๗. ภัลลิยเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระภัลลิยเถระ
โดย บ้านธัมมะ  18 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40405

[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 96

เถรคาถา เอกนิบาต

วรรคที่ ๑

๗. ภัลลิยเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระภัลลิยเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 96

๗. ภัลลิยเถร คาถา

ว่าด้วยคาถาของพระภัลลิยเถระ

[๑๔๔] ได้ยินว่า พระภัลลิยเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

ผู้ได้ขจัดเสนาแห่งมัจจุราช เหมือนห้วงน้ำใหญ่กำจัดสะพานไม้อ้อ อันแสนจะทรุดโทรมฉะนั้น ก็ผู้นั้น จัดว่าเป็นผู้ชนะมาร ปราศจากความหวาดกลัวมีตนอันฝึกแล้ว มีจิตตั้งมั่น ดับกิเลสและความเร่าร้อนได้แล้ว.

อรรถกถาภัลลิยเถรคาถา

คาถาของท่านพระภัลลิยเถระเริ่มต้นว่า โย ปานุทิ. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?

ได้ยินว่า พระเถระนี้ ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสถวายผลาผล แก่พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านามว่า สุมนะ ท่องเที่ยวอยู่แต่ในสุคติภพทั้งหลายเท่านั้น เกิดในตระกูลสัตถวาหะ พระนครอรุณวตี ในกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี ได้สดับว่า บุตรพ่อค้า ๒ คน คือ ชื่อว่าอุปชิตะ และอุชิตะได้ถวายอาหารครั้งแรก แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี ผู้ได้ตรัสรู้ธรรมาภิสมัย ก่อนคนอื่น จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยสหายของตน ถวายบังคมแล้ว ทูลอาราธนาเพื่อเสวยพระกระยาหารในวันรุ่งขึ้น


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 97

ถวายมหาทานแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์แม้ทั้งสองพึงเป็นผู้ได้ถวายอาหารครั้งแรกแด่พระพุทธเจ้าผู้เช่นกับพระองค์ ในอนาคตกาล ดังนี้. คนทั้งสองกระทำบุญกรรมในภพนั้นๆ แล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ เกิดเป็นบุตรเศรษฐีผู้เลี้ยงวัว เป็นพี่น้องกัน. คนทั้งสอง ได้อุปัฏฐากหมู่แห่งภิกษุ ด้วยน้ำนมและโภชนะ สิ้นปีเป็นอันมาก (หลายปี) แต่ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ของพวกเราทั้งหลาย คนทั้งสอง ได้เกิดเป็นพี่น้องกัน ซึ่งเป็นบุตรของพ่อค้า ในโปกขรวดีนคร ในสองพี่น้องนั้น ผู้เป็นพี่ชื่อตปุสสะ ผู้เป็นน้องชื่อภัลลิยะ. เขาทั้งสองบรรทุกของเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม เดินทางไปค้าขาย. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า แรกตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงยับยั้งอยู่ตลอด ๗ สัปดาห์ ด้วยการพิจารณาธรรมคือสุขอันเกิดแต่วิมุตติ ในสัปดาห์ที่ ๘ ทรงประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นเกด ก็เดินทางล่วงทางใหญ่ ไปใกล้ต้นเกด. ในสมัยนั้น เกวียนของเขาทั้งสองไม่ยอมเคลื่อนที่ แม้ในภูมิภาคที่ราบเรียบ ไม่มีหล่มไม่มีโคลน. เมื่อพ่อค้าสองพี่น้องพากันคิดอยู่ว่า เหตุอะไรหนอแล ดังนี้ เทวดาผู้เคยเป็นญาติสายโลหิต ก็แสดงตัวในระหว่างค่าคบไม้ บอกว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณได้ไม่นาน ไม่ได้เสวยพระกระยาหารมาตลอด ๗ สัปดาห์ เสวยวิมุตติสุขแล้ว บัดนี้ ประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นเกด ข้อที่ท่านทั้งสองน้อมนำอาหารเข้าไปถวายพระองค์นั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ท่านทั้งหลายสิ้นกาลนาน.

พ่อค้าสองพี่น้อง ฟังคำนั้นแล้ว เสวยปีติโสมนัสอย่างยิ่ง สำคัญว่า การจัดอาหารจักเป็นความเนิ่นช้า จึงถวายสัตตูผงและสัตตูก้อน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงเทววาจิกสรณคมน์ (ถึงพระพุทธและพระธรรมว่าเป็นสรณะ) ได้พระเกศธาตุไปบูชา หลีกไปแล้ว. ก็พ่อค้าทั้งสองนั้น ได้เป็นอุบาสก ก่อนผู้อื่น. ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังกรุงพาราณสี ประกาศพระธรรมจักร แล้วประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์โดยลำดับ ตปุสสะ และ ภัลลิยะ


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 98

จึงเข้าไปสู่พระนครราชคฤห์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วถวายบังคม นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่เขาทั้งสอง ในพ่อค้าทั้งสองนั้น ตปุสสะ ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้วได้เป็นอุบาสกอย่างเดียว ส่วนภัลลิยะ บวชแล้วได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าว ไว้ในอปทานว่า

ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า สุมนะ ประทับอยู่ในพระนครตักกรา เราได้ถือเอาผลไม้ชื่อวัลลิการะ ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน กัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วยการถวายผลไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้ เราเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ครั้นในวันหนึ่ง มารแสดงรูปน่ากลัว เพื่อจะหลอกพระภัลลิยเถระ ให้สะดุ้งกลัว. พระเถระเมื่อจะประกาศข้อที่ตนล่วงความกลัวได้ทั้งหมด จึงได้ ภาษิตคาถานี้ว่า

ผู้ใดกำจัดเสนาแห่งมัจจุราช เหมือนห้วงน้ำใหญ่ กำจัดสะพานไม้อ้อ อันแสนจะทรุดโทรมฉะนั้น และ ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้ชนะมาร ปราศจากความหวาดกลัว มีตนอันฝึกฝนแล้ว มีจิตตั้งมั่น ดับกิเลสและความ เร่าร้อนได้แล้ว ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โยปานุทิ ความว่า ผู้ใดกำจัด คือ ซัดไป คือละได้แล้ว ได้แก่ ขจัดแล้ว. บทว่า มจฺจุราชสฺส ความว่า


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

ตพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 99

ความตาย คือความแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย ชื่อว่า มัจจุ ก็มัจจุนั่นแหละ ชื่อว่า ราชา เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ เพราะยังสัตว์ทั้งหลายให้เป็นไปในอำนาจของตน เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มัจจุราชา. แห่งมัจจุราชนั้น. บทว่า เสนํ ได้แก่ เสนา มีความแก่และโรคเป็นต้น ก็ความแก่และโรคเป็นต้น ชื่อว่า เสนา เพราะเป็นองค์ประกอบในการที่มัจจุราชนั้นยังสัตว์ให้เป็นไปในอำนาจ ด้วยเหตุนั้น มัจจุราชนั้น ท่านจึงเรียกว่า มีเสนาใหญ่ เพราะมีเสนามากมายหลายหลาย. สมดังที่ตรัสไว้ว่า น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา จะขอผลัดเพี้ยนกับมัจจุราช ผู้มีเสนาใหญ่ มิได้เลย ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง เทวบุตรมาร ท่านประสงค์เอาว่า มัจจุ ในพระคาถานี้ เพราะอรรถว่า ฆ่าเสียซึ่งคุณงามความดี. และกามเป็นต้น ท่านประสงค์เอาว่าเป็นเสนา เพราะเข้าถึงความเป็นสหายกับมัจจุราชนั้น. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า

กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๑ ของท่าน ความไม่ยินดี เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๒ ของท่าน ความหิวและความกระหาย เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๓ ของท่าน. ตัณหาเรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๔ ของท่าน ถีนมิทธะ เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๕ ของท่าน ความขลาดกลัวเรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๖ ของท่าน ความสงสัยเรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๗ ของท่าน ความลบหลู่ และความหัวดื้อ เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๘ ของท่าน ดังนี้.

บาทคาถาว่า นฬเสตุํว สุทุพฺพลํ มโหโฆ นี้ประกอบความว่า ผู้ใดกำจัดแล้ว คือชนะแล้ว ซึ่งเสนาคือสังกิเลส ที่ชื่อว่า แสนจะทรุดโทรม เพราะไม่มีกำลังมากมายเหมือนห้วงน้ำใหญ่กำจัดสะพานไม้อ้อ เพราะปราศจากแก่นสาร


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 100

ด้วยมรรคอันเลิศ เช่นกับห้วงน้ำใหญ่ เพราะโลกุตรธรรมทั้ง ๙ มีกำลังมาก ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้ชนะมาร ปราศจากความกลัว มีตนอันฝึกแล้ว มีจิตตั้งมั่น ดับความเร่าร้อนและความกระวนกระวายได้แล้ว ดังนี้. มารสดับคำนั้นแล้ว คิดว่า สมณะรู้ทันเรา ดังนี้แล้วหายไปในที่นั้นเอง.

จบอรรถกถาภัลลิยเถรคาถา