[เล่มที่ 1] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 341
เวรัญชกัณฑวรรณนา
เรื่องปัญหาของพระสารีบุตร หน้า 341
พระวิปัสสีเป็นต้นหาได้ทรงบัญัติสิกขาบทไม่ หน้า 344
โอวาทปาฏิโมกขคาถา หน้า 345
ความต่างกันแห่งอายุกาลของพระวิปัสสี ฯ หน้า 352
เหตุที่พระพุทธเจ้าของเราเกิดในกาลแห่งคนมีอายุน้อย หน้า 353
ข้อที่จะถูกตำหนิในการบัญญัติสิกขาบท หน้า 355
เปรียบด้วยแพทย์ผู้ไม่ฉลาดทำการผ่าตัด หน้า 356
อธิบายเหตุที่ให้ทรงบัญญัติสิกขาบท หน้า 358
อรรถาธิบายคำว่า นิรพฺพุโท เป็นต้น หน้า 361
อาจิณณะความเคยประพฤติมามี ๒ อย่าง หน้า 363
พระพุทธเจ้าเสด็จเที่ยวจาริกไป ๓ มณฑล หน้า 364
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังนิเวศน์ของเวรัญช ฯ หน้า 370
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 1]
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 341
เรื่องปัญหาของพระสารีบุตร
บัดนี้ ท่านพระอุบาลี เมื่อจะแสดงการที่พระสารีบุตรเถระเกิดความรําพึง ที่ปฏิสังยุตด้วยสิกขาบท เพื่อแสดงนิทานตั้งต้นแต่เค้าเดิม แห่งการทรงบัญญัติพระวินัย จึงได้กล่าวคํามีอาทิ อถโข อายสฺมโต สารึปุตฺตสฺสดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รโหคตสฺส แปลว่า ไปแล้วในที่สงัด.
บทว่า ปฏิสลฺลีนสฺส แปลว่า หลีกเร้นอยู่ คือถึงความเป็นผู้โดดเดี่ยว.
บทว่า กตเมสานํ ความว่า บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระวิปัสสีเป็นต้น ที่ล่วงไปแล้ว ของพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน? พรหมจรรย์ชื่อว่าดํารงอยู่นาน เพราะอรรถว่า พรหมจรรย์นั้นดํารงอยู่ตลอดกาลนานหรือมีการดํารงอยู่นาน. คําที่ยังเหลือในบทว่า อถโข อายสฺมโต เป้นต้นนี้มีใจความเฉพาะบทตื้นทั้งนั้น.
ถามว่า ก็พระเถระ ไม่สามารถจะวินิจฉัยความปริวิตกของตนนี้ด้วยตนเองหรือ?
ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยต่อไป :-
พระเถระ ทั้งสามารถ ทั้งไม่สามารถ.จริงอยู่ พระสารีบุตรเถระนี้ ย่อมสามารถวินิจฉัยเหตุมีประมาณเท่านี้ได้คือธรรมดาศาสนาของพรพุทธเจ้าเหล่านี้ดํารงอยู่ไม่ได้นาน, ของพระพุทธเจ้าเหล่านี้ ดํารงอยู่ได้นาน แต่ท่านไม่สามารถจะวินิจฉัยเหตุนี้ว่า ศาสนาดํารงอยู่ไม่ได้นาน เพราะเหตุนี้ ดํารงอยู่ได้นาน เพราะเหตุนี้ ดังนี้.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 342
ส่วนพระมหาปทุมเถระ กล่าวไว้ว่า เหตุการณ์แม้นั่น ก็เป็นของไม่หนักแก่พระอัครสาวก ผู้ได้บรรลุที่สุดยอดแห่งปัญญา ๑๖ อย่างเลย, ส่วนการที่พระอัครสาวก ผู้อยู่ในสถานที่เดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทําการวินิจฉัยเสียเอง ก็เป็นเช่นกับการทิ้งตราชั่งแล้วกลับชั่งด้วยมือ ; เพราะเหตุนั้นพระเถระจึงเข้าไปเฝ้าทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียทีเดียว. ถัดจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงวิสัชนาคําทูลถามของพระเถระนั้น จึงตรัสพระดํารัสมีอาทิว่า ภควโต จ สารีปุตฺต วิปสฺสิสฺส ดังนี้. คํานั้นมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
พระเถระ เมื่อจะทูลถามถึงเหตุการณ์ต่อไปอีก จึงได้กราบทูลคํามีอาทิว่า โก นุ โข ภนฺเต เหตุ (ที่แปลว่า อะไรหนอแลเป็นเหตุพระเจ้าข้า!)
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก นุ โข ภนฺเต เป็นคําทูลถามถึงเหตุการณ์. ใจความแห่งบทนั้นว่า เหตุเป็นไฉนหนอแล พระเจ้าข้า!
คําทั้งสองนี้คือ เหตุ ปจฺจโย เป็นชื่อแห่การณ์ จริงอยู่ การณ์ท่านเรียกว่า เหตุ เพราะเป็นเครื่องไหลออก คือเป็นไปแห่งผลของการณ์นั้น.เพราะผลอาศัยการณ์นั้นแล้วจึงดําเนิน คือจึงเป็นไปได้ ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าปัจจัย. บทแม้ทั้งสองนี้ในที่นั้นๆ แม้เป็นอันเดียวกันโดยใจความถ้อยคํา ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น. คําที่เหลือในคําว่า โก นุ โข เป็นต้นนี้ ก็มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
[พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพราะบริษัทมีมากหรือน้อยก็หาไม่]
ก็เพื่อแสดงเหตุและปัจจัยนั้น ในบัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสพระดํารัสมีอาทิว่า สารีปุตฺต วิปสฺสี.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 343
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิลาสุโน อเหสํ ความว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระวิปัสสีเป็นต้น ไม่ทรงใฝ่พระทัยเพราะความเกียจคร้าน ก็หามิได้. จริงอยู่ ความเกียจคร้านก็ดี ความมีพระวิริยภาพย่อหย่อนก็ดี ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หามีไม่. เพราะว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่จักรวาลหนึ่งก็ดี สองจักรวาลก็ดี จักรวาลทั้งสิ้นก็ดี ย่อมทรงแสดงด้วยพระอุตสาหะเสมอกันทีเดียว ครั้นทอดพระเนตรเห็นบริษัทมีจํานวนน้อยแล้ว ทรงลดมีพระวิริยภาพลงก็หาไม่ ทั้งทอดพระเนตรเห็นบริษัทมีจํานวนมากแล้ว ทรงมีพระวิริยภาพมากขึ้นก็หาไม่. เหมือนอย่างว่า พญาสีหมฤคราชล่วงไป ๗ วัน จึงออกไปเพื่อหากิน ครั้นพบเห็นสัตว์เล็กหรือใหญ่ก็ตามย่อมวิ่งไปโดยเชาว์อันเร็ว เช่นเดียวกันเสมอ, ข้อนั้น เพราะเหตุแห่งอะไร?เพราะเหตุแห่งความใฝ่ใจว่า ความเร็วของเราอย่าได้เสื่อมไป ดังนี้ ฉันใดพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ฉันนั้น ย่อมทรงแสดงธรรมแก่บริษัท จะมีจํานวนน้อยหรือมากก็ตาม ก็ด้วยพระอุตสาหะเสมอกันทั้งนั้น, ข้อนั้น เพราะเหตุไร?เพราะเหตุแห่งความใฝ่พระทัยอยู่ว่า เหล่าชนผู้หนักในธรรมของเรา อย่าได้เสื่อมไป ดังนี้. จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงหนักในธรรม ทรงเคารพพระธรรมแล. เหมือนอย่างว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ได้ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร ดุจ (วลาหกเทวดา) ยังมหาสมุทรสาครให้เต็มเปียมอยู่ฉันใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระวิปัสสีเป็นต้นเหล่านั้น หาได้แสดงธรรมฉันนั้นไม่.
ถามว่า เพราะเหตุไร?
แก้ว่า เพราะความที่สัตว์ทั้งหลาย มีธุลี คือกิเลสในปัญญาจักษุน้อยเบาบาง.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 344
ดังได้สดับมาว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สัตว์ทั้งหลายมีอายุยืนนาน ได้เป็นผู้มีธุลีคือกิเลสในปัญญาจักษุน้อยเบาบาง. สัตว์เหล่านั้นพอได้สดับแม้พระคาถาเดียว ที่ประกอบด้วยสัจจะ ๔ ย่อมบรรลุธรรมได้ ;เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น จึงไม่ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร. ก็เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ นวังคสัตถุศาสน์ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น คือ สุตตะเคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละจึงได้มีน้อย. ความที่นวังคสัตถุศาสน์มีสุตตะเป็นต้น ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในคําว่าอปิปกฺจ เป็นต้นนั้น เป็นต่างๆ กัน ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในวรรณนาปฐมสังคีตินั้นแล.
[พระวิปัสสีเป็นต้นหาได้ทรงบัญญัติสิกขาบทเป็นต้นไม่]
หลายบทว่า อปฺปฺตฺตํ สาวกานํ สิกฺขาปทํ ความว่า สิกขาบทคือข้อบังคับด้วยอํานาจอาบัติ ๗ กอง ที่ควรทรงบัญญัติ โดยสมควรแก่โทษอันพระพุทธเจ้ามีพระวิปัสสีเป็นต้นเหล่านั้น ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ แก่พระสาวกทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ไม่มีโทษ.
สองบทว่า อนุทฺทิฏฺํ ปาฏิโมกฺขํ ความว่า พระปาฏิโมกข์คือข้อบังคับ ก็มิได้ทรงแสดงทุกกึ่งเดือน. พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้ทรงแสดงเฉพาะโอวาทปาฏิโมกข์เท่านั้น และแม้โอวาทปาฏิโมกข์นั้น ก็มิได้แสดงทุกกึ่งเดือน (๑) จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี ทรงแสดงโอวาทปฏิโมกข์๖ เดือนต่อครั้งๆ ก็แลโอวาทปาฏิโมกข์นั้น ทรงแสดงด้วยพระองค์เองทั้งนั้น.ส่วนพวกสาวกของพระองค์มิได้แสดงในที่อยู่ของตนๆ ภิกษุสงฆ์แม้ทั้งหมดในสกลชมพูทวีป กระทําอุโบสถ ในที่แห่งเดียวเท่านั้น คือในอุทยาน-
(๑) พระธรรมบัณฑิต (มานิต ถาวโร ป. ธ. ๙) วัดสัมพันธวงค์ แปล
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 345
เขมมฤคทายวันใกล้ราชธานี ชื่อพันธุมดี อันเป็นที่เสด็จประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี. ก็แล อุโบสถนั้นได้กระทําเป็นสังฆอุโบสถอย่างเดียวหาได้กระทําเป็นคณะอุโบสถ บุคคลอุโบสถ ปาริสุทธิอุโบสถ อธิษฐานอุโบสถไม่ ได้ทราบว่าในเวลานั้น ในชมพูทวีป มีวิหารแปดหมื่นสี่พันตําบลในวิหารแต่ละตําบนมีภิกษุอยู่เกลื่อนไป วิหารละหมื่นรูปบ้าง สองหมื่นรูปบ้างสามหมื่นรูปบ้าง เกินไปบ้าง.
[พวกเทวดาบอกวันทําอุโบสถแก่พวกภิกษุ]
พวกเทวดาผู้บอกวันอุโบสถ เที่ยวไปบอกในที่นั้นๆ ว่า ท่านผู้มีนิรทุกข์ทั้งหลาย! ล่วงไปแล้วปีหนึ่ง ล่วงไปแล้ว ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปี,นี้ปีที่หก เมื่อดิถีเดือนเพ็ญมาถึง พวกท่านควรไปเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้าและเพื่อทําอุโบสถ กาลประชุมของพวกท่านมาถึงแล้ว ในเวลานั้น พวกภิกษุผู้มีอานุภาพก็ไปด้วยอานุภาพของตน พวกนอกนี้ไปด้วยอานุภาพของเทวดา.
ถามว่า พวกนอกนี้ไปด้วยอานุภาพของเทวดาได้อย่างไร?
ตอบว่า ได้ทราบว่า ภิกษุเหล่านั้นผู้อยู่ใกล้สมุทรทางทิศปราจีนหรือใกล้สมุทรทางทิศปัจฉิม อุดร และทักษิณ บําเพ็ญคมิยวัตร แล้วถือเอาบาตรและจีวรยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า จะไป. พร้อมด้วยจิตตุปบาท พวกเธอก็เป็นผู้ไปสู่โรงอุโบสถทีเดียว. พวกเธอถวายอภิวาทพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่งอยู่.
[โอวาทปาฏิโมกขคาถา]
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ ในบริษัทผู้นั่งประชุมกันแล้วว่า
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 346
ความอดทน คือความอดกลั้น เป็นธรรมเผาบาปอย่างยิ่ง ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมกล่าวพระนิพพานว่าเป็นเยี่ยม ผู้ทําร้ายผู้อื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย ผู้เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ.
ความไม่ทําบาปทั้งสิ้น ความยังกุศลให้ถึงพร้อม ความทําจิตของตนให้ผ่องใสนี้เป็นคําสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
ความกล่าวร้าย ๑ ความไม่ทําร้าย๑ ความสํารวมในพระปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ ความประกอบโดยเอื้อเฟื้อในอธิจิต ๑ นี้เป็นคําสอนของพระพุทธ-ทั้งหลาย (๑)
พึงทราบปาฏิโมกขุทเทสของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แม้นอกนี้ โดยอุบายนี้นั่นแล. จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีพระโอวาทปาฏิโมกขคาถาเพียง ๓ คาถานี้เท่านั่น. คาถาเหล่านั้น ย่อมมาสู่อุเทศจนถึงที่สุดแห่งพระศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้มีพระชนมายุยืนยาวนานทั้งหลาย. แต่สําหรับพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุน้อยทั้งหลาย คาถาเหล่านั้นมาสู่อุเทศเฉพาะในปฐมโพธิกาลเท่านั้น. ด้วยว่า จําเดิมตั้งแต่เวลาทรงบัญญัติสิกขาบทมา ก็แสดงเฉพาะอาณาปาฏิโมกข์เท่านั้น. ก็แลอาณาปาฏิโมกข์นั้น พวกภิกษุเท่านั้นแสดง
(๑) ที่. มหา. ๑๐/๕๗
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 347
พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาทรงแสดงไม่. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ของพวกเรา ก็ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นี้ตลอดเวลาเพียง ๒๐ พรรษา ในปฐมโพธิกาลเท่านั้น.
[เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงทําอุโบสถและปาฏิโมกข์]
ต่อมาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งอยู่ที่ปราสาทของมิคารมารดา ในบุพพาราม ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ภิกษุทั้งหลาย!ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจักไม่ทําอุโบสถ จักไม่แสดงปาฏิโมกข์, ภิกษุทั้งหลาย!ต่อแต่นี้ไปพวกเธอเท่านั้น พึงทําอุโบสถ พึงแสดงปาฏิโมกข์, ภิกษุทั้งหลาย!มิใช่ฐานะมิใช่โอกาสที่พระตถาคตจะพึงทําอุโบสถ พึงแสดงปาฏิโมกข์ ในบริษัท ผู้ไม่บริสุทธิ์ (๑)
ตั้งแต่นั้นมาพวกภิกษุก็แสดงอาณาปาฏิโมกข์. อาณาปาฏิโมกข์นี้เป็นของอันพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ มีพระวิปัสสีเป็นต้น ไม่ทรงยกขึ้นแสดงแก่ภิกษุเหล่านั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคําว่าอนุทฺทิฏฺํปาฏิโมกฺขํ.
[เหตุให้พระศาสนาดํารงอยู่ไม่นานและนาน]
คําว่า เตสํ พุทฺธานํ ความว่า แห่งพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์มีพระวิปัสสีเป็นต้นเหล่านั้น. บทว่า อนฺตรธาเนน คือ เพราะขันธ์อันตรธานไป, มีอธิบายว่า เพราะปรินิพพาน. บทว่า พุทฺธานุพุทฺธานํ ความว่าและเพราะความอันตรธานไปแห่งขันธ์ ของเหล่าพระสาวกผู้ได้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น คือพระสาวกผู้ยังทันเห็นพระศาสดา. คําว่า เย เตปจฺฉิมา สาวกา ความว่า เหล่าปัจฉิมสาวกผู้บวชในสํานัก ของพวกสาวก
(๑) วิ. จุลฺล. ๗ /๒๙๒.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 348
ผู้ทันเห็นพระศาสดา, บทว่า นานานามา ความว่า มีชื่อต่างๆ กัน ด้วยอํานาจชื่อมีอาทิว่า พุทธรักขิต ธรรมรักขิต สังฆรักขิต. บทว่า นานาโคตฺตาความว่า มีโคตรต่างๆ กัน ด้วยอํานาจโคตรมีอาทิว่า โคตมะ โมคคัลลานะ.บทว่า นานาชจฺจา คือมีชาติต่างๆ กัน ด้วยอํานาจชาติมีอาทิว่า กษัตริย์พราหมณ์. สองบทว่า นานากุลา ปพฺพชิตา ความว่า ออกบวชจากตระกูลต่างๆ กัน ด้วยอํานาจตระกูลกษัตริย์เป็นต้น หรือด้วยอํานาจตระกูลมีตระกูลสูงตระกูลต่ํา ตระกูลมีโภคะโอฬาร และไม่โอฬารเป็นต้น. คําว่า เต ตํพฺรหฺมจริยํ ความว่า เพราะปัจฉิมสาวกเหล่านั้น ทําในใจว่า พวกเรามีชื่อเดียวกัน มีโคตรเดียวกัน มีชาติเดียวกัน บวชจากตระกูลเดียวกัน ศาสนาเป็นแบบแผนประเพณีของพวกเรา จึงช่วยกันรักษาพรหมจรรย์ทําให้เป็นภาระของตน บริหารพระปริยัติธรรมไว้ให้นาน แต่ปัจฉิมสาวกเหล่านี้ ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น พวกเธอจึงเบียดเบียนกัน ถือความเห็นขัดแย้งกันทําย่อหย่อนด้วยถือเสียว่า พระเถระโน้นจักรู้ พระเถระโน้นจักทราบ พึงยังพรหมจรรย์นั้นให้อันตรธานไปพลันทีเดียว คือไม่ยกขึ้นสู่การสังคายนารักษาไว้. คําว่า เสยฺยถาปิ เป็นการแสดงไขเนื้อความนั้นโดยข้ออุปมา บทว่าวิกีรติ แปลว่า ย่อมพัดกระจาย. บทว่า วิธมติ แปลว่า ย่อมพัดไปสู่ที่อื่น.บทว่า วิทฺธํ เสติ แปลว่า ย่อมพัดออกไปจากที่ตั้งอยู่. คําว่า ยถาตํสุตฺเตน อสงฺคติตฺตา ความว่า ลมย่อมพัดกระจายไปเหมือนพัดดอกไม้เรี่ยราย เพราะไม่ได้ร้อย เพราะไม่ได้ผูกด้วยด้ายฉะนั้น. มีคําอธิบายว่า (ดอกไม้ทั้งหลาย) ที่มิได้ควบคุมด้วยด้าย ย่อมถูกลมพัดกระจัดกระจายไปฉันใด ย่อมเรี่ยรายไปฉันนั้น. คําว่า เอวเมว โข เป็นการยังข้ออุปไมยให้ถึงพร้อม. บทว่า อนฺตรธาเปสํ ความว่า (พวกสาวกภายหลัง) เมื่อไม่
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 349
สงเคราะห์ (คือสังคายนาเป็นหมวดหมู่) ด้วยวัคคสังคหะและปัณณาสสังคหะเป็นต้น ถือเอาแต่พรหมจรรย์กล่าวคือปริยัติธรรมที่ตนชอบใจเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้พินาศไป คือนําไปสู่ความไม่ปรากฏ.
ข้อว่า กิลาสุโน จ เต ภควนฺโต อเหสํ สาวกานํ เจตสาเจโต ปริจฺจ โอทิตํ มีความว่า ดูก่อนสารีบุตร! อีกอย่างหนึ่งพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงไม่ใฝ่พระหฤทัย เพื่อจะทรงกะ คือกําหนดใจของพวกสาวกด้วยพระหฤทัยของพระองค์ แล้วทรงสั่งสอน คือทรงทราบจิตของผู้อื่นแล้ว ทรงแสดการแนะนําพร่ําสอน โดยไม่เป็นภาระหนัก โดยไม่ชักช้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระดํารัสเป็นต้นว่า ภูตปุพฺพํ สารีปุตฺต ดังนี้ เพื่อประกาศความที่ พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงไม่ใฝ่พระหฤทัย. บทว่า ภึสนเก คือ น่าพึงกลัว ได้แก่ ให้เกิดความน่าสยดสยอง. คําว่า เอวํ วตกฺเกถ ความว่าพวกเธอจงตรึกกุศลวิตก ๓ มีเนกขัมมวิตกเป็นต้น. คําว่า มา เอวํ วิตกฺกยิตฺถความว่า พวกเธออย่าได้ตรึกอกุศลวิตก ๓ มีกามวิตกเป็นต้น. คําว่า เอวํมนสิ กโรถ ความว่า พวกเธอจงกระทําไว้ในใจว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา ไม่สวยไม่งาม. ข้อว่า มา เอวํ มนสากตฺถ ความว่า พวกเธออย่ากระทําในใจว่า เที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา สวยงาม. คําว่า อิทํ ปชหถคือจงละอกุศล. คําว่า อทํ อุปสมฺปชฺช วิหรถ ความว่า พวกเธอจงเข้าถึงกลับได้ คือให้กุศลสําเร็จอยู่เถิด. ข้อว่า อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิวิมุจฺจึสุ คือหลุดพ้นแล้ว เพราะไม่ถือมั่น. จริงอยู่ จิตของพระสาวกเหล่านั้นหลุดพ้นจากอาสวะเหล่าใด จิตเหล่านั้นหลุดพ้นแล้ว เพราะไม่ถือมั่นอาสวะเหล่านั้น (๑) ก็อาสวะทั้งหลายดับไปอยู่ด้วยความดับ คือความไม่เกิดขึ้น ชื่อว่า
(๑) สารตฺถทีปนี. ๑/๖๙๘ แนะให้แปลว่า จริงอยู่ จิตทั้งหลายของพระสาวกเหล่านั้น อันอาสวะเหล่าใดหลุดพ้นไปแล้ว อาสวะเหล่านั้นชื่อว่าหลุดพ้นไปแล้ว เพราะไม่ยึดถือจิตเหล่านั้นด้วยสามารถแห่งอารมณ์.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 350
หลุดพ้นแล้ว เพราะไม่ถือมั่น (๑) เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าอนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสุ.
ภิกษุเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว เป็นผู้มีจิตเบิกบานเหมือนปทุมวันอันต้องแสงพระอาทิตย์ฉะนั้น.
ในข้อว่า ตตฺร สุทํ สารีปุตฺต ภึสนกสฺส วนสณฺฑสฺสภึสนกตสฺมึ โหติ นี้ คําว่า ตตฺร เป็นคํากล่าวเพ่งถึงคําต้น. คําว่า สุทํเป็นนิบาตลงในอรรถเพียงทําบทให้เต็ม. บทว่า สารีปุตฺต เป็นอาลปนะ.ก็ในคําว่า ตตฺร สุทํ เป็นต้นนี้ มีอรรถโยชนาดังต่อไปนี้ :- บทว่า ตตฺรความว่าแห่งไพรสณฑ์อันน่าพึงกลัว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า ภิสนกะในพระดํารัสที่พระองค์ตรัสไว้ว่า อฺตรสฺมึ ภึสนเก วนสณฺเฑ.อธิบายว่า ภาวะอันน่าพึงกลัว ชื่อว่า ความน่าสยดสยองมีในภาวะน่าสยดสยองคือในการทําให้หวาดกลัว. ถามว่า เป็นอย่างไร? ตอบว่า เป็นอย่างนี้คือผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งยังไม่ปราศจากราคะ เข้าไปสู่ไพรสณฑ์นั้นโดยมาก โลมชาติย่อมชูชัน. อีกอย่างหนึ่ง คําว่า ตตฺร เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ.ศัพท์ว่า สุ เป็นนิบาต ดุจในประโยคทั้งหลายมีอาทิว่า กึสุ นาม เตโภนฺโต สมณพฺราหฺมณา แปลว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ชื่ออย่างไรซิ. บทว่า อิทํ บัณฑิตพึงเห็นว่า เป็นคําแสดงความหมายตามที่ประสงค์ดุจทําให้เห็นได้ชัด. คําว่า สุ อิทํ สนธิเข้าเป็น สุทํ. พึงทราบว่าลบอิอักษรด้วยอํานาจแห่งสนธิ เหมือนในประโยคทั้งหลายมีอาทิว่า จกฺขุนทฺริยํ อิตฺถินฺทฺริยํ อนฺตฺสฺสามีตินฺทฺริยํ กึสูธ วิตฺตํ แปลว่า
(๑) โยชนาปาฐ ๑/๑๙๖ เป็น อนุปาทนิโรเธน ปน อนุปปาทสงฺขาดนิโรธวเสน นิรุชฌมาเนอาสเว อตฺตานิ วิมุจฺจึสุ แปลว่า ก็จิตทั้งหลายหลุดพ้นแล้ว เพราะไม่ยึดถืออาสวะทั้งหลายที่ดับไปอยู่ด้วยความดับ กล่าวคือ ความไม่เกิดขึ้นอีก.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 351
อินทรีย์ คือจักษุ อินทรีย์ คือหญิง อินทรีย์ คือความตั้งใจว่า จักรู้พระอรหัตที่ยังไม่รู้ อะไรซิ เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจในโลกนี้. ก็ในคํานี้มีอรรถโยชนาดังต่อไปนี้ : - ดูก่อนสารีบุตร ! ในเพราะความที่ไพรสณฑ์อันน่าพึงกลัวนั้นเป็นถิ่นน่าสยดสยอง จึงมีคําพูดกันดังนี้แล, บทว่า ภึสนกตสฺมึ ความว่าในเพราะไพรสณฑ์เป็นถิ่นที่น่ากลัว. พึงเห็นว่าลบตะอักษรไปตัวหนึ่ง. อนึ่งพระบาลีว่า ภึสนกตฺตสฺมึ ดังนี้ก็มี. อนึ่ง ในเมื่อควรจะกล่าวเป็นอิตถีลิงค์ว่าภึสนกตาย ท่านก็ทําให้เป็นลิงควิปัลลาส. ก็ในคําว่า ภึสนกตสฺมึ นี้เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในอรรถแห่งนิมิต. เพาะฉะนั้น พึงเห็นสัมพันธ์อย่างนี้ว่าคํานี้แลย่อมมีในเพราะความที่ไพรสณฑ์น่าพึงกลัว เป็นถิ่นที่มีความสยดสยองเป็นนิมิต คือมีคําพูดนี้แล เพราะมีความสยดสยองเป็นเหตุ เพราะมีความสยดสยองเป็นปัจจัย ข้อว่า ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งยังไม่ปราศจากราคะเข้าไปสู่ไพรสณฑ์นั้น โดยมาก โลมชาติย่อมชูชัน ความว่า ขนเป็นอันมากกว่ามาก ย่อมชูชันคือตั้งปลายขึ้นเป็นเช่นกับเข็มและเป็นเช่นกับหนาม จํานวนน้อยไม่ชูชัน อนึ่งโลมชาติของสัตว์จํานวนมากกว่ามากย่อมชูชัน แต่ของคนผู้กล้าหาญยิ่งน้อยคนย่อมไม่ชูชัน.
บัดนี้ คํามีว่า อยํ โข สารีปุตฺต เหตุ เป็นต้น เป็นคํากล่าวย้ำ.ส่วนคําที่ข้าพเจ้ามิได้กล่าวไว้ในระหว่างๆ ในพระบาลีนี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้นเพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบตามลําดับแห่งพระบาลีนั้นแล. แต่พระดํารัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ไม่ดํารงอยู่นาน บัณฑิตพึงทราบว่า พระองค์ตรัสด้วยอํานาจแห่งยุคของคน.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 352
[ความต่างกันแห่งอายุกาลของพระวิปัสสีพุทธเจ้าเป็นต้น]
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสีโดยการนับปี มีพระชนมายุแปดหมื่นปี แม้พวกสาวกที่พร้อมหน้าของพระองค์ ก็อายุประมาณเท่านั้นปีเหมือนกัน. พรหมจรรย์ (ศาสนา) สืบต่อด้วยสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายเขาทั้งหมด ตั้งอยู่ได้ตลอดแสนหกหมื่นปี ด้วยประการอย่างนี้.แต่โดยอํานาจแห่งยุคคน พรหมจรรย์ได้ตั้งอยู่ต่อมา ด้วยความสืบต่อกันแห่งยุคตลอดยุคคน ๒ ยุคเท่านั้น. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าไม่ดํารงอยู่นาน. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านามว่าสิขี มีพระชนมายุเจ็ดหมื่นปี แม้พวกสาวกพร้อมหน้าของพระองค์ ก็มีอายุประมาณเท่านั้นเหมือนกัน.พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า เวสภู มีพระชนมายุหกหมื่นปี แม้วกสาวกอยู่พร้อมหน้าของพระองค์ ก็มีอายุประมาณเท่านั้นปีเหมือนกัน. พรหมจรรย์ (ศาสนา) สืบต่อด้วยสาวกองค์สุดท้ายเขาทั้งหมด แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาว่าสิขีและเวสภูแม้นั้นตั้งอยู่ต่อมาได้ประมาณแสนสี่หมื่นปี และประมาณแสนสองหมื่นปี. แต่ว่าโดยอํานาจแห่งยุคคน พรหมจรรย์ตั้งอยู่ต่อมาได้ด้วยการสืบต่อแห่งยุค ตลอดยุคคน ๒ ยุคเท่ากันๆ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดํารงอยู่ไม่นาน.
ท่านพระสารีบุตร ฟังเหตุแห่งการดํารงอยู่ไม่นานแห่งพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์อย่างนี้แล้ว มีความประสงค์จะฟังเหตุแห่งการดํารงอยู่ได้นาน แห่งพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์นอกนี้ จึงได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก โดยนัย มีอาทิว่า ก็ อะไรเป็นเหตุ พระเจ้าข้า!.แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงพยากรณ์แก่ท่าน. คําพยากรณ์นั้นแม้ทั้งหมดพึงทราบด้วยอํานาจนัยที่ตรงกันข้ามจากที่กล่าวแล้ว. และแม้ในความดํารงอยู่
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 353
นาน ในคําพยากรณ์นั้น บัณฑิตพึงทราบความดํารงอยู่นาน โดยเหตุทั้งสองคือโดยประมาณแห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นบ้าง โดยยุคแห่งตนบ้าง. ความพิสดารว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากกุสันธะ มีพระชนมายุสี่หมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าโกนาคมน์ มีพระชนมายุสามหมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัสสป มีพระชนมายุสองหมื่นปีแม้พระสาวกพร้อมหน้าทั้งหลายของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ก็มีอายุเท่านั้นปีเหมือนกัน. และยุคแห่งสาวกเป็นอันมากของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น จักพรหมจรรย์ให้เป็นไป โดยความสืบต่อกันมา. พรหมจรรย์ดํารงอยู่นานโดยเหตุทั้งสองคือโดยประมาณแห่งพระชนมายุ ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นบ้าง โดยยุคแห่งสาวกบ้าง ด้วยประการฉะนี้.
[เหตุที่พระพุทธเจ้าของเราเกิดในกาลแห่งคนมีอายุน้อย]
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา ควรจะเสด็จอุบัติขึ้นในกาลแห่งคนมีอายุหมื่นปี ซึ่งเท่ากับอายุกึ่งหนึ่ง แห่งพระชนมายุของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ไม่ถึงกาลแห่งคนมีอายุหมื่นปีนั้น ก็ควรจะเสด็จอุบัติขึ้นในกาลแห่งคนมีอายุห้าพันปี หรือในกาลแห่งคนมีอายุหนึ่งพันปี หรือแม้ในกาลแห่งคนมีอายุห้างร้อยปี แต่เพราะเมื่อพระองค์ทรงเสาะหา คือแสวงหาธรรมอันกระทําความเป็นพระพุทธเจ้า ทรงยังญาณให้แก่กล้า ให้ตั้งครรภ์ (เพื่อตลอดคุณพิเศษ) ญาณได้ถึงความแก่กล้า ในกาลแห่งคนมีอายุร้อยปี เพราะฉะนั้น พระองค์จึงเสด็จอุบัติขึ้น ในกาลแห่งคนมีอายุน้อยเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ควรกล่าวได้ว่า พรหมจรรย์แม้ดํารงอยู่ได้นาน ด้วยอํานาจความสืบต่อกันแห่งพระสาวกของพระองค์ แต่ก็ดํารงอยู่ได้ไม่นานโดยการนับปี ด้วยอํานาจปริมาณแห่งอายุเหมือนกัน.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 354
[พระสารีบุตรทูลขอให้ทรงบัญญัติสิกขาบท]
ถามว่า ในคําว่า อถโข อายสฺมา สารีปุตฺโต มีอะไรเป็นอนุสนธิ. ตอบว่า คือ ท่านพระสารีบุตร ครั้นได้ฟังเหตุการณ์ดํารงอยู่นานแห่งพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์อย่างนี้แล้ว ถึงความตกลงใจว่าการบัญญัติสิกขาบทเท่านั้น เห็นเหตุแห่งความดํารงอยู่ได้นาน เมื่อปรารถนาความดํารงอยู่นาน แห่งพรหมจรรย์ แม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลวิงวอนขอการบัญญัติสิกขาบทกะพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระอุบาลีเถระกล่าว คําว่าอถโข อายสฺมา สารีปุตฺโต อุฏฺายาสนา ฯเปฯ จิรฏฺิติก นี้เพื่อแสดงวิธีทูลวิงวอนของการบัญญัติสิกขาบทนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่าอทฺธนิยํ คือ ควรแก่กาลนาน มีคําอธิบายว่า มีกาลยาวนาน. คําที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
[พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามท่านพระสารีบุตร]
ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกาศแก่พระสารีบุตรนั้นว่า เวลานี้ ยังไม่เป็นกาลแห่งอันบัญญัติสิกขาบทก่อน จึงตรัสว่า อาคเมหิตฺวํ สารีปุตฺต ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น คําว่า อาคเมหิ ตฺวํความว่า เธอจงรอก่อน มีคําอธิบายว่า เธอจงยับยั้งก่อน. ก็คํานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสซ้ำสองครั้ง ด้วยอํานาจความเอื้อเฟื้อ. ด้วยคําว่า อาคเมหิเป็นต้นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามความที่การบัญญัติสิกขาบท เป็นวิสัยของพระสาวก เมื่อจะทรงทําให้แจ้งว่า การบัญญัติสิกขาบทเป็นพุทธวิสัยจึงตรัสคําว่า ตถาคโตว เป็นต้น. ก็ในคําว่า ตถาคโตว นี้ คําว่า ตตฺถเป็นสัตตมีวิภัตติ เพ่งถึงการอ้อนวอน ขอให้ทรงบัญญัติสิกขาบท. ในคําว่า
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 355
ตถาคโตว นั้น มีโยชนาดังต่อไปนี้ :- ในคําที่เธอกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงบัญญัติสิกขาบทนั้น พระตถาคตเท่านั้นจักรู้กาลแห่งอันบัญญัติสิกขาบทนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสอย่างนี้แล้วเพื่อจะแสดงสมัยมิใช่กาลก่อน จึงตรัสคํามีอาทิว่า น ตาว สารีปุตฺต ดังนี้. ในคําว่า น ตาวสารีปุตฺต เป็นต้นนั้นมีวินิจฉัยว่า อาสวะทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ในธรรมเหล่านี้เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่า เป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ, อีกอย่างหนึ่งธรรมทั้งหลายอันอาสวะพึงตั้งอยู่ คือไม่พึงผ่านเลยไป เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่า เป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ, อธิบายว่า อาสวะคือทุกข์ และอาสวะคือกิเลส อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและในสัมปรายภพ อาสวะมีการค่อนขอดของคนอื่น ความวิปฏิสาร การฆ่าและการจองจําเป็นต้น และอาสวะอันเป็นทุกข์พิเศษในอบาย ย่อมตั้งอยู่นั่นเทียว ในวิติกกมธรรมเหล่าใด เพราะวีติกกมธรรมเหล่านั้น เป็นเหตุแห่งอาสวะมีอาสวะอันเป็นไปในทิฏฐธรรมเป็นต้นเหล่านั้น.
(๑) วาจาสําหรับประกอบในคําว่า น ตาว เป็นต้นนี้ ดังนี้ว่า วีตกกมธรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะเหล่านั้น ยังไม่มีปรากฏในสงฆ์เสียงใดพระศาสดาจะไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลายเพียงนั้น. ก็ถ้าพึงบัญญัติไซร้ ไม่พึงพ้นจากความค่อนขอดของผู้อื่น จากความคัดค้านของผู้อื่น จากโทษคือความติเตียน,
[ข้อที่จะถูกตําหนิในการบัญญัติสิกขาบท]
ถามว่า ไม่พึงพ้นอย่างไร? ตอบว่า จริงอยู่ สิขาบททั้งปวงมีอาทิว่า โย ปน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมมํ ปฏิสเวยฺย ดังนี้ พึงเป็นสิกขาบท
(๑) องค์การศึกษาแผนกบาลี แปลออกสอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๘๐
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 356
อันพระศาสดาผู้จะบัญญัติ ควรบัญญัติ. ฝ่ายชนเหล่าอื่นไม่เห็นวีติกกมโทษแต่รู้พระบัญญัตินี้ จะพึงยังความค่อนขอด ความคัดค้านและความติเตียนให้เป็นไปอย่างนี้ว่า นี่อย่างไรกัน พระสมณโคดมจักผูกมัดด้วยสิกขาบททั้งหลายจักบัญญัติปาราชิก ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า ภิกษุสงฆ์ยอมตามเรา ทําตามคําของเรา กุลบุตรเหล่านี้ละกองโภคะใหญ่ละเครือญาติใหญ่ และละแม้ซึ่งราชสมบัติอันอยู่ในเงื้อมมือบวช เป็นผู้สันโดษด้วยความเป็นผู้มีอาหารและเครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างยิ่ง มีความเคารพจัดในสิกขา ไม่ห่วงใยในร่างกายและชีวิตอยู่มิใช่หรือ ในกุลบุตรเหล่านั้น ใครเล่า จักเสพเมถุนซึ่งเป็นโลกามิสหรือจักลักของๆ ผู้อื่น หรือจักเข้าไปตัดชีวิตของผู้อื่น ซึ่งเป็นของปรารถนารักใคร่หวานยิ่งนัก หรือจักสําเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยอวดคุณที่ไม่มี, เมื่อปาราชิกแม้ไม่ทรงบัญญัติไว้ สิกขาบทนั่นเป็นอันพระองค์ทรงทําให้ปรากฏแล้ว โดยสังเขปในบรรพชานั่นเอง มิใช่หรือ? ชนทั้งหลายไม่ทราบเรี่ยวแรง และกําลังแม้แห่งพระตถาคต, สิขาบทแม้ที่ทรงบัญญัติไว้ จะพึงกําเริบ คือไม่คงอยู่ในสถานเดิม.
[เปรียบด้วยแพทย์ผู้ไม่ฉลาดทําการผ่าตัด]
แพทย์ผู้ไม่ฉลาด เรียกบุรุษบางคน ซึ่งหัวฝียังไม่เกิดขึ้นมาแล้วบอกว่า มานี่แน่ะ พ่อมหาจําเริญ! หัวฝีใหญ่จักเกิดขึ้นในสรีระประเทศตรงนี้ของท่าน, จักยังความเสื่อมฉิบหายให้มาถึงท่าน, ท่านจงรีบให้หมอเยียวยามันเสียเถิด ดังนี้ ผู้อันบุรุษนั้นกล่าวว่า ดีละ ท่านอาจารย์! ท่านนั่นแหละจงเยียวยามันเถิด จึงผ่าสรีรประเทศซึ่งหาโรคมิได้ของบุรุษนั้น คัดเลือดออกแล้วทําสรีรประเทศตรงนั้นให้กลับมีผิวดีด้วยยาทาและพอก และการชะล้างเป็นต้นแล้ว จึงกล่าวกะบุรุษนั้นว่า โรคใหญ่ของท่าน เราได้เยียวยาแล้ว ท่านจง
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 357
ให้บําเหน็จแก่เรา. บุรุษนั้น พึงค่อนขอด พึงคัดค้าน และพึงติเตียนนายแพทย์อย่างนี้ว่า หมอโง่นี้พูดอะไร ได้ยินว่าโรคชนิดไหนของเรา ซึ่งหมอโง่นี้ได้เยียวยาแล้ว, หมอโง่นี้ทําทุกข์ให้เกิดแก่เรา และทําให้เราต้องเสียเลือดไปมิใช่หรือ ดังนี้ และไม่พึงรู้คุณของหมอนั้น ข้อนี้ ชื่อแม้ฉันใด, ถ้าเมื่อวีติกกมโทษยังไม่เกิดขึ้น พระศาสดา พึงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกไซร้พระองค์ไม่พึงพ้นจากอนิฏฐผล มีความค่อนขอดของผู้อื่นเป็นต้น และชนทั้งหลายจะไม่พึงรู้กําลังพระปรีชาสามารถของพระองค์ ฉันนั้นนั่นแล และสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว จะพึงกําเริบ คือไม่ตั้งอยู่ในสถานเดิม. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า น ตาว สารีปุตฺต สตฺถา สาวภานํฯเปฯ ปาตุภวนฺติ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกาลอันไม่ควรอย่างนี้แล้ว จึงตรัสคําว่า ยโต จ โข สารีปุตฺต เป็นอาทิ เพื่อแสดงกาลอีก.บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต คือเมื่อใด มีคําอธิบายว่า ในกาลใด.คําที่เหลือ พึงทราบโดยทํานองที่กล่าวแล้วนั่นแล. *
อีกนัยหนึ่ง ในคําว่า ยโต เป็นต้นนี้ มีความสังเขปดังต่อไปนี้ :-วีติกกมโทษอันถึงซึ่งการนับว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ ย่อมมีปรากฏในสงฆ์ในกาลชื่อใด, ในกาลนั้น พระศาสนา ย่อมทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พวกสาวกย่อมทรงแสดงปาฏิโมกข์, เพราะเหตุไร? เพราะเพื่อกําจัดวีติกกมโทษเหล่านั้นนั่นแล อันถึงซึ่งการนับว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ, พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงบัญญัติอย่างนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่ควรค่อนขอดเป็นต้น และเป็นผู้มีอานุภาพปรากฏ ในสัพพัญูวิสัยของพระองค์ ย่อมถึงสักการะ และสิกขาบทของพระองค์นั้นย่อมไม่กําเริบ คือตั้งอยู่ในสถานเดิม, เปรียบเหมือนนายแพทย์ผู้ฉลาดเยียวยาหัวฝีที่เกิดขึ้นแล้วด้วยการผ่าตัดพอกยาพันแผลและชะล้างเป็นต้น
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 358
ทําให้สบายมีผิวดี เป็นผู้ไม่ควรค่อนขอดเป็นต้นเลย และเป็นผู้มีอานุภาพปรากฏในเพราะกรรมแห่งอาจารย์ของตน ย่อมประสบสักการะฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสความเกิดขึ้น และความเกิดขึ้นแห่งธรรมเป็นที่ตั้งของอาสวะ อกาลและกาลแห่งอันบัญญัติสิกขาบทอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อแสดงกาลยังไม่เกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่านั้นแลจึงตรัสคําว่า น ตาว สารปุตฺต อิเธกจฺเจ เป็นต้น. ในคําว่า ตาวเป็นต้นนั้น บททั้งหลายที่มีอรรถตื้น พึงทราบด้วยอํานาจพระบาลีนั่นแล.ส่วยการพรรณนาบทที่ไม่ตื้นดังต่อไปนี้ :-
[อธิบายเหตุที่ให้ทรงบัญญัติสิกขาบท]
ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า รัตตัญู เพราะอรรถว่า รู้ราตรีนาน คือรู้ราตรีเป็นอันมากตั้งแต่วันที่ตนบวชมา, มีอธิบายว่า บวชมานาน. ความเป็นหมู่ด้วยพวกภิกษุผู้รู้ราตรีนาน ชื่อว่า รัตตัญุมหัตตะ. อธิบายว่าความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยพวกภิกษุผู้บวชมานาน.
(๑) บัณฑิตพึงทราบว่า สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภพระอุปเสนวังคันตบุตรบัญญัติ เพราะสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยภิกษุผู้รู้ราตรีนาน ในบรรดาความเป็นหมู่ใหญ่เหล่านั้น, จริงอยู่ ท่านผู้มีอายุนั้นได้เห็นภิกษุทั้งหลาย ผู้มีพรรษาหย่อนสิบให้อุปสมบทอยู่ ตนมีพรรษาเดียวจึงให้สัทธิวิหาริกอุปสมบทบ้าง. ครั้งนั้นแล พระผู้พระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิขาบทว่า ภิกษุทั้งหลาย! กุลบุตรอันภิกษุผู้มีพรรษาหย่อนสิบ ไม่พึงให้อุปสมบท, ภิกษุใดพึงให้อุปสมบท ปรับอาบัติทุกกฎแก่ภิกษุนั้น๑เมื่อสิกขาบท
(๑) องค์การศึกษาแผนกบาลีแปลออกสอบสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๘๒ - ๘๕๑ วิ. มหา. ๔/๑๐๙.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 359
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลายผู้โง่เขลาไม่ฉลาด คิดว่า เราได้สิบพรรษา เรามีพรรษาครบสิบ จึงให้อุปสมบทอีก.ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงบัญญัติสิกขาบทแม้ซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่าภิกษุทั้งหลาย! กุลบุตรอันภิกษุผู้มีพรรษาครบสิบ แต่เป็นผู้โง่ ไม่ฉลาดไม่พึ่งให้อุปสมบท ภิกษุใดพึงให้อุปสมบท ปรับอาบัติทุกกฏ แก่ภิกษุนั้นภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด สามารถมีพรรษาสิบหรือเกินกว่าสิบ ให้อุปสมบทได้ (๑) ในการที่สงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยภิกษุผู้รู้ราตรีนานได้ทรงบัญญัติสองสิกขาบท
บทว่า เวปุลฺลมหตฺตํ มีความว่า ความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยความเป็นหมู่แพร่หลาย จริงอยู่ สงฆ์ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยความเป็นหมู่แพร่หลาย ด้วยอํานาจภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระ ผู้ใหญ่และผู้ปานกลางเพียงใด เสนาสนะย่อมเพียงพอกัน อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ก็ยังไม่เกิดขึ้นในศาสนาเพียงนั้น แต่เมื่อสงฆ์ถึงความเป็นผู้ใหญ่ ด้วยความเป็นหมู่แพร่หลายแล้ว อาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้น. ทีนั้นพระศาสดาย่อมทรงบัญญัติสิกขาบท. สิกขาบทที่ทรงบัญญัติในเพราะสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยความเป็นหมู่แพร่หลาย ในบรรดาความเป็นหมู่ใหญ่เหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบตามนัยนี้ว่า อนึ่ง ภิกษุใด พึงสําเร็จการนอนร่วมกันกับอนุปสัมบันเกินสองสามคืน ภิกษุนั้นต้องปาจิตตีย์. อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงให้นางสิกขมานาอุปสมบทตามปี นางภิกษุณีนั้น ต้องปาจิตตีย์. อนึ่ง นางภิกษุณีใด พึงให้นางสิกขมานาอุปสมบทปีละ ๒ รูป นางภิกษุณีนั้น ต้องปาจิตตีย์
(๑) วิ. มหา ๔/๑๑๐
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 360
บทว่า ลาภคฺคมหตฺตํ มีความว่า ความเป็นใหญ่เป็นยอดแห่งลาภอธิบายว่า ความเป็นใหญ่ใด เป็นยอด คือสูงสุดแห่งลาภ สงฆ์เป็นผู้ถึงความเป็นใหญ่นั้น อีกอย่างหนึ่ง ถึงความเป็นใหญ่ เลิศด้วยลาภก็ได้ อธิบายว่าถึงความเป็นหมู่ประเสริฐ และความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยลาภ จริงอยู่ สงฆ์ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่เลิศด้วยลาภเพียงใด อาสวัฏฐานิยธรรมอาศัยลาภ ก็ยังไม่เกิดขึ้นเพียงนั้น แต่เมื่อถึงแล้ว ย่อมเกิดขึ้น. ทีนั้น พระศาสดาย่อมทรงบัญญัติสิกขาบทว่า อนึ่ง ภิกษุใด พึงให้ของควรเคี้ยว หรือของควรบริโภคด้วยมือของตนแก่อเจลกก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี ภิกษุนั้นต้องปาจิตตีย์. จริงอยู่ สิกขาบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบัญญัติเพราะสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่เลิศด้วยลาภ.
บทว่า พาหุสจฺจมหตฺตํ มีความว่า ความที่พาหุสัจจะเป็นคุณใหญ่จริงอยู่ สงฆ์ยังไม่ถึงความที่พาหุสัจจะเป็นคุณใหญ่เพียงใด อาสวัฏฐานิยธรรมก็ยังไม่เกิดขึ้นเพียงนั้น. แต่เมื่อถึงความที่พาหุสัจจะเป็นใหญ่แล้วย่อมเกิดขึ้น เพราะเหตุว่า บุคคลทั้งหลายเรียนพุทธวจนะนิกายหนึ่งบ้าง สองนิกายบ้าง ฯลฯ ห้านิกายบ้างแล้ว เมื่อใคร่ครวญโดยไม่แยบคาย เทียบเคียงรสด้วยรสแล้ว ย่อมแสดงสัตถุศาสนานอกธรรมนอกวินัย. ทีนั้น พระศาสดาย่อมทรงบัญญัติสิกขาบท โดยนัยเป็นต้นว่า อนึ่ง ภิกษุใด พึงกล่าวอย่างนี้ว่าข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วอย่างนั้น ฯลฯ ถ้าแม้นสมณุทเทศพึงกล่าวอย่างนี้ไซร้. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกาลไม่เกิดและกาลเกิดขึ้นแห่งธรรมทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงความไม่มีแห่งอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้น แม้โดยประการทั้งปวงในสมัยนั้น จึงตรัสคํามีว่า นิรพฺพุโท หิ สารีปุตฺต เป็นต้น.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 361
[อรรถาธิบาย คําว่า นิรพฺพุทโท เป็นต้น]
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิรพฺพุโท คือเว้นจากเสนียด. พวกโจรท่านเรียกว่า เสนียด. อธิบายว่า หมดโจร. ก็ในอรรถนี้ พวกภิกษุผู้ทุศีลท่านประสงค์เอาว่า เป็นโจร. จริงอยู่ ภิกษุผู้ทุศีลเหล่านั้น ย่อมลักปัจจัยของคนเหล่าอื่น เพราะเป็นผู้มิใช่สมณะ แต่มีความสําคัญว่าเป็นสมณะ เพราะเหตุนั้น ภิกษุสงฆ์ไม่มีเสนียด ไม่มีโจร มีอธิบายว่า ไม่มีคนทุศีล. บทว่านิราทีนโว ได้แก่ ไม่มีอุปัทวะ คือไม่มีอุปสรรค. มีคําอธิบายว่า เว้นจากโทษของผู้ทุศีลทีเดียว. ผู้ทุศีลแล ท่านเรียกว่า คนดํา ในคําว่า อปคตกาฬโกนี้. จริงอยู่ ผู้ทุศีลเหล่านั้น แม้เป็นผู้มีวรรณะดุจทองคํา พึงทราบว่า เป็นคนดําทีเดียว เพราะประกอบด้วยธรรมดํา. เพราะไม่มีคนมีธรรมดําเหล่านั้นจึงชื่อว่า อปคตกาฬก. ปาฐะว่าอปหตกาฬก ก็มี. บทว่า สุทฺโธ คือชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะมีคนดําปราศไปแล้วนั่นเอง. บทว่า ปริโยทาโต คือผุดผ่อง. คุณคือศีล สมาธิ ปัญญาวิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ ท่านเรียกว่าสาระ ในคําว่า สาเร ปติฏฺิโต นี้. เพราะตั้งอยู่แล้วในสาระนั้น จึงชื่อว่าตั้งอยู่ในสารคุณ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสความที่ภิกษุสงฆ์ตั้งอยู่ในสารคุณอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงอีกว่า ก็ความที่ภิกษุสงฆ์นั้นตั้งอยู่ในสารคุณนั้น พึงทราบอย่างนี้ จึงตรัสคํามีอาทิว่า อิเมสํ หิสารีปุตฺต.
ในคํานั้น มีการพรรณนาโดยสังเขปดังต่อไปนี้ :-
บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ ผู้เข้าพรรษา ณ เมืองเวรัญชา ภิกษุที่ต่ําต้อยด้วยอํานาจคุณ คือมีคุณต่ํากว่าภิกษุทุกรูป ก็เป็นพระโสดาบัน คําว่าโสตาปนฺโน คือ ผู้ตกถึงกระแส. ก็คําว่า โสโต นี้ เป็นชื่อของมรรค.คําว่า โสตาปนฺโน เป็นชื่อของบุคคลผู้ประกอบด้วยมรรคนั้น. เหมือนอย่าง
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 362
ที่ตรัสไว้ว่า (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า) สารีบุตร! ที่เรียกว่า โสตะโสตะ นี้ โสตะ เป็นไฉนหนอแล สารีบุตร? (เพราะสารีบุตรกราบทูลว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็อริยมรรคมีองค์แปดนี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ชื่อว่า โสตะ. (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า) สารีบุตร! ที่เรียกว่าโสดาบัน โสดาบัน นี้ โสดาบันเป็นไฉนหนอแล สารีบุตร? (พระสารีบุตรกราบทูลว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็บุคคลผู้ซึ่งประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์แปดนี้ เรียกว่า โสดาบัน ท่านผู้มีอายุนี้นั้น มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่าง (๑) นี้.ก็ในบทนี้พึงทราบว่า มรรคให้ชื่อแก่ผลเพราะฉะนั้น บุคคลผู้ตั้งอยู่ในผลชื่อว่า โสดาบัน. บทว่า อวินิปาตธมฺโม มีวิเคราะห์ว่า ธรรมที่ชื่อว่าวินิบาต เพราะอรรถว่า ให้ตกไป. พระโสดาบันชื่อว่า อวินิปาตธรรมเพราะอรรถว่า ท่านไม่มีวินิปาตธรรม. มีคําอธิบายว่า ท่านไม่มีการยังตนให้ตกไปในอบายเป็นสภาพ. เพราะเหตุไร? เพราะความสิ้นไปแห่งธรรมเป็นเหตุนําไปสู่อบาย. อีกอย่างหนึ่ง การตกไป ชื่อว่าวินิบาต. พระโสดาบัน ชื่อว่าอวินิปาตธรรม เพราะอรรถว่า ท่านไม่มีธรรมที่ตกไป. มีคําอธิบายว่าความตกไปในอบายเป็นสภาพ ไม่มีแก่ท่าน (๑)
ชื่อว่า เป็นผู้เที่ยง เพราะเป็นผู้แน่นอนด้วยมรรค ที่กําหนดด้วยความเป็นธรรมถูก. ชื่อว่า เป็นผู้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า เพราะอรรถว่า พระโสดาบันนั้นมีความตรัสรู้เป็นไปในเบื้องหน้า คือเป็นคติข้างหน้า. อธิบายว่า พระโสดาบันนั้น จะทําตนให้ได้บรรลุถึงมรรค ๓ เบื้องบนแน่นอน. เพราะเหตุไร?เพราะท่านได้ปฐมมรรคแล้วแล.
(๑) สํ. มหา. ๑๙/๔๓๔ - ๕๓๔.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 363
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงยังพระธรรมเสนาบดีให้ยินยอมอย่างนั้นแล้ว ทรงยับยั้งอยู่ตลอดพรรษานั้นในเมืองเวรัญชา เสด็จออกพรรษาปวารณาในวันมหาปวารณาแล้วจึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์มา.
บทว่า อามนฺเตสิ ความว่า ได้ทรงเรียก คือได้ทรงตรัสเรียกได้แก่ ทรงเตือนให้รู้.
ถามว่า ทรงเตือนให้รู้ว่าอย่างไร?
แก้ว่า ทรงเตือนให้รู้เรื่องมีอาทิอย่างนี้ว่าอาจิณฺณํ โข ปเนตํ.
บทว่า อาจิณฺณํ คือเป็นความประพฤติ เป็นธรรมเนียม ได้แก่เป็นธรรมดา.
[อาจิณณะ ความเคยประพฤติมามี ๒ อย่าง]
ก็ความเคยประพฤติมานั้นนั่นแล มี๒ อย่างคือ พุทธาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระพุทธเจ้า) ๑ สาวกาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระสาวก) ๑.
พุทธาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระพุทธเจ้า) เป็นไฉน?ข้อว่า พระตถาคตทั้งหลายยังมิได้บอกลา คือยังมิได้อําลาผู้ที่นิมนต์ให้อยู่จําพรรษาแล้ว จะไม่หลีกไปสู่ที่จาริกในชนบท ดังนี้ นี้เป็นพุทธาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระพุทธเจ้า) ข้อหนึ่งก่อน. ส่วนพระสาวกทั้งหลาย จะบอกลาหรือไม่บอกลาก็ตามย่อมหลีกไปได้ตามสบาย.
ยังมีพุทธาจิณณะแม้อื่นอีก คือ :- พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จอยู่จําพรรษาปวารณาแล้วย่อมเสด็จไปสู่ที่จาริกในชนบททีเดียวเพื่อทรงสงเคราะห์ประชาชน.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 364
[พระพุทธเจ้าเสด็จเที่ยวจาริกไปเฉพาะ ๓ มณฑล]
ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายเมื่อจะเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบท ย่อมเสด็จเที่ยวไปในมณฑลใดมณฑลหนึ่งบรรดามณฑลทั้ง ๓ เหล่านี้คือ :- มหามณฑล (มณฑลใหญ่) ๑ มัชฌิมมณฑล (มณฑลปานกลาง) ๑ อันติมมณฑล (มณฑลเล็ก) ๑.
บรรดามณฑลทั้ง ๓ นั้น มหามณฑล ประมาณเก้าร้อยโยชน์มัชฌิมมณฑล ประมาณหกร้อยโยชน์ อันติมมณฑล ประมาณสามร้อยโยชน์
ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระประสงค์จะเสด็จเที่ยวจาริกไปในมหามณฑลในกาลนั้น ทรงปวารณาในวันมหาปวารณาแล้ว มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวารเสด็จออกในวันปาฏิบท เมื่อจะทรงอนุเคราะห์มหาชนในบ้านและนิคมเป็นต้น ด้วยการทรงรับอามิส และเมื่อจะทรงเพิ่มพูนกุศล อันอาศัยวิวัฏฏคามินี แก่มหาชนนั้นด้วยธรรมทาน ทรงยังการเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบท ให้เสร็จสิ้นลงโดย ๙ เดือน.
ก็ถ้าภายในพรรษา สมถะและวิปัสสนาของภิกษุทั้งหลาย ยังอ่อนอยู่.พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรงปวารณาในวันมหาปวารณา ทรงประทานปวารณาสงเคราะห์ไปปวารณาในวันเพ็ญเดือนกัตติกา (กลางเดือน ๑๒) เสร็จแล้วมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จขออกไปในวันต้นแห่งเดือนมิคสิระ (เดือนอ้าย) แล้วยังการเสด็จเที่ยวจาริกไปในมัชฌิมมณฑลให้เสร็จสิ้นลงโดย ๘เดือน ตามนัยดังกล่าวมาแล้วนั่นเอง.
ก็ถ้าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ของพุทธเจ้าผู้เสด็จออกพรรษาแล้วเหล่านั้นยังมีอินทรีย์ไม่แก่กล้า. พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทรงรอคอยให้เวไนยสัตว์เหล่านั้นมีอินทรีย์แก่กล้า เสด็จพักอยู่ในสถานที่นั้นนั่นเอง แม้ตลอดเดือน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 365
มิคสิระแล้ว มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวารเสด็จออกไปในวันต้นแห่งเดือนปุสสะ (เดือนยี่) แล้ว ทรงยังการเสด็จเที่ยวจาริกไปในอันติมมณฑล ให้เสร็จสิ้นลงโดย ๗ เดือน ตามนัยดังกล่าวมาแล้วนั่นเอง.
อนึ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลาย แม้เมื่อเสด็จเที่ยวไปในบรรดามณฑลเหล่านั้นแห่งใดแห่งหนึ่ง ทรงปลดเปลื้องสัตว์เหล่านั้นๆ ให้พ้นจากกิเลสทั้งหลาย ทรงประกอบสัตว์เหล่านั้นๆ ไว้ ด้วยอริยผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้นเสด็จเที่ยวไปอยู่ด้วยอํานาจแห่งเวไนยสัตว์เท่านั้น ดุจทรงเก็บกอกไม้เบญจพรรณนานาชนิดอยู่ฉะนั้น.
ยังมีพุทธาจิณณะแม้อื่นอีกคือ :- ในเวลาจวนรุ่งสว่างทุกๆ วันการทําพระนิพพานอันเป็นสุขสงบให้เป็นอารมณ์ เสด็จเข้าผลสมาบัติออกจากผลสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสมาบัติอันประกอบด้วยพระมหากรุณา ภายหลังจากนั้นก็ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ผู้พอจะแนะนําให้ตรัสรู้ได้ในหมื่นจักรวาล
ยังมีพุทธาจิณณะแม้อื่นอีก คือ :- การทรงทําปฏิสันถารกับพวกอาคันตุกะเสียก่อน ทรงแสดงธรรม ด้วยอํานาจเรื่องที่เกิดขึ้น ครั้นโทษเกิดขึ้น ทรงบัญญัติสิกขาบท นี้เป็นพุทธาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระพุทธเจ้า) ดังพรรณนาฉะนี้แล.
[สาวกาจิณณะ ความเคยประพฤติมาของพระสาวก]
สาวกาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระสาวก) เป็นไฉน? คือในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า (ยังทรงพระชนม์อยู่) มีการประชุม (พระสาวก) ๒ ครั้ง คือ เวลาก่อนเข้าพรรษาและวันเข้าพรรษา เพื่อเรียนเอากรรมฐาน ๑ เพื่อบอกคุณที่ตนได้บรรลุแก่ภิกษุผู้ออกพรรษามาแล้ว ๑
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 366
เพื่อเรียนเอากรรมฐานที่สูงๆ ขึ้นไป ๑ นี้เป็นสาวกาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระสาวก) .
ส่วนในอธิการนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงพุทธาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระพุทธเจ้า) จึงตรัสพระดํารัสเป็นต้นว่าอาจิณฺณํโข ปเนตํ อานนฺท ตถาคตานํ ดังนี้.
บทว่า อายาม แปลว่า เรามาไปกันเถิด.
บทว่า อปโลเกสฺสาม แปลว่า เราจักบอกลา (เวรัญชพราหมณ์) เพื่อต้องการเที่ยวไปสู่ที่จาริก.
ศัพท์ว่า เอวํ เป็นนิบาต ลงในอรรถว่า ยอมรับ.
คําว่า ภนฺเต นั่น เป็นชื่อเรียกด้วยความเคารพ. จะพูดว่าถวายคําทูลตอบแด่พระศาสดา ดังนี้บ้าง ก็ใช้ได้.
สองบทว่า ภควโต ปจฺจสฺโสสิ ความว่า ท่านพระอานนท์ทูลรับฟัง คือตั้งหน้าฟัง ได้ทูลรับพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดี. มีคําอธิบายว่า ทูลรับด้วยคําว่า เอวํ นี้.
ในคําว่า อถโข ภควา นิวาเสตฺวา นี้ ท่านพระอุบาลีมิได้กล่าวไว้ว่า เป็นเวลาเช้า หรือ เป็นเวลาเย็น. แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทําภัตรกิจเสร็จแล้ว ทรงยับยั้งอยู่ตลอดเวลาเที่ยงวัน ให้ท่านพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ ทรงให้ถนนในพระนคร ตั้งต้นแต่ประตูพระนครไป รุ่งเรืองไปด้วยพระพุทธรัศมี ซึ่งมีช่อดุจสายทอง เสด็จเข้าไปโดยทางที่นิเวศน์ของเวรัญชพราหมณ์นั้นตั้งอยู่. ส่วนปริชนเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พอประทับยืนอยู่ที่ประตูเรือนของเวรัญชพราหมณ์เท่านั้น ก็ได้แจ้งข่าวแก่พราหมณ์.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 367
พราหมณ์หวนระลึกได้ แล้วก็เกิดความสังเวช จึงรีบลุกขึ้นสั่งให้จัดปูอาสนะที่ควรแก่ค่ามากออกไปต้อนรับพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงเสด็จเข้ามาทางนี้เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสด็จเข้าไปประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดปูไว้แล้ว. ลําดับนั้นแล เวรัญชพราหมณ์มีความประสงค์จะเข้าไปนั่งใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เข้าไปเฝ้าโดยทางที่พระผู้มี-พระภาคเจ้าประทับอยู่ จากที่ๆ ตนยืนอยู่. คําเบื้องหน้าแต่นี้ไป มีใจความกระจ่างแล้วทั้งนั้น
[เวรัญชพราหมณ์ทูลเรื่องที่มิได้ถวายทานตลอดไตรมาส]
ก็ในคําที่พราหมณ์กราบทูลว่าอนึ่ง ไทยธรรมที่ควรจะถวายข้าพเจ้ามิได้ถวาย มีคําอธิบายดังต่อไปนี้:-
ข้าพเจ้ายังไม่ได้ถวายไทยธรรมที่ควรจะถวาย มีอาทิอย่างนี้คือ ทุกๆ วัน ตลอดไตรมาส เวลาเช้าควรถวายยาคูและของควรเคี้ยว เวลาเที่ยงควรถวายขาทนียะโภชนียะเวลาเย็นควรถวายบูชาสักการะ ด้วยวัตถุมีน้ำปานะที่ปรุงชนิดต่างๆ มากมาย ของหอมและดอกไม้เป็นต้น แก่พระองค์ผู้ซึ่งข้าพเจ้านิมนต์ให้อยู่จําพรรษาแล้ว. ก็ในคําว่า ตฺจ โข โน อสนฺตํ นี้ พึงทราบว่าเป็นลิงควิปัลลาส. ก็ในคํานี้มีใจความดังนี้ว่า ก็แล ไทยธรรมนั้นไม่มีอยู่แก่ข้าพเจ้าก็หามิได้. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นใจความในคํานี้อย่างนี้ว่าข้าพเจ้าพึงถวายของใดๆ แก่พระองค์ ก็แล ของนั้นมิใช่จะไม่มี. คําว่าโน ปิ อทาตุกมฺยตา ความว่า แม้ความไม่อยากถวายของข้าพเจ้า เหมือนของเหล่าชนผู้มีความตระหนี่ซึ่งมีอุปกรณ์แก่ทรัพย์ เครื่องปลื้มในมากมายไม่อยากถวายฉะนั้น ก็ไม่มี. ภายในไตรมาสนี้พระองค์จะพึงได้ไทยธรรมนั้นจากไหน เพราะฆราวาสมีกิจมาก มีกรณียะมาก.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 368
ในคําว่า ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา พหุกิจฺจา ฆราวาส นั้นมีการประกอบความดังต่อไปนี้:- พราหมณี เมื่อจะตําหนิการอยู่ครองเรือน จึงได้กราบทูลว่า เพราะการอยู่ครองเรือนมีกิจมาก ฉะนั้น ภายในไตรมาสนี้ เมื่อไทยธรรม และความประสงค์จะถวายแม้มีอยู่ พระองค์พึงได้ไทยธรรมที่ข้าพเจ้าจะพึงถวายแก่พระองค์แต่ที่ไหน คือพระองค์อาจได้ไทยธรรมนั้น จากที่ไหนได้ยินว่า เวรัญชพราหมณ์นั้น ย่อมไม่รู้ความที่ตนถูกมารดลใจ จึงได้สําคัญว่าเราเกิดเป็นผู้มีสติหลงลืม เพราะกังวลอยู่ด้วยการครองเรือน. เพราะฉะนั้นพราหมณ์จึงได้กราบทูลอย่างนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ในคําว่า ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา นี้ พึงทราบการประกอบความอย่างนี้ว่า ภายในไตรมาสนี้ ข้าพเจ้าจะพึงถวายไทยธรรมอันใดแด่พระองค์ ไทยธรรมอันนั้น ข้าพเจ้าจะพึงได้จากไหน? เพราะว่า การอยู่ครองเรือนมีกิจมาก.
[เวรัญชพราหมณ์ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเพื่อเสวยภัตตาหาร]
ครั้งนั้น พราหมณ์ดําริว่า ไฉนหนอ ไทยธรรมอันใด เป็นของอันเราจะพึงถวาย โดย ๓ เดือน เราควรถวายไทยธรรมอันนั้นทั้งหมด โดยวันเดียวเท่านั้น แล้ว จึงได้กราบทูลคําเป็นต้นว่า ขอพระโคดมผู้เจริญ ทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพเจ้าเถิด ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฺวาตนาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่บุญกุศล และปีติปราโมทย์ซึ่งจะมีในวันพรุ่งนี้ ในเมื่อข้าพเจ้าได้กระทําสักการะในพระองค์.
[พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคําอาราธนาของพราหมณ์]
ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตถาคต ทรงพระรําพึงว่า ถ้าเราจะไม่รับคําอาราธนาไซร้พราหมณ์และชาวเมืองเวรัญชา จะพึงติเตียน อย่างนี้
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 369
ว่า พระสมณะองค์นี้ ไม่ได้อะไรๆ ตลอดไตรมาส ชะรอยจะพึงโกรธกระมัง?เพราะเหตุนั้น เราอ้อนวอนอยู่ ก็ไม่ทรงรับแม้ภัตตาหารครั้งหนึ่ง, ในพระสมณะองค์นี้ ไม่มีอธิวาสนขันติ พระสมณะองค์นี้ไม่ใช่สัพพัญู ก็จะพึงประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมาก, การประสบสิ่งที่มิใช่บุญนั้น อย่าได้มีแก่ชนเหล่านั้นเลย ดังนี้แล้ว จึงทรงรับคําอาราธนา เพื่ออนุเคราะห์แก่ชนเหล่านั้นโดยดุษณีภาพ.
ก็ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงรับอาราธนาแล้วได้ทรงเตือนเวรัญชพราหมณ์ ให้สํานึกตัวว่า ไม่ควรคิดถึงความกังวลด้วยการอยู่ครอบครองเรือนเลย แล้วทรงชี้แจงให้เวรัญชพราหมณ์ เห็นประโยชน์ปัจจุบันและประโยชน์ภายภาคหน้า ให้สมาทาน คือให้รับเอากุศลธรรม และให้เวรัญชพราหมณ์นั้นอาจหาญ คือทําให้มีความอุตสาหะในกุศลธรรมตามที่ตนสมาทานแล้วนั้น และทรงปลอบให้ร่าเริง ด้วยความเป็นผู้มีอุตสาหะนั้น และด้วยคุณธรรมที่มีอยู่อย่างอื่น ด้วยธรรมมีกถา อันสมควรแก่ขณะนั้น ได้ทรงยังฝน คือพระธรรมรัตนะให้ตกลงแล้ว ก็เสด็จลุกจากอาสนะกลับไป.
[เวรัญชพราหมณ์สั่งให้เตรียมภัตตาหารถวายพรุ่งนี้]
ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จกลับไปแล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้เรียกบุตรและภรรยามาสั่งว่า แน่ะพนายเราได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า (ให้อยู่จําพรรษา) ตลอดไตรมาสแล้ว ในวันหนึ่งก็มิได้ถวายภัตตาหารสักก้อนเดียวเลย เอาเถิด บัดนี้ พวกท่านจงตระเตรียมทาน ให้เป็นเหมือนไทยธรรมแม้ที่ควรถวายตลอดไตรมาส เป็นของอาจถวายในวันพรุ่งนี้ได้ โดยวันเดียวเท่านั้น.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 370
ต่อจากนั้น เวรัญชพราหมณ์ สั่งให้ตระเตรียมทานที่ประณีตตลอดวันที่ตนนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ โดยล่วงไปแห่งราตรีนั้น ก็ได้สั่งให้ประดับที่ตั้งอาสนะ ให้ปูอาสนะทั้งหลาย ที่ควรค่ามากไว้ จัดแจงการบูชาอย่างใหญ่อันวิจิตรด้วยของหอม ธูป เครื่องอบ และดอกโกสุมเสร็จแล้วจึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปกราบทูลเผดียงกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระ จึงได้กล่าวว่า อถโข เวรฺโช พฺรหฺมโณ ตสฺสารตฺติยา อจฺจเยนฯ เปฯ นิฏฺิตํ ภตฺตํ (๑)
[พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังนิเวศน์ของเวรัญชพราหมณ์]
พระผู้มีพระภาคเจ้า มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว ได้เสด็จไปที่นิเวศน์ของพราหมณ์นั้น, เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระ จึงได้กล่าวว่า อถโขภควาฯ เปฯ นสีทิ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน (๒)
บทว่า พุทฺธปฺปมุขํ ในคําว่า อถโข เวรฺโช พฺราหฺมโณพุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นี้ แปลว่า มีพระพุทธเจ้าเป็นปริณายก มีคําอธิบายว่า ผู้นั่งให้พระพุทธเจ้าเป็นพระสังฆเถระ.
บทว่า ปณีเตน แปลว่า อันดีเยี่ยม.
บทว่า สหตฺถา แปลว่า ด้วยมือตนเอง
บทว่า สนฺตปฺเปตฺวา ความว่า ให้อิ่มหนําด้วยดีคือให้บริบูรณ์ได้แก่ เกื้อกูลด้วยดีจนพอแก่ความต้องการ
บทว่า สมฺปวาเรตฺวาความว่า ให้ทรงห้ามเสียด้วยดี คือให้ทรงคัดค้าน ด้วยหัตถสัญญา มุขสัญญา และวจีเภทว่า พอละ พอละ.
(๑) - (๒) วิ มหา ๑/๑๘
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 371
บทว่า ภุตฺตาวึแปลว่า ผู้เสวยเสร็จแล้ว.
บทว่า โอนีตปตฺตปาณึ แปลว่า ทรงนําพระหัตถ์ออกจากบาตร,คําอธิบายว่า ทรงชักพระหัตถ์ออกแล้ว (ทรงล้างพระหัตถ์แล้ว)
[พราหมณ์ถวายไตรจีวรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์]
สองบทว่า ติจีวเรน อจฺฉาเทสิ ความว่า (พราหมณ์) ได้ถวายไตรจีวรแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ก็คําว่า ติจีวเรน อจฺฉาเทสิ นี้ เป็นเพียงโวหารพจน์ ก็ในไตรจีวรนั้นผ้าสาฎกแต่ละผืน มีราคาผืนละพันหนึ่ง.พราหมณ์ได้ถวายไตรจีวรชั้นดีเยี่ยม เช่นกับผ้าแค้นกาสีมีราคาถึงสามพันแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้.
หลายบทว่า เอกเมกฺจ ภิกฺขุ เอกเมเกน ทุสฺสยุเคน ความว่าพราหมณ์ได้ให้ภิกษุรูปหนึ่งๆ ครองด้วยผ้าคู่หนึ่งๆ. บรรดาผ้าเหล่านั้นผ้าสาฎกผืนหนึ่งๆ มีราคาห้าร้อย. พราหมณ์ได้ถวายผ้ามีราคาห้าแสน แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ด้วยประการฉะนี้. พราหมณ์ถวายแล้วถึงเท่านี้ยังไม่พอแก่ใจได้แบ่งผ้ากัมพลแดง และผ้าปัตตุณณะ และผ้าห่มมากมามีราคาเจ็ดแปดพันถวายเพื่อประโยชน์แก่บริขาร มีผ้ารัดเข่าผ้าสไบเฉียง ประคดเอวและผ้ากรองน้ำเป็นต้นอีก และได้ตวงน้ำมันยาซึ่งหุงตั้งร้อยครั้งพันครั้ง ให้เต็มทะนานถวายน้ำมันมีราคาพันหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่การทาแก่ภิกษุรูปหนึ่งๆ. จะมีประโยชน์อะไร ด้วยการกล่าวมากในปัจจัยสี่. บริขารอะไรๆ ซึ่งเป็นเครื่องใช้ของสมณะ ชื่อว่าพราหมณ์มิได้ถวายแล้วมิได้มี แต่ในพระบาลีกล่าวแต่เพียงจีวรเท่านั้น.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงยังฝนคืออมตธรรมให้ตกทําเวรัญชพราหมณ์ผู้เสื่อมสิ้นจากการบริโภครสแห่งอมตะ คือการฟังธรรม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 372
ด้วยถูกมารดลใจให้เคลิบเคลิ้มเสียสามเดือน ผู้ทําการบูชาใหญ่อย่างนั้นแล้วพร้อมด้วยบุตรและภรรยาถวายบังคมแล้วนั่ง ให้เป็นผู้มีความดําริเต็มที่ โดยวันเดียวเท่านั้น จึงยังพราหมณ์ให้เล็งเห็นสมาทานอาจหาญให้รื่นเริงด้วยธรรมกถา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป
ฝ่ายพราหมณ์ พร้อมทั้งบุตรและภรรยา ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์แล้วตามไปส่งเสด็จ พลางกล่าวคํามีอาทิอย่างนี้ว่า พระเจ้าข้าพระองค์ พึงทําความอนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายแม้อีก แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลกลับมา.
[พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจากเมืองเวรัญชาไปประทับที่เมืองไพศาลี]
หลายบทว่า อถโข ภควา เวรฺชายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวามีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ตามพระอัธยาศัย คือตามความพอพระทัยแล้ว ออกจากเมืองเวรัญชา มีพระประสงค์จะทรงละพุทธวิถี ที่จะพึงเสด็จไป ในกาลเป็นที่เสด็จเที่ยวจาริกในมณฑลใหญ่ จะทรงพาภิกษุสงฆ์ผู้ลําบากด้วยทุพภิกขโทษ เสด็จไปโดยทางตรง จึงไม่ทรงแวะเมืองทั้งหลายมีเมืองโสเรยยะเป็นต้น เสด็จไปยังเมืองปยาคประดิษฐาน ข้ามแม่น้ำคงคาที่เมืองนั้น แล้วเสด็จไปโดยทิศาภาคทางเมืองพาราณสี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปโดยทิศาภาคนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ตทวสริ. พระองค์ประทับอยู่ตามพระอัธยาศัย แม้ในเมืองพาราณสีนั้นแล้ว ได้เสด็จไปยังเมืองโสเรยยะเมืองสังกัสสะ เมืองกัณณกุชชะ เสด็จไปทางเมืองปยาคประดิษฐานแล้วเสด็จข้ามแม่น้ำคงคาที่เมืองปยาคประดิษฐาน ไปโดยทิศภาคทางเมืองพาราณสี.ลําดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับแรมในเมืองพาราณสีตามพอพระทัยแล้วทรงหลีกจาริกไป ทางเมืองไพศาลี เมืองเสด็จจาริไปโดยลําดับ ได้ทรง
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 373
แวะเมืองไพศาล. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน ใกล้เมืองไพศาลีนั้น (๑)
จบ เวรัญชกัณฑวรรณนา ในอรรถกถาวินัยชื่อสมันตปาสาทิกา.
ในข้อที่อรรถกถาชื่อสมันตปาสาทิกาในวินัยนั้น ชวนให้เกิดความเลื่อมใสโดยรอบด้าน มีคําอธิบายดังจะกล่าวต่อไปดังนี้ว่า
เมื่อวิญูชนทั้งหลายสอดส่องอยู่โดยลําดับแห่งอาจารย์ โดยการแสดงประ-เภทแห่งนิทานและวัตถุ โดยความเว้นลัทธิอื่น โดยความหมดจดแห่งลัทธิของตน โดยชําระพยัญชนะให้เรียบร้อย โดยใจความเฉพาะบท โดยลําดับแห่งบาลีและโยชนาแห่งบาลี โดยการวินิจฉัยสิกขาบท และโดยการชี้แจงความต่างแห่งนัยในวิภังค์ คําน้อยหนึ่งซึ่งไม่ชวนให้เกิดความเลื่อมใสย่อมไม่ปรากฏในสมันตปาสาทิกานี้, เพราะเหตุนั้น สังวรรณนาแห่งวินัยที่พระโลกนาถผู้ทรงอนุเคราะห์โลก ฉลาดในการฝึกเวไนยได้ตรัสไว้นี้จึงเป็นไปโดยชื่อว่า สมันตปาสาทิกา แล.
(๑) วิ. มหา. ๑/๑๘