ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมที่ประเทศอินเดียณ พระคันธกุฎี พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ตุลาคม ๒๕๔๒
ท่านผู้ฟัง มี "การศึกษา" และมีการพูดกัน ว่ามี สุตมยปัญญา มี จินตามยปัญญา มี ภาวนามยปัญญาหรือ อะไรทำนองนี้ ความจริง อาจจะไม่ต้องไปคำนึงถึง "สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น" เพียงแต่ ทำความเข้าใจ "พื้นฐานของการฟังพระธรรม" มีการสังเกตได้บ้าง มีการระลึกได้บ้างแม้ "สติ" จะเกิดบ้าง ไม่เกิดบ้างก็ "เป็นผู้ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง" ว่า เช่น กำลังเห็น ขณะนี้ ถ้าไม่มีการพิจารณา คือ หลงลืมสติแล้วที่จะเกิด "สติปัฏฐาน" ก็เป็นสิ่งที่ยากมาก
ท่านอาจารย์ ขณะนี้ เป็น สุตมยปัญญา หรือเปล่าคะ
ท่านผู้ฟัง ถ้าจะเป็น ก็เป็น ในขณะที่ "เข้าใจ" และ ถ้า "คิดว่าเข้าใจ" ความเข้าใจ ก็คงมีหลายระดับความเข้าใจที่ยังไม่ถึง ระดับ หรือ ขั้นที่เป็นปัจจัยให้มีการ "ระลึกได้ในขณะนี้" ทุกคนบอกได้ ว่า "ทุกอย่างเป็นธรรมะ" .. "ธรรมะกำลังปรากฏ"แล้ว ปัญญา ก็เกิดขึ้น ความเห็นถูก ก็เกิดขึ้น.!แล้วจะไปยับยั้งปัญญา ที่จะไม่ให้รู้ต่อไป ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การบรรลุของบุคคล ในครั้งพุทธกาล นั้นผม เข้าใจว่า ทุกท่าน ที่มีโอกาส มา ณ ที่นี้ผมระลึกอยู่เสมอ ว่า ถ้าไม่เคยมา ก็คงไม่คิดอยากจะมาแต่ เมื่อมาแล้ว ทำไม ไม่เหมือนคนในสมัยนั้น.!คือ เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้วปรากฏว่า บางท่าน ... มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะบางท่าน เป็นพระอริยเจ้า เป็นต้น เพราะฉะนั้น จะต้องมีเหตุ ฟังพระธรรมอย่างไร จึงกล่าวว่า ฟังด้วยความเครรพที่อาจารย์กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ก็คิดว่า คงจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ร่วมได้ยินได้ฟัง ในที่นี้
ท่านอาจารย์ ก่อนที่ท่านพระสารีบุตร และ ท่านพระสาวกทั้งหลายจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถอยไปถึงสมัยของ "พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า" ท่านเหล่านั้น จะคิดไหมคะ ว่า เมื่อไรจะบรรลุ นานแสนนาน แต่ ก็ ค่อยๆ ผ่านไป ทีละขณะๆ ในชาติหนึ่งๆ ในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เราจะคิด ว่า เมื่อไหร่ แต่ขณะนี้ สภาพธรรมใด กำลังปรากฏแล้ว เข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรม นั้นๆ ถ้าไม่มีความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ เสียก่อนแล้ว "สติ" จะระลึก และ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้อย่างไร ในเมื่อ ไม่เคยฟังพระธรรมเลย หรือ ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย
เพราะฉะนั้น แต่ละคน ต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ ไม่รู้ คือ ไม่รู้ ไม่รู้อะไร แม้แต่ ไม่รู้อะไร ก็ยังไม่รู้ แต่ ผู้ที่เข้าใจ แม้ เพิ่งเริ่มฟังก็จะเข้าใจ ว่า "ไม่รู้ความจริง" ในขณะที่สภาพธรรม กำลังปรากฏ ขณะนี้ไม่รู้ความจริง ว่า "ไม่ใช่เรา" เช่น ขณะที่กำลังเห็น ขณะนี้
ถ้า "รู้ความจริง" ก็คือ รู้ ว่า "เห็น" เป็น สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ อย่างหนึ่งสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งปรากฏ เมื่อมีการกระทบกับ จักขุปสาท เท่านั้น สำหรับคนตาบอดสิ่งที่ปรากฏทางตานั้น ปรากฏไม่ได้เลย แต่ สำหรับคนที่มี จักขุปสาท นั้น มีปัจจัย ที่ทำให้เกิด การเห็นแต่ ไม่เคยเข้าใจ ว่า "การเห็น" เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป และ ไม่ควรกังวล กับสิ่งที่ดับไปแล้ว
เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่ประจักษ์การเกิดขึ้น และ ดับไป ของสภาพธรรมก็ค่อยๆ อบรม จนกว่าจะ "รู้ความจริง" ความจริง ของคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ได้หมายความว่า เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตายแต่หมายความว่าสังขารทั้งหลาย คือ สิ่งใดก็ตาม ที่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว จึงเกิดขึ้นเมื่อเกิดขึ้น กระทำกิจของตนๆ แล้ว ต้องดับไปทันที เช่น ขณะนี้ ที่กำลังเห็น จิตเห็นเกิด แล้วดับขณะนี้ ที่กำลังได้ยิน จิตได้ยินเกิด แล้วดับ เป็นต้น สภาพธรรมใดที่เกิด สภาพธรรมนั้น ต้องดับไปทันที นี่เป็น "สามัญญลักษณะ" หมายถึง ลักษณะทั่วไปของสภาพธรรมทั้งหลายเมื่อเกิด ก็ต้องดับนี่คือความหมายของคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การศึกษาพระธรรม
คือ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา ด้วยการพิจารณาจนเป็น ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นๆ โดยไม่ต้อง คิด ว่า เมื่อไร จะประจักษ์ การเกิดดับของสภาพธรรมหรือ เมื่อไร วิปัสสนาญาณจะเกิดหรือ เมื่อไร จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม. การศึกษาพระธรรม จึงเป็นเรื่องของการ "อบรม" .. "อบรม" เพื่อให้เกิดความรู้ และความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายที่กำลังปรากฏ ตามปกติ ตามความเป็นจริง
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์
ขออนุโมทนาครับ
สาธุ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ