วิถีมุตตจิต
วีถิ (แนวทาง ทางเดิน) + มุตฺต (พ้น) + จิตฺต (จิต)
จิตที่พ้นจากแนวทาง จิตที่พ้นวิถี
หมายถึง จิตซึ่งรู้อารมณ์ที่ไม่ได้ปรากฏในโลกนี้ คือ ไม่ได้รู้อารมณ์ทางทวาร ๖ ได้แก่ จิตที่ทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ และจุติ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้มี ภวังคจิต ไหม?
อาช่า: ...
ท่านอาจารย์: เรียนธรรมต้องเรียนทีละคำจริงๆ ให้ละเอียดแจ่มแจ้ง มิเช่นนั้น จะไม่เข้าใจเลย
นี่เป็นคำถามที่จะให้เข้าใจวิถีจิต แต่จะไม่ถามตรง ให้คิดไตร่ตรอง คุณอาช่าทราบแล้วใช่ไหมว่า จิตที่ไม่ใช่วิถีคืออะไร?
อาช่า: จิตที่ไม่ใช่วิถีเป็นจิตที่ไม่ได้เกิดทางทวารใดทวารหนึ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: ดิฉันพูดว่า ทุกจิตต้องรู้อารมณ์ จิตที่ไม่ใช่วิถีจิตเป็นจิตที่ไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้
ต้องตั้งต้นแล้วไม่ลืมนะ จิตเกิดขึ้น ไม่รู้อารมณ์ได้ไหม อารมณ์หมายถึงสิ่งที่จิตรู้?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: กำลังนอนหลับสนิท จิตรู้อารมณ์อะไร?
อาช่า: เป็นอารมณ์ในอดีต ไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้
ท่านอาจารย์: เมื่อนอนหลับสนิท มีจิตยังไม่ตาย แต่ขณะนั้นไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้ อารมณ์นั้นปรากฏไหม? ขณะนั้นจะรู้ไหมว่า เราเป็นใคร อยู่ที่ไหน?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ขอเชิญอ่านได้ที่..
การเกิดขึ้นครั้งแรกของขันธ์ ๕ [วิญญาณขันธนิเทศ]
ขอเชิญฟังได้ที่..
จิตที่ไม่ใช่วิถี : ปฏิสนธิจิต - ภวังคจิต - จุติจิต
ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และกราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน ผู้ถ่ายทอดคำท่านอาจารย์เป็นภาษาฮินดีค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นผลของกรรม ที่ทำให้เป็นคนนี้ในโลกนี้เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ ขณะเกิดจิตต้องรู้อารมณ์ แต่อารมณ์ไม่ปรากฏ
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะปฏิสนธิจิตมีอารมณ์เดียวกับจิตใกล้จุติของชาติก่อนใกล้ตายขณะสุดท้าย
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: จากขณะสุดท้ายที่ตายจากโลกก่อน เป็นปฏิสนธิทันทีของโลกใหม่ ขณะแรก มีอารมณ์เดียวกัน
เพราะฉะนั้น ขณะเกิด ขณะที่เป็นภวังค์ หลับสนิท และขณะจุติ มีอารมณ์เดียวกัน เพราะเป็นผลของกรรมเดียวกัน
เกิดเป็นนก นกยังไม่ตาย แล้วนกก็ตาย
เกิดเป็นปลา ปลายังไม่ตาย แล้วปลาก็ตาย
เพราะฉะนั้น เป็นผลของกรรมเดียวกันที่ทำให้เกิด เมื่อยังไม่ตาย ก็จิตประเภทเดียวที่เป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิด ก็ดำรงภพชาติ ใช้คำว่า ภวะ กับ อังคะ ทำกิจภวังค์
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ขณะที่เกิด มีอารมณ์เดียวไม่ปรากฏ ขณะที่เป็นภวังค์มีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิ อารมณ์จะปรากฏไหม?
อาช่า: ไม่ปรากฏค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก จิตต้องเกิดทำกิจภวังค์ ดำรงภพชาติ โดยอารมณ์ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น ภวังคจิตเกิดดับ ดำรงภพชาติ เหมือนกระแสน้ำที่ไหลไป แล้วเมื่อกระทบกับสิ่งที่กระทบตาก็เห็น
เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่หลับสนิท ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตา จิตเห็นจะเกิดเห็นสิ่งนั้นได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ทุกจิตที่ไม่ใช่ภวังคจิต เป็นวิถีจิต
ตอนนี้มั่นคงหรือยัง จิตเกิดดับสืบต่อจนกว่าจะมีการกระทบตา ขณะนั้นที่กระทบแล้วเห็น ไม่ใช่ภวังคจิต
เพราะฉะนั้น จิตทุกจิตที่ไม่ใช่ภวังคจิต เป็นวิถีจิตทั้งหมด
เห็น เป็นวิถีจิตหรือเปล่า?
อาช่า: เป็น
ท่านอาจารย์: ได้ยิน เป็นวิถีจิตหรือเปล่า?
อาช่า: เป็น
ท่านอาจารย์: คิด เป็นวิถีจิตหรือเปล่า?
อาช่า: เป็น
ท่านอาจารย์: ภวังคจิต เป็นวิถีจิตหรือเปล่า?
อาช่า: ไม่ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เข้าใจชัดเจนแล้วนะ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต เกิดเพราะกรรมเดียวกันเป็นปัจจัย แต่ทำกิจต่างกัน
จิต เกิดขึ้นทำกิจหนึ่ง ไม่ทำไม่ได้ จิตหนึ่งจิตทำสองกิจได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กรรมที่ทำให้ผลของกรรม คือวิบากจิต ขณะแรก ทำปฏิสนธิกิจเท่านั้น ทำกิจอื่นได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: จิตที่ทำกิจเกิด ปฏิสนธิทำปฏิสนธิกิจ จะทำจุติกิจได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะว่าปฏิสนธิจิตทำกิจปฏิสนธิ จุติจิตทำกิจจุติ ทำกิจเดียวกันไม่ได้ แต่ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต เป็นจิตประเภทเดียวกัน เป็นผลของกรรมเดียวกัน
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กรรมที่ได้ทำแล้ว จะเป็นปัจจัยให้จิตทำกิจปฏิสนธิเกิดขึ้น และเป็นภวังค์ ไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้เลย พอไหมที่จะเป็นผลของกรรม?
อาช่า: ไม่มีเหตุผลว่าจะเกิด แล้วก็เป็นภวังค์ แล้วก็ตาย ต้องมีกรรมอื่นที่ให้ผล
ท่านอาจารย์: ถ้ากรรมทำให้เกิด แล้วก็เป็นภวังค์ แล้วก็ตาย ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรเลย แล้วจะเป็นผลของกรรมได้ไหม แค่นั้น!! เพราะไม่มีอะไรปรากฏเลย
เพราะฉะนั้น กรรมให้ผลมากกว่านั้น มากกว่าปฏิสนธิ ภวังค์และจุติ
เพราะฉะนั้น เกิดแล้วจึงต้องเห็น ไม่เห็นไม่ได้ ใครจะรู้บ้างว่า เห็นเดี๋ยวนี้ เป็นผลของกรรมที่ต้องเห็น
มีใครเลือกเห็นสิ่งที่น่าพอใจได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: นี่ล่ะ.. วิถีจิตเริ่ม เพราะเกิดแล้วเป็นผลของกรรมที่ต้องเห็น เลือกไม่ได้ พูดอย่างนี้ดูเหมือนธรรมดา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ขณะเห็น ไม่ใช่ขณะที่หลับสนิท ไม่ใช่ขณะเกิด ไม่ใช่ขณะตาย
ใครทำให้ เห็น เกิดได้ไหม เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น?
อาช่า: ไม่ได้
ท่านอาจารย์: บางคนเห็นสิ่งที่น่าพอใจสวยงามมาก เพชรนิลจินดา บางคนเห็นสิ่งที่ไม่น่าจะสบายใจเลย เห็นซากศพอุบัติเหตุกลางถนน ต่างกันไหม?
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเกิดแล้วมีจริงๆ เป็นธรรม ธรรมที่เกิดเป็นธาตุรู้ จิต เจตสิก ต้องรู้สิ่งที่ปรากฏเป็นอารมณ์
เดี๋ยวนี้มี จิต ไหม?
อาช่า: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้ จิต รู้อารมณ์ไหม?
อาช่า: รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: กำลังนอนหลับสนิท มีจิตไหม?
อาช่า: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: จิตรู้อารมณ์หรือเปล่า?
อาช่า: รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: อารมณ์ของจิต ขณะที่หลับสนิทปรากฏไหม?
อาช่า: ไม่ปรากฏค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะที่หลับสนิทเป็นวิถีจิตหรือเปล่า?
อาช่า: ไม่ค่ะ
ท่านอาจารย์: ดีมาก ไม่ลืมตลอดชีวิตทุกชาติ เปลี่ยนไม่ได้เลย
กำลังเห็น เป็นวิถีจิตหรือเปล่า?
อาช่า: เป็นค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่สงสัยเลยนะ กำลังได้ยินเป็นจิต ไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นวิถีจิต
ที่กำลังได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทั้งวัน
เพราะฉะนั้น บางคนกล่าวว่า ทั้งวันมีแต่วิถีจิต แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ทั้งวันไม่ใช่มีแต่วิถีจิตเท่านั้น มีภวังคจิตเกิดสลับกับวิถีจิตด้วย เพราะขณะเห็นเป็นวิถีจิต ขณะได้ยินเป็นวิถีจิต ทันทีที่วิถีจิตที่เห็นดับ จะได้ยินต่อทันทีไม่ได้ ต้องมีภวังคจิตเกิดคั่น ด้วยเหตุนี้ ทั้งวันจึงเป็นวิถีจิตสลับกับจิตที่ไม่ใช่วิถี คือภวังคจิต
เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง? ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ และไม่ทรงแสดงความจริงที่ลึกซึ้ง ไม่ว่าใครทั้งสิ้น จะเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม ก็ไม่รู้ความจริงนี้ได้
เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อได้เริ่มฟัง คำ ของพระองค์ทีละคำ และเข้าใจความจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งที่พระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งปวง ทั้งสิ้น ทั้งหมด เป็นอนัตตา เพราะเป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่เกิดดับเร็วมาก ปกปิดความจริงทั้งชาติ
เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจวิถีจิตแล้วนะ เริ่ม แต่เดี๋ยวจะละเอียดขึ้น
เดี๋ยวนี้สิ่งที่ถูกเห็นมีไหม?
อาช่า: มีค่ะ
ท่านอาจารย์: กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เห็นจะเกิดก่อนสิ่งนั้นกระทบตาได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เห็นไหม? ก่อนเห็นยังต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เห็นเกิด ถ้าไม่มีตา จะเห็นได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: มีตา แต่ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏกระทบตา จะเห็นได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ว่า ต้องเห็นสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น ถ้าสิ่งนั้นไม่กระทบตา จะเห็นสิ่งนั้นได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: คุณอาช่าเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลัง แล้วไม่กระทบตาได้ไหม?
อาช่า: ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์: เริ่มเข้าใจว่า ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา ทุกอย่างที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ต้องเกิด เกิดแล้วต้องดับ เพราะไม่ได้เห็นตลอดเวลา สิ่งที่ปรากฏทางตาความจริงไม่ได้ปรากฏทั้งวันตลอดเวลา เพราะขณะที่ได้ยินไม่ใช่ขณะที่เห็นสิ่งที่ปรากฏ จริงไหม?
อาช่า: จริงค่ะ
ท่านอาจารย์: จิตเกิดดับเร็วมากมานานแล้ว สืบต่อไม่หยุดเลยจนถึงเดี๋ยวนี้ บางขณะเป็นจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต บางขณะเป็นจิตที่เป็นวิถีจิต
ขณะที่ไม่ใช่วิถีจิต เป็นจิตอะไร?
คุณสุคิน: คำตอบทีแรกอาช่าตอบว่า วิถีวิตตจิต ผมก็ถามว่า จิตไหนที่เป็นวิถีวิมุตติ คำตอบก็คือ ภวังค์ครับ
ท่านอาจารย์: ก็เรียนภาษาบาลีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทีละคำก็ได้นะ ไม่ใช่วิถีจิต พ้นจากการที่จะเป็นวิถีจิต เป็นวิถีจิตไม่ได้ นั่นคือวิถีวิมุตตจิต
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจจิตที่ไม่ใช่วิถีจิตแล้ว ต่อไปนี้เราจะศึกษาเรื่องของวิถีจิตทีละเล็กทีละน้อย จึงจะชื่อว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ใครก็ตามที่เพียงพูดว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่เข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงแสดงด้วยคำหลากหลายที่แสดงความต่างๆ ของธรรม จะรู้ความจริงได้ไหม? จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหรือเปล่า?
อาช่า: ไม่มีค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: ใครก็ตามที่เพียงพูดว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่เข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงแสดงด้วยคำหลากหลายที่แสดงความต่างๆ ของธรรม จะรู้ความจริงได้ไหม? จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหรือเปล่า?
อาช่า: ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต้องตรงในความหมายของ พุทธะ ไม่ใช่ปัญญาธรรมดา แต่เป็นปัญญาที่เหนือปัญญาใดๆ เพราะทรงแสดงความจริงที่ถูกปกปิดไว้ เมื่อไม่ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
ก่อนฟัง คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ไหมว่า ธรรมคืออะไร?
อาช่า: ไม่รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: และ ถ้าไม่รู้ว่า ธรรมคืออะไร จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหรือ?
อาช่า: ไม่ค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าคิดว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ฟังคำของพระองค์ให้เข้าใจเลย จะเป็นความจริงไหมว่า มีพระองค์เป็นที่พึ่ง?
อาช่า: ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จึงเริ่มสัจจบารมี ทุกคำที่เริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นการเคารพ และพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตั้งแต่เริ่มได้ฟัง จนกระทั่งเข้าใจขึ้นจนประจักษ์แจ้งความจริงได้ จึงเริ่มเข้าใจความหมายของ ธรรม สัจจธรรม อริยสัจจธรรม
เพราะฉะนั้น เรากำลังเริ่มต้นนะ ที่จะเข้าใจวิถีจิตแรก
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ทำไมใช้คำว่า วิถีจิตที่หนึ่ง หรือวิถีจิตแรก เพราะวิถีจิตทุกขณะ ทุกวิถีจิตเป็นจิตที่รู้อารมณ์ที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ถ้าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ ไม่กระทบตา จะเห็นไหม?
อาช่า: ไม่เห็นค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่เห็นแน่ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดของวิถีจิต ขณะที่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาที่เล็กที่สุดที่กระทบตา ขณะนั้นจิตเป็นอะไร? ทันทีที่สิ่งที่กระทบตาเดี๋ยวนี้ กระทบ จักขุปสาทะ รูปพิเศษที่สิ่งที่กระทบตาสามารถกระทบได้เพียงรูปเดียว ขณะนั้นจิตเป็นอะไร?
อาช่า: เป็นภวังค์ค่ะ
ท่านอาจารย์: ภวังค์ไหน เพราะอะไร?
อาช่า: ภวังคุปเฉทะ
ท่านอาจารย์: ขณะที่ สิ่งที่กำลังกระทบตา เราจะใช้ว่า รูป รูปารมณ์ หรือสีสันวรรณะก็ได้ ไม่ใช้คำอะไรเลยก็ได้นะ สิ่งนี้มีจริงกระทบตา จักขุปสาทะ ขณะนั้นที่รูปนั้นกระทบตา จิตขณะนั้นเป็นอะไร?
อาช่า: เป็นภวังคุปเฉทะ
ท่านอาจารย์: ค่ะ เป็นภวังค์ แต่เป็นภวังค์แรกที่ถูกกระทบ ถูกต้องไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: กำลังเป็นภวังคจิตๆ ๆ แล้วมีรูปมากระทบตา ขณะนั้นจิตกำลังเป็นภวังค์ ขณะที่รูปกระทบตาครั้งแรกสุด กระทบภวังค์ที่ชื่อว่า อตีตภวังค์
อาช่า: ค่ะ อตีตภวังค์
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ท่านอาจารย์: รูปที่กระทบตาครั้งแรก ชื่อว่า อตีตภวังค์ ทำไมเรียก อตีตภวังค์?
อาช่า: ไม่ทราบค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะแสดงว่า รูปทุกรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ตราบใดที่รูปยังไม่ดับ ก็จะเป็นปัจจัยให้จิตรู้รูปที่กระทบ จิตทุกขณะที่รู้รูปที่ยังไม่ดับเป็นวิถีจิต ถ้าพูดอย่างนี้หมายความว่า วิถีจิตมีหลายขณะไม่ใช่ขณะเดียว
จิตทุกจิตต้องเกิดขึ้นทำกิจสืบต่อกันตามลำดับ เพราะฉะนั้น ภวังคจิตจะเห็นไม่ได้ แต่วิถีจิตเท่านั้นที่สามารถจะรู้อารมณ์ที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้
อย่าลืมว่า รูปอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ๑๗ ขณะเร็วมาก เมื่อรูปดับแล้ว จิตจะรู้รูปนั้นต่อไปไม่ได้เพราะรูปดับแล้ว
มีหลายคนบอกว่าวิถีจิตยาก เพราะไม่ฟังให้ดีๆ ไม่ฟังให้ละเอียดทีละ ๑ วิถีจิต เป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดไม่เคยรู้มาก่อนเลย จึงเป็นสิ่งที่ใหม่มากทำให้รู้ว่ายากมาก
เพราะฉะนั้น ขณะแรกที่รูปกระทบตา ขณะนั้นจิตเป็นภวังค์ เราใช้คำทุกคำที่จะให้เห็นความต่างของจิตต่างๆ ที่รู้รูปที่ยังไม่ดับเป็นวิถีจิตทั้งหมด
ไม่รีบร้อนที่จะเข้าใจเร็วๆ จำเร็วๆ แต่ต้องเข้าใจละเอียดขึ้น รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ทันทีที่รูปเกิดกระทบภวังค์ ๑ ขณะแล้ว เพราะฉะนั้น รูปมีอายุเหลืออีกกี่ขณะ?
อาช่า: ๑๖ ขณะค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ภวังค์ที่ถูกกระทบ ชื่อว่า อตีตภวังค์ เพื่อจะรู้ว่า รูปจะดับเมื่อไหร่ รูปเกิดพร้อมกับอตีตภวังค์ ๑ ขณะ จะให้จิตเกิดขึ้นเห็นทันทีไม่ได้ เพราะกำลังเป็นกระแสภวังค์ ต้องสิ้นสุดกระแสของภวังค์จึงสามารถจะรู้รูปที่กระทบได้
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ขณะที่ ๑ เป็นอตีตภวังค์ ขณะที่ ๒ ยังรู้ทันทีไม่ได้ ต้องไหวที่จะทิ้งอารมณ์เก่า จึงชื่อว่า ภวังคจลนะ
ภวังคจลนะมีอะไรเป็นอารมณ์?
อาช่า: เป็นอารมณ์ของชาติก่อนค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อารมณ์ของภวังค์ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นภวังค์อะไรก็ตามแต่ ภวังค์ต้องมีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิ จุติ มีอารมณ์ของชาติก่อน
เพราะฉะนั้น รูปกระทบเป็นอตีคภวังค์ ขณะที่ ๒ ภวังค์ไหวเพื่อที่จะรับอารมณ์ใหม่ แต่ยังต้องมีอารมณ์เดิมเพราะทำหน้าที่ภวังค์ จึงเป็นภวังคจลนะ
เพราะฉะนั้น ถ้ามีภวังคจลนะ ก็แสดงว่า ยังรู้อารมณ์ของภวังค์อยู่ แล้วภวังคจลนะดับไหม?
อาช่า: ดับค่ะ
ท่านอาจารย์: การดับไปของภวังคจลนะ เป็นปัจจัยให้ภวังค์ที่เกิดต่อสิ้นสุดกระแสของภวังค์ เป็นภวังค์ต่อไปไม่ได้
เป็นภวังค์ต่อไปไม่ได้ หมายความว่าอะไร?
อาช่า: เพราะว่า หลังจากนั้นต้องเกิดวิถีจิตค่ะ
ท่านอาจารย์: ต่อจากนั้น ต้องเป็นวิถีจิตหมายความว่าอะไร?
อาช่า: เป็นเพราะว่า หลังจากที่กระทบกับปสาทรูป ต้องรู้อารมณ์นั้น
ท่านอาจารย์: อารมณ์กระทบภวังค์ เพราะฉะนั้น จะเป็นภวังค์ต่อไปไม่ได้ แต่ต้องหลังจากที่กระทบแล้ว ๑ ขณะ เป็นภวังค์ ขณะต่อไปภวังคจลนะเริ่มไหวที่จะทิ้งอารมณ์เก่า เมื่อภวังคจลนะดับแล้วจึงเป็นภวังคุปเฉทะ สิ้นสุดกระแสของภวังค์ เป็นภวังค์ต่อไปไม่ได้เพราะมีอารมณ์กระทบ จึงเป็นปัจจัยให้ต้องรู้อารมณ์ที่กระทบ
อาช่า: ก็ต้องรู้อารมณ์ที่กระทบแล้ว
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จิตต่อไปคือจิตอะไร?
อาช่า: ปัญจทวาราวัชชจิตค่ะ
ท่านอาจารย์: เป็นจิตอะไร?
อาช่า: กิริยาจิต
ท่านอาจารย์: เป็นอะไร?
อาช่า: เป็นจิตที่ไม่ได้เป็นวิบาก ไม่ได้เป็นกุศลอกุศล
ท่านอาจารย์: แต่เรากำลังเรียนเรื่องจิตที่เป็นวิถีจิต กับจิตที่ไม่ใช่วิถีจิตให้มั่นคงให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงชื่อ?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่อภวังคุปเฉทะดับ เป็นภวังค์ต่อไปไม่ได้ จิตต่อไปเริ่มเป็นวิถีจิต
คำว่า เริ่มเป็นวิถีจิต หมายความว่าอะไร?
อาช่า: หมายถึงเป็นวิถีจิตแรก
ท่านอาจารย์: หมายความว่า จะต้องมีวิถีจิตอื่นต่อไปใช่ไหม เพราะใช้คำว่า เริ่มวิถีจิตแรก
อาช่า: ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เวลาภวังคุปเฉทะดับ เป็นปัจจัยให้วิถีจิตแรกเกิดขึ้น ทำกิจอะไร?
อาช่า: ทำกิจที่จะรู้ว่า อารมณ์อะไรที่กระทบค่ะ
ท่านอาจารย์: จิตนี้ เห็นไหม?
อาช่า: ไม่เห็นค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะอะไร?
อาช่า: เพราะมีกิจของตนเองค่ะ
ท่านอาจารย์: กิจนั้นคืออะไร?
อาช่า: ไม่สามารถจะเจาะจงว่า จะเรียกว่ากิจอะไรค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่เรียก แต่ถ้าไม่ใช้ชื่อก็ไม่รู้นะ แต่ชื่อนั้นต้องตรงกับหน้าที่ของจิต
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เมื่ออารมณ์กระทบตา ขณะนั้นจิตเป็นภวังค์ ยังไม่เห็น จนกว่าจะหมดกระแสภวังค์ จึงจะมีอารมณ์อื่นได้
เพราะฉะนั้น เมื่อภวังคจิตไม่ใช่วิถีจิต จิตที่ไม่ใช่ภวังค์จึงเป็นวิถีจิต เพราะเริ่มรู้สิ่งที่กระทบ ไม่ว่าทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย จึงไม่ใช่ภวังค์ เพราะมีอารมณ์ใหม่ คือรู้อารมณ์ที่กระทบตา
เพราะฉะนั้น จิตที่เพียงรู้ว่า อารมณ์กระทบตา ภาษาบาลีใช้คำว่า อาวัชชนะ คุณอาช่าอยู่ในห้อง มีแขกมาที่ประตู เห็นไหม?
อาช่า: ไม่เห็นค่ะ ถ้ามีใครที่ประตู
ท่านอาจารย์: ไม่เห็น แต่รู้ไหมว่ามีคนที่หน้าประตู?
อาช่า: รู้ค่ะ
ท่านอาจารย์: รู้ แต่ไม่เห็นใช่ไหม?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จิตนี้เป็น วิถีจิตแรก ที่รู้ว่ามีอะไรกระทบทางไหน ทวารไหน?
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ก่อนได้ยิน เสียงต้องกระทบหู เพราะฉะนั้น ในขณะที่เป็นภวังค์ ไม่มีอะไรกระทบเลย ก็เป็นภวังค์ต่อไป แต่ในขณะที่เป็นภวังค์ แล้วมีสิ่งที่กระทบตา หรือหู หรือจมูก ก็ตามแต่
ตา เป็นปัจจัยให้เกิดเห็น แต่เห็นสิ่งที่ถูกเห็นกระทบตา ตาเป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นปัจจัยที่จะทำให้ เห็น ซึ่งเป็นผลของกรรม
เพราะฉะนั้น ทันทีที่รูปกระทบตานั้นเป็นภวังค์ ภวังค์เกิดดับสืบต่อจนกว่าจะมีอะไรกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะฉะนั้น เมื่อตาเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตเห็นเกิด เมื่อรูปกระทบตาขณะที่เป็นภวังค์ ขณะแรกที่กระทบตาเป็นภวังคะ ที่ใช้คำว่า อตีตภวังค์ เพราะจะให้รู้ว่า รูปจะดับเมื่อไหร่ เพราะรูปจะดับเมื่อจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ
เพราะฉะนั้น รูปกระทบตา รูปเกิดกระทบตากี่ขณะเมื่อกระทบ? เป็นรูปกี่ขณะที่กระทบตา?
อาช่า: เป็นจิตแรกใน ๑๗ ขณะที่จะเกิด
ท่านอาจารย์: เป็น ๑ ขณะของรูปที่เกิดใช่ไหม เพราะรูปจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ?
อาช่า: ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ถ้าจิตยังคงเป็นภวังค์ต่อไป ไม่เห็น ก็ไม่ได้รับผลของกรรมทางตา แต่ทุกขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรมที่จะต้องเกิดขึ้นให้จิตรู้สิ่งนั้น
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: ภวังค์ที่ถูกกระทบ ๑ ขณะ เพราะฉะนั้น ขณะที่ภวังค์ที่รูปกระทบดับ จิตจะเกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบทันทีไม่ได้ เพราะกำลังเป็นกระแสของภวังค์ ยังต้องเป็นภวังค์ต่อไปอีก แต่เริ่มไหวที่จะทิ้งอารมณ์เก่า จึงชื่อว่า ภวังคจลนะ
ตอนนี้กำลังพูดเรื่องอายุของจิต กับอายุของรูปซึ่งต่างกัน เพราะถ้ารูปดับไปแล้ว จิตจะเกิดขึ้นรู้รูปนั้นไม่ได้ แต่เพราะรูปๆ หนึ่งมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เราจึงแสดงจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ของรูปซึ่งยังไม่ดับ
รูปเกิดกระทบตา ขณะนั้นเป็นภวังค์ จึงชื่อว่า อตีตภวังค์ เพราะแสดงว่ารูปเกิดที่ขณะภวังค์นั้น
รูปเกิดกระทบตา กระทบภวังค์ จะเกิดเห็นทันทีไม่ได้ เพราะเมื่อรูปกระทบตาแล้ว ต้องเป็นภวังค์ต่อไปอีก ๒ ขณะ ขณะที่รูปกระทบตาเป็นอตีตภวังค์ ๑ ขณะดับ ยังคงต้องเป็นภวังค์ต่อไป แต่ว่า เริ่มไหวที่จะทิ้งอารมณ์เก่าเพื่อที่จะรู้อารมณ์ใหม่ใช้คำเรียกภวังค์ต่อจากอตีตภวังค์ว่า ภวังคจลนะ เริ่มที่จะทิ้งอารมณ์เก่า
ขณะนั้น รูปดับหรือยัง?
อาช่า: ยังค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น รูปยังเหลืออีกกี่ขณะจิต?
อาช่า: อีก ๑๕ จิตที่จะรู้รูปนั้น หลังจากภวังคจลนะค่ะ
ท่านอาจารย์: รูปยังเหลืออยู่อีกกี่ขณะ?
อาช่า: ๑๕ ค่ะ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ภวังคจลนะดับ ยังรู้อารมณ์ทันทีไม่ได้ ต้องเป็นภวังค์ขณะสุดท้ายที่จะมีภวังค์นั้นต่อไปไม่ได้ เป็นภวังคุปเฉทะ ทำหน้าที่ตัดกระแสภวังค์ หมายความว่าหลังจากนั้น ภวังคจิตจะเกิดต่อไปไม่ได้ ต้องเป็นวิถีจิต
เหลือรูปอีกเท่าไหร่?
อาช่า: ๑๔ ค่ะ
ท่านอาจารย์: ไม่ต้องถาม ไม่ต้องตอบก็ได้นะ เพราะรู้อยู่แล้วว่า รูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งจึงดับ แต่ถามเพื่อให้มีเวลาที่จะคิด และจำ ไม่ลืมเรื่องอายุของรูปกับอายุของจิต
ตอนนี้เป็นภวังค์สุดท้ายแล้วนะ หมายความว่าอะไร?
อาช่า: หมายความว่า หลังจากนั้นต้องเป็นวิถีจิตค่ะ
ท่านอาจารย์: หมายความว่า เมื่อเป็นภวังค์สุดท้าย ต่อจากนั้นเป็นภวังค์ไม่ได้ ต้องเป็นวิถีจิต คือรู้สิ่งที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อาช่า: ค่ะ
ท่านอาจารย์: จากภวังคุปเฉทะ ต้องเป็นวิถีจิตแรก หมายความว่าที่ ๑ แสดงว่า วิถีจิตมีหลายขณะรู้รูปที่ยังไม่ดับไปทีละหนึ่งขณะ จนกว่ารูปดับจึงรู้รูปนั้นต่อไปไม่ได้ เพราะรูปดับแล้ว
ทันทีที่รูปดับ จิตรู้รูปนั้นต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะต่อไปจิตทำหน้าที่อะไร จิตอะไรเกิด?
อาช่า: หลังจากนั้นก็ต้องเป็นภวังค์ต่อ
ท่านอาจารย์: ถูกต้อง เพราะฉะนั้น จึงมีภวังคจิตซึ่งไม่ใช่วิถีจิต และวิถีจิตหลายขณะ
วิถีจิตที่รู้รูปทางตา ไม่ใช่ขณะเดียว หลายขณะเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เราเห็น หรืออะไรเห็น?
อาช่า: เห็นเห็นค่ะ ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์: ถามอีก ให้ตอบให้ตรงทุกคำถามได้นะ เดี๋ยวนี้ เห็น อะไรเห็น?
อาช่า: เป็นจิตที่เห็นค่ะ
ท่านอาจารย์: ต้องตอบว่า เป็นวิถีจิต เรากำลังพูดเรื่องวิถีจิต กับวิถีมุตตจิต
เราสนทนาเรื่องนี้เพื่อไม่ให้ลืม จิตที่ต่างกัน เป็นจิตที่ไม่ใช่วิถีจิตเป็นภวังคจิต ดำรงภพชาติ ไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้เลย กับวิถีจิตที่เห็น ได้ยินสิ่งต่างๆ ที่มีในโลกนี้ แต่ไม่ใช่ ๑ ขณะ จึงเป็นวิถีจิตทุกขณะที่รู้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบอนุโมทนาในการเผยแพร่พระธรรมคำจริงค่ะสาธุค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ