(ขออภัย ถ้าถามไม่เป็นเรื่อง)
1. อยากเรียนถามครับ เรื่อง การเห็นเป็น ตัวตน (ทางโลกมีอยู่) แต่ทางธรรมะจะพิจารณา แล้วจะเป็นรูป นาม หรือ เป็นกองขันธ์ กระผม เข้าใจเช่นนี้ จะถูกหรือเปล่า ครับ
2. ผมทำบุญใส่บาตร แผ่กุศล ให้กับผู้มีพระคุณ แล้วเกิดปิติ (ขณะที่เกิดปิติ เป็น บุญหรือ บาป ครับ ไม่ทราบจริงจริง ครับ)
ขอเรียนรบกวนท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ
๑. ความเห็นว่ามีตัวตน มีสัตว์ มีบุคคลจริงๆ เป็นความเห็นผิด ความจริงเป็นเพียงรูปธรรม และนามธรรม หรือกองแห่งขันธ์เท่านั้น
๒. ปีติ เป็นเจตสิกประเภทหนึ่ง เกิดร่วมกับอกุศลจิตก็ได้ เกิดร่วมกับกุศลจิตก็ได้ขณะที่ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้มีพระคุณ ขณะนั้นจิตเป็นกุศล แต่หลังจากนั้นจิตอาจเป็นอกุศลสลับก็ได้ ....
สาธุ
ขออนุโมทนาค่ะ
๑) ผมเข้าใจว่า การเห็นเป็นตัวตนไม่ใช่เพียงเห็นคนว่ามีตัวและเป็นตน แต่ยังรวมถีง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน คือขันธ์ ๕ ว่าเป็นตนที่จะมีการยีดมั่นถือมั่น แต่ทางธรรมะแล้ว ขันธ์ ๕ ก็เป็นเพียง รูปซี่งเป็นธาตุไม่รู้มี ๒๘ รูป และนามซี่งเป็นธาตุรู้อารมณ์คือจิตและเจตสิกทั้งหมด จีงมีแต่รูปและนามเท่านั้น หามีตัวตนสัตว์บุคคลไม่
๒) ขณะที่เกิดปิติหลังจากใส่บาตร ในขณะนั้นผมว่า ไม่ควรถามว่าเป็นบุญหรือบาป แต่ควรถามว่าเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะบุญบาปคือผลของกุศลหรืออกุศล ซี่งผลนั้นยังไม่น่าจะให้ผลทันที ในขณะที่รู้ตัวว่าปิติเกิด กุศลจิตดับไปนานแล้วจิตอาจเป็นอกุศลก็ได้ที่ชอบใจหรือดีใจ ถ้าผิดไปจากที่เข้าใจกรุณาแนะนำด้วยครับ
เรียนคุณชุน ข้อที่ ๒ ที่ว่าบุญหรือบาปเป็นผลของกุศลอกุศลไม่ถูกครับ เพราะบุญหรือบาปหมายถึงกุศลและอกุศลโดยตรง หรือบางนัยหมายถึง การกระทำทางกายวาจาใจที่เกิดจากกุศลหรืออกุศลครับ
ขออนุโมทนา .. ท่านผู้ถามและตอบ .. เป็นประโยชน์คะ
1. ทางธรรมะ ศึกษาเพื่อให้เห็นความเป็นจริงของสภาพธรรมะซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่ไม่ได้ติดกันเป็นกลุ่มก้อนอย่างที่กำลังยึดถือว่า ร่างกาย+จิตใจนี้ เป็นเรา เป็นของเราด้วยความเห็นผิด ความจริง ก็เป็นแต่เพียง รูปขันธ์กับนามขันธ์ เท่านั้น ซึ่งไม่ปะปนกันด้วย แต่เมื่อไม่ศึกษาก็ไม่รู้ความจริง ก็ยึดถือปะปนกันไปว่า "เป็นเรา" ตามที่สะสมมา ตามวิสัยของปุถุชน คือชาวโลกผู้ไม่รู้ความจริงของโลกครับ
2. ขณะจิตที่เป็นกุศลต้องต่างกับขณะจิตที่เป็นอกุศลแน่นอนครับ แต่ขณะจิตที่เป็นไปในทานนั้นเกิดเพียงสั้นๆ และก็อาจจะมีอกุศลเกิดแทรกสลับได้ด้วย เหตุนี้ ผู้อื่นจึงตอบให้ไม่ได้ครับ สติของผู้ที่กระทำกุศลเองเท่านั้น ที่จะระลึกรู้ได้ตามความเป็นจริง ว่าเป็นสภาพธรรมะชนิดใด ตรงตามลักษณะที่ปรากฏหรือไม่ เป็นสติที่ระลึกได้ในสภาพธรรมะนั้นจริงๆ หรือเป็นเพียงการคิดถึงชื่อของสภาพธรรมะที่ดับไปนานแล้ว ส่วนการรู้วาระจิตของจิตที่เป็นกุศล หรือ อกุศลนั้น เป็นกิจของปัญญา ถ้าไม่แน่ใจ หรือไม่รู้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ขณะนั้นปัญญาไม่เกิดครับ สภาพธรรมะทุกอย่างที่มีจริง ตรวจสอบ เทียบเคียงได้ด้วยการศึกษาพระธรรมครับ
ขอบคุณอาจารย์ประเชิญ ที่กรุณา ผมเข้าใจผิดไปหน่อยครับ คือเวลาได้รับอะไรดีๆ ก็คิดว่าเป็นบุญ เลยเข้าใจว่าบุญเป็นผลของกุศลที่ได้กระทำแล้ว บุญและบาปหมายถีง กุศลและอกุศลโดยตรงได้ และการกระทำทางกายวาจาใจที่เป็นกุศลและอกุศล คราวนี้เข้าใจแล้วครับ