เหตุปัจจัยที่รุมเร้าในชีวิตประจำวัน.กับสติที่ระลึกสภาพธรรม
โดย kajeerat  31 พ.ค. 2557
หัวข้อหมายเลข 24921

การฟังธรรมเพื่อสะสมความเข้าใจถูกและรู้ถูก. เห็นถูก. การสะสมที่เป็นจิรกาลภาวนา. คือฟังธรรมสะสมไปอีกยาวนาน แต่ในปัจจุบัน. ชีวิต. สิ่งแวดล้อมของสังคมเมืองรีบเร่ง. วุ่นวาย. กระทบและเกิดสภาพธรรมที่เป็นอกุศลส่วนมาก ขณะที่ข้าพเจ้าสะสมการฟังธรรมเพิ่มความเข้าใจถูกขณะนั้นจิตเกิดกุศล แล้วในชีวิตปรกติย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย. ซึ่งสติก็ระลึกได้บ้าง หลงลืมสติมาก. ในอดีตข้าพเจ้าเคยนั่งสมาธิมานานพอสมควร ปัจจุบันนี้สะสมการฟังธรรมของท่านอาจารย์.เพียงท่านเดียว

ขอเรียนถามท่านอาจารย์ทุกท่านว่า. นอกจากการฟังธรรมสะสมความมั่นคงแล้ว. ไม่ควรทำ. สมถภาวนา. เพิ่มเติมใช่หรือไม่คะ เพราะบางครั้งข้าพเจ้ารู้สึกว่าการดำเนินชีวิตไปตามวิบากกรรม. มีแต่ความทุกข์. ล้วนๆ . แม้ว่าทราบว่าสภาพธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่มี. เรา. เขา. สัตว์. บุคคล. ตัวตน แสดงให้เห็นว่าข้าพเจ้ายังไม่มั่นคงพอ ต้องฟังพระธรรมเพิ่มความมั่นคงและสะสมความเข้าใจต่อไป

กราบขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ทุกท่านค่ะ

กราบอนุโมทนา. สาธุค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 31 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ควรเข้าใจความจริงว่าหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง คือ การเข้าใจความจริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งกิเลส จะต้องละเป็นไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น คือ การละความเห็นผิดว่าเป็นเราเป็นสัตว์บุคคลก่อน คือ การบรรลุธรรม เป็นพระอริยบุคคล ก็เริ่มจากความเป็นพระโสดาบัน มี พระนางวิสาขาอุบาสิกา ท่านก็มีความโลภ ความทุกข์ หลานตายก็ร้องไห้เสียใจ เพราะ ท่านยังไม่ได้ดับโลภะ ยังไม่ดับโทสะ แต่ท่านละความเห็นผิด ไม่ยึดถือว่าเป็นท่านที่เศร้า เสียใจ ไม่ยึดถือว่าเป็นเราได้รับวิบากที่ไม่ดี แต่รู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรม เพราะฉะนั้น หนทางการดับกิเลส จึงไม่ใช่การจะไปเจริญสมาธิ นั่งปฎิบัติ ตามที่ชาวพุทธทำกันในสมัยนี้ แต่ หนทางที่ถูก คือ การเจริญสติปัฏฐานระลึกรู้ในสภาพธรรมที่เกิดในชีวิตประจำวัน แม้แต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้น อกุศลที่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เพราะมีกิเลสมาก และ เหตุปัจจัยถึงพร้อมก็ต้องเกิด แม้พระโสดาบันท่านก็เกิดกิเลส เกิดความทุกข์มากมายได้เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น กิเลส อกุศลที่เกิดขึ้น ความทุกข์ที่เกิดขึ้น ก็เข้าใจถูกว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา นี่คือ หนทางที่ถูกต้อง ครับ

ดังนั้น อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ จะเข้าใจถูกเป็นเบื้องต้น คือ เข้าใจว่าเป็นธรรมและเป็นอนัตตา เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ก็จะเดินหนทางที่ถูก คือ ไม่ใช่หนทางที่จะบังคับ หนทางที่จะทำ จะไประงับกิเลส เดือดร้อนกับกิเลส กับ ความทุกข์ เพราะรู้ว่าห้ามไม่ได้ แต่ อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไปในเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นหนทางเดียวในการดับกิเลส ซึ่งเมื่อปัญญาเจริญขึ้น กุศลประการต่างๆ ก็เจริญขึ้นตามปัญญา ทั้ง สมถะในชีวิตประจำวัน การมีเมตตา กรุณา ความคิดถูกในเรื่องต่างๆ ก็ทำให้คิดถูกในเรื่องราวที่เกิดขึ้นและที่สำคัญที่สุด ไม่ไปทำ ปฏิบัติในหนทางที่ผิดที่จะยิ่งไกลออกไป เพราะเป็นหนทางที่จะไปบังคับกิเลส ไม่ให้เกิด เพราะ มีความอยาก ความต้องการที่จะหนีความทุกข์ หนีกิเลส ทั้งๆ ที่หนีไม่ได้เลย เพราะเกิดแล้วเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น อยู่กับกิเลสด้วยความเข้าใจ ว่าไม่ใช่เรา เมื่อไหร่ปัญญาเกิด เมื่อนั้นรู้ความจริง หนทางนี้จึงต้องอดทน อดทนที่จะไม่ทำหนทางอื่น อดทนที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมต่อไป อดทนที่จะต้องมีทุกข์มีสุข มีกิเลสเกิดขึ้นธรรมดา และ จึงเป็นจิรกาลภาวนา คือ การอบรมปัญญาอย่างยาวนาน จนในที่สุด อีกนานแสนนานก็ดับกิเลสได้ในที่สุด ซึ่งพระอริยเจ้าทั้งหลายดับกิเลสได้แล้ว ใช้เวลานานแสนนานนับชาติไม่ถ้วนครับ ก็ขอให้มั่นคงในหนทางนี้ต่อไป คือ การฟัง ศึกษาพระธรรม ครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย ืnreturn  วันที่ 31 พ.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย natre  วันที่ 31 พ.ค. 2557

ขอบคุณครับคุณผเดิมตอบกระทู้ได้แจ่มแจ้ง ขออนุโมทนาครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 4    โดย khampan.a  วันที่ 31 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกขณะ ไม่พ้นไปจากธรรม มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ไม่เคยขาดธรรมเลย สิ่งที่ควรแสวงหา ก็คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง เป็นปัญญาที่เกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่เรา และปัญญา เป็นธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เหตุที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น นั้น ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยความละเอียด รอบคอบ เป็นผู้ตรง จริงใจในการฟัง ในการศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เท่านั้น

ที่ควรพิจารณา คือ การปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เราที่ปฏิบัติ ไม่ใช่การไปทำอะไรด้วยความเป็นตัวตน จดจ้องต้องการ แต่เป็นธรรมฝ่ายดี คือ สติและปัญญา เป็นต้น เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เกิดขึ้นปฏิบัติรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ในชีวิตประจำวัน เพราะไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ขณะใด มีความทุกข์ ความเดือดร้อนเพียงใดก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ เป็นไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ไม่พ้นจากนี้เลย ถ้ามีความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นโดยลำดับ ไม่ว่าก็สามารถรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ได้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ที่สำคัญจริงๆ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก

ดังนั้น ความเข้าใจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น ที่จะเป็นสาระเป็นประโยชน์ที่แท้จริงสำหรับชีวิต การอบรมเจริญปัญญาจึงเป็นเรื่องของบุคคลที่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เป็นการดำเนินไปตามหนทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ หนทางที่จะรู้ความจริง ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เพราะธรรม เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นสิ่งที่ควรศึกษาให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมฝ่ายดี เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่โดยไม่มีตัวตนที่ไปทำอะไรที่ผิดปกติ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 5    โดย wannee.s  วันที่ 31 พ.ค. 2557

ถ้ามีความทุกข์และไม่ทิ้งการฟังธรรม การพิจารณารู้ตรงลักษณะของความทุกข์ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เกิดแล้วดับไปไม่เที่ยง ค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย kajeerat  วันที่ 31 พ.ค. 2557

ขออนุโมทนากร


ความคิดเห็น 7    โดย kajeerat  วันที่ 31 พ.ค. 2557

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ. สาธุค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย natural  วันที่ 31 พ.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย สัตตานัง  วันที่ 31 พ.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

"สัตตานัง"


ความคิดเห็น 10    โดย j.jim  วันที่ 2 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย nong  วันที่ 3 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย peem  วันที่ 24 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย orawan.c  วันที่ 7 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย thilda  วันที่ 23 ธ.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ