ข้าน้อยด้อยปัญญาจริงๆ นะ ท่านเจ้าคะ ทั้งอ่านทั้งเปิดไฟล์เสียง ก็ยังไม่สว่างในการทำความเข้าใจ ก็ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ ดูไปก็เหมือนน่ารำคาญใจไม่น้อยทีเดียว สมมติว่าท่านผู้หนึ่ง ท่านผู้นั้นถอนความเป็นเราออกเสียสิ้น ทุกเงื่อนไขของความเป็นเรา ข้าน้อยไม่อาจจินตนาการถึงท่านผู้นั้นอย่างไรดี จะทรงสถานะอย่างไร ท่านผู้นั้นต่างกับคนทั้งหลายหรือไม่ต่างกันในประการใดบ้างหนอ
ผู้ที่ถอนความเป็นเราออกทั้งหมด คือ พระอรหันต์ ท่านไม่มีความหวั่นไหวกับสิ่งใดๆ ในโลกนี้หรือโลกไหนๆ ท่านเป็นผู้คงที่ในสุขและทุกข์ วางเฉยต่อสิ่งที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางใจ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชน เป็นผู้สูงสุด เป็นผู้ควรสักการะบูชา เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้สิ้นบุญและบาปเป็นผู้สิ้นอาสวกิเลส เป็นผู้อยู่จบพรหมจรรย์ เป็นผู้ปลงภาระได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีความชั่วในที่ลับ เป็นผู้หักซี่กำของสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้บรรลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว เป็นผู้รู้โดยชอบ เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นสัตบุรุษ ท่านเป็นบัณฑิตควรคบหา ฯลฯ
"สมมติว่าท่านผู้หนึ่ง ท่านผู้นั้นถอนความเป็นเราออกเสียสิ้นทุกเงื่อนไขของความเป็นเรา ข้าน้อยไม่อาจจินตนาการถึง ท่านผู้นั้นอย่างไรดี จะทรงสถานะอย่างไร ท่านผู้นั้นต่างกับคนทั้งหลายหรือไม่ต่างกันในประการใดบ้างหนอ"
- ผมเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตนครับ ไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ แต่จากที่ผมเริ่มศึกษาและเริ่มเข้าใจบ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ชีวิตได้พบความสงบสุขได้มาก ซึ่งคงไม่อาจเปรียบเทียบกับความสงบสุขของท่านเหล่านั้น ผู้ถอนความเป็นเราได้อย่างสมบูรณ์ ขอถามท่านวิทยากรครับว่า พระโสดาบันบุคคลดับสักกายทิฏฐิแล้วเหตุใดจึงยังไม่ถือว่า "ถอนความเป็นเราได้อย่างสมบูรณ์"
การยึดถือว่าเรามี ๓ อย่างคือ ด้วยตัณหา ๑ ด้วยมานะ ๑ ด้วยทิฏฐิ ๑
พระโสดาบันบุคคลท่านละการยึดถือว่าเราด้วยทิฏฐิเท่านั้น
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขออนุโมทนาครับ