritual, as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that would cope with modern scientific needs, it would be Buddhism.”
(May 19th, 1939, Albert Einstein’s speech on “Science and Religion” in Princeton, New Jersey, U.S.A.) ”

“ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และ แบบเทววิทยา (คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวงคือทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้ ... ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา”

สรุป

แม้จะเป็นเพียงใบไม้แค่กำมือเดียวก็ยังสามารถปราบทิฏฐิของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกให้ต้องยอมละทิ้งทิฏฐิอันตีบตันในทางวิทยาศาสตร์ของตนเสีย แล้วกลับมายอมรับนับถือสัจจธรรมในพระพุทธศาสนาแทนครับ ผมเชื่อว่านักฟิสิกส์ท่านนี้ยอมรับแล้วว่า ต่อให้ปุถุชนนำหลักการทางวิทยาศาสตร์ไปเพียรปฏิบัติอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ถูกต้องสมบูรณ์ได้เหมือนกับการปฏิบัติตามสัจจธรรมในพระพุทธศาสนาครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 19 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก และ การจะยอมรับพระพุทธศาสนา จะเป็นการยอมรับที่แม้จริงได้ จะต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างละอียด และ ไม่เผิน และเกิดปัญญาความเข้าใจพระธรรมจริงๆ มี พระอริยสาวก ที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น ชื่อว่ายอมรับศรัทธา พระพุทธศาสนา เพราะเกิดปัญญา ประจักษ์ความจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เพราะฉะนั้น หากเป็นเพียงความเห็นของปุถุชน ที่ตั้งอยู่บนรากฐานที่ไม่ละเอียดรอบคอบในการศึกษาพระธรรม ก็ย่อมมองพระพุทธศาสนาว่าเป็นเรื่องธรรมชาติและจิตใจ แต่ในความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้จะมีไม่ได้เลย หากไม่มีความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ต้นเหตุ คือ กิเลส และ อวิชชา ความไม่รู้ เป็นสำคัญ

ดังนั้น เมื่อยังไม่ทราบถึงเหตุ ก็ย่อมเข้าใจพระพุทธศานาอย่างผิวเผิน การยอมรับพระพุทธศาสนาด้วยความเข้าใจที่ผิวเผิน อันเป็ความเข้าใจที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง ย่อมไม่ใช่เครื่องตัดสิน และ เป็นเครื่องการันตีว่า ศาสนานี้ดี เพราะ ผู้ที่มีชื่อเสียงยอมรับ ครับ

ศาสนาพุทธ จึงไม่ใช่เป็นเครื่องรองรับวิทยาศาสตร์สมัยใดได้ แต่ศาสนาพุทธ เป็นศาสนา ที่ทำให้เข้าใจความจริง ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใหม่ สมัยเก่า สมัยไหน เพราะ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ก็ไม่พ้นจากความจริง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ที่มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ครับ ศาสนาพุทธ จึงไม่ใช่เครื่องตอบสนองความต้องการของคนที่เป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แต่เป็นศาสนา ที่ละความตอบสนองของคน ของจิตใจของมนุษย์ เป็นสำคัญ ครับ

พระพุทธศาสนา เป็นสัจจะ ความจริง ไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นคัมภีระ ลึกซึ้งสุดประมาณ ยากที่จะเข้าใจ ผู้ที่จะเป็นเครื่องตัดสิน และ ทำให้การยอมรับนั้น เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน นั่นคือ ผู้มีปัญญา มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น หากพระองค์ ยอมรับ ในสิ่งใด สิ่งนั้น จริงแท้ แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ ปุถุชน ผู้มีความไม่รู้มาก แม้จะมีชื่อเสียง เข้าใจทางโลกได้มาก แต่ก็เป็นเพียง วิตกที่ตรึกเป็นไปในทางโลภะ ไม่ใช่ปัญญา แม้จะยอมรับในสิ่งใด การยอมรับของปุถุชนนั้น จึงไม่เป็นประมาณเลย ครับ

ปัญญานั้นเองเป็นเครื่องยอมรับที่แน่นอนที่สุด อันเกิดจากการประจักษ์ความจริงตามที่พระองค์ทรงแสดง นั่นคือ สภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา โดยถึงด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา


ความคิดเห็น 2    โดย หลานตาจอน  วันที่ 19 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย edu  วันที่ 19 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับผม ...


ความคิดเห็น 4    โดย khampan.a  วันที่ 21 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเห็นของบุคคลผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริง กับ บุคคลผู้ที่ไม่ได้ตรัสรู้ความจริง นั้น เทียบกันไม่ได้เลย ความเห็นของบุคคลผู้ที่ไม่ได้ตรัสรู้ความจริง นั้น ก็เป็นความคิดที่เป็นไปในเรื่องราวต่างๆ ศาสตร์ต่างๆ ที่ไม่เป็นไปกับความความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แต่บุคคลผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริง คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่จริงๆ (ที่คนอื่นไม่ตรัสรู้) จากที่เคยถูกปกปิดหุ้มห่อด้วยความไม่รู้มานานแสนนาน ก็สามารถที่จะดับความไม่รู้ได้จนหมดสิ้น เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลให้ผู้อื่นได้รู้ตาม ด้วยการแสดงธรรมแสดงความจริง ให้ผู้อื่นได้เข้าใจตามความเป็นจริง

ดังนั้น ธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น ควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นการศึกษาในสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา มีความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ จนกระทั่งสามารถดับความไม่รู้ได้จนหมดสิ้น

การศึกษาศาสตร์สาขาต่างๆ ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้ แต่การศึกษาพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 5    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 21 มิ.ย. 2555

เพราะศาสนาพุทธสอนความจริง

และสอนในสิ่งที่พิสูจน์ได้


ความคิดเห็น 6    โดย jaturong  วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย oj.simon  วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ผมขอสรุปความเห็นของท่านอาจารย์ทั้งสองตามลำดับดังนี้ครับ

ท่านอาจารย์ผเดิมกล่าวไว้ในทำนองว่าพระสัทธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละเอียดมาก การยอมรับหรือเข้าถึงพระสัทธรรมที่แท้มีแต่เฉพาะความรู้ในระดับปัญญา (อีกนัยหนึ่งก็คือมีแต่ในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง และพระอริยบุคคผู้รู้ตามเท่านั้น) พระพุทธศาสนามิใช่เครื่องตอบสนองความต้องการของคนที่เป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แต่เป็นศาสนาที่ละความตอบสนองของคน ของจิตใจของมนุษย์ เป็นสำคัญ (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพระพุทธศาสนาเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อการตรัสรู้และเพื่อนิพพานครับ)

ท่านอาจารย์ khampan.a กล่าวไว้ในทำนองว่าการศึกษาศาสตร์สาขาต่างๆ ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้ แต่การศึกษาพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด


ความคิดเห็น 8    โดย oj.simon  วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ครับผมเชื่อตามที่ท่านอาจารย์ทั้งสองได้กล่าวไว้เป็นอย่างยิ่งครับ ในส่วนที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อการตรัสรู้และเพื่อนิพพานนี้ก็คือ "ใบไม้เพียงกำมือเดียว" ซึ่งละเอียดลึกซึ้งเกินความรู้ความสามารถของปุถุชนที่จะเข้าใจได้ แต่นอกจากนี้แล้วพุทธปัญญายังมีอยู่อีกมากมายเทียบเท่ากับใบไม้ทั้งหมดในป่าครับ เนื่องจากใบไม้นอกกำมือนี้มิได้เป็นประโยชน์เพื่อการพ้นทุกข์ พระองค์จึงไม่นำมาสอนครับ สำหรับที่คุณไอน์สไตน์ยอมรับพุทธปัญญาในทางปฏิภาคกับด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งตนเชื่อมาตลอดชีวิตนี้ น่าจะเป็นพุทธปัญญา ที่เป็นใบไม้นอกกำมือ ซึ่งผมเชื่อว่าคุณไอน์สไตน์เป็นอัจฉริยะบุคคลในทางโลก (แต่ความเป็นอัจฉริยะของปุถุชนย่อมเทียบพระอัจฉริยภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เหนือกว่าเป็นร้อยพันเท่าไม่ได้) เมื่อพบเห็นพุทธปัญญาในส่วนที่สอดคล้องต้องตามความเห็นเดิมของตน ด้วยจริตของผู้เป็นอัจฉริยบุคคลในทางโลกย่อมเข้าใจพุทธปัญญาในด้านนี้ได้ไม่มากก็น้อยครับ

ยกตัวอย่างนะครับ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ทราบเลยว่านอกจากโลกของเราแล้วยังมีโลกอื่น มีสัตว์อื่นอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรับรองว่ามีสัตว์อื่นอยู่ในภพภูมิอื่นอีกมากมายเป็นหมื่นโลกธาตุ นอกจากนี้สมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงเสด็จไปถึงขอบจักรวาลอันไกลโพ้นในตอนรุ่งเช้าและกลับมาทันเสวยพระกระยาหารในตอนสายได้ครับ การตรัสถึงขอบจักรวาลไว้ก่อนที่คุณไอน์สไตน์เกิดหลายพันปีนี้ย่อมเป็นที่อัศจรรย์ใจแก่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนครับ

อนึ่ง ปัจจุบันมีคนไทยที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ซึ่งประสบความความสำเร็จในการประกอบอาชีพอยู่ในองค์การนาซ่าอยู่หลายท่าน ทุกท่านล้วนแต่ยอมสยบรับนับถือในพุทธปัญญาทั้งสิ้นครับ ท่านเหล่านั้นอาจยังไม่ถึงกับเป็นพระอริยบุคคล แต่ทุกท่านยอมรับว่าตนใช้สัมมาสติ สัมมาสมาธิในทางพุทธศาสนาจนได้รับความสำเร็จในการประกอบอาชีพดังกล่าวของตนทั้งสิ้นครับ

สำหรับเหตุที่ผมเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาก็ด้วยความภูมิใจในพระพุทธศาสนา และเพื่อเสนอให้ทุกคนทราบว่าคุณไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์ผู้เป็นที่ยอมรับนับถือทั่วโลกนี้ ก็ยังกลับมากล่าวยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาไว้จริง นอกจากนี้ผมยังได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ทั้งสองที่ช่วยชี้แนะให้เห็นว่า แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาก็คือใบไม้เพียงกำมือเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้คนเราพ้นทุกข์ได้ มิใช่วิทยาศาสตร์แต่อย่างใดครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


ความคิดเห็น 9    โดย เซจาน้อย  วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"สภาพธรรมเกิดแลัว มีแล้วในขณะนี้ จากที่ไม่มี แล้วเกิดมี เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปไม่มีอะไรเหลือเลย"

สำคัญอยู่ที่ปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 10    โดย kinder  วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย Graabphra  วันที่ 29 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณมากๆ

ขอน้อมอนุโมทนาครับ