อ.สุจินต์ : โอกาสอย่างนี้ ที่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว แต่ก่อนอื่น ไม่ลืมว่าพระองค์ทรงเป็นใคร แล้วเราฟังคำของพระองค์ จะสามารถเข้าใจคำที่พระองค์ตรัส อย่างพระปัญญาที่ตรัสคำนั้น ได้ง่ายไหม? สามารถที่จะค่อยๆ สะสมความเห็นถูก และกว่าที่จะได้รู้จะได้เข้าใจความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และทรงแสดง ต้องเป็น "เรื่องละ" คิดบ้างไหมที่จะละ?
วันนี้ตั้งแต่เช้า คงไม่ค่อยมีใครคิดเรื่องละ เพราะลืม แต่ถ้าฟังบ่อยๆ เราจะรู้จริงๆ ว่า "การละ" นำความสุขมาให้ แต่ว่า "ความติดข้อง" มีแต่แสวงหา แสวงหา แต่จะได้หรือไม่ได้ ได้มาแล้วก็หมดไป ที่สำคัญที่สุด หาตลอดชีวิต แล้วก็ไม่มี เพราะหมดไป คิดดู ในสังสารวัฏฏ์จะเหนื่อยมานานมากสักแค่ไหน แล้วหามาตลอดชีวิต อยากได้นั่น อยากได้นี่ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ได้มาแล้ว บางทีก็ไม่ค่อยสุขนัก จริงไหม? ตอนแรกก็คิดว่าจะสุขมากๆ แต่พอได้มาแล้ว ก็ไม่ค่อยจะสุขนัก หรืออาจจะทุกข์ ไม่สุขก็ได้
เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งซึ่งชัดเจนในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้เห็นโลกว่าเป็นอย่างนี้ แต่ความจริงของโลกคืออะไร? ถ้าเราไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริง เราก็ไม่รู้ว่า ทำไมเราเกิดมา เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเจ็บไข้ได้ป่วย เดี๋ยวก็แข็งแรง เดี๋ยวก็สนุกสนาน และเดี๋ยวก็ฟังธรรมะ ก็เป็นปรกติ ซึ่งไม่ใช่เรา ที่สำคัญที่สุด แม้เป็นปรกติ ก็ไม่ใช่เรา แต่กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา จะทำอย่างไรกับสิ่งที่ปรากฏตั้งแต่เกิด ทุกชาติ ในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเหมือนกับว่า ไม่มีอะไรจากไปเลย ตั้งแต่เล็กจนโต
หนทางนี้ เป็นหนทางที่จะละความยึดถือว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คือ อัตตา เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง ไม่ใช่ให้ไปรู้อย่างอื่น รู้สิ่งที่มี และสิ่งที่มีนี้ก็รู้ยากเหลือเกิน แค่บอกว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เรื่องราวก็เต็มหมดเลย กว่าจะเป็น "เพียงสิ่งที่ปรากฏ" เพราะฉะนั้น ก็เห็นกำลังของปัญญาว่า ถ้าได้ฟังธรรมะเข้าใจ นั่นคือ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา แม้ว่าจะมาถึงพระวิหารเชตวัน ก็ต้องเข้าใจธรรมะ จึงจะเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มต้นเข้าใจไป ไม่ใช่เรา ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา
ติดตามบันทึกการสนทนาต้นฉบับ ได้ที่ลิงก์นี้ :
ขออนุโมทนาครับ