ปัจจุบันวิบาก.มาจากการสะสมของกรรมในอดีต..แต่เราจำเรื่องราวในอดีตชาติไม่ได้เลย. (ระลึกชาติไม่ได้) อย่างนี้เราจะเชื่อและเข้าใจได้อย่างไรว่าชีวิตเราเกิดขึ้นเป็นไปเพราะกรรมในอดีตส่งผล ... ช่วยแสดงขอความเข้าใจเรื่องนี้ด้วยครับ..เหมือนสำนวน สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น.นั่นแหละครับ ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แต่ละคนเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วนจริงๆ ตามข้อความใน [เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่๕๐๖ ดังนี้
๑. ติณกัฏฐสูตร (ว่าด้วยที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายของสังสาระ)
[๔๒๑] ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย แล้วได้ตรัสว่า ดูกร ภิกษุ ทั้งหลาย สังสาระนี้กำหนดที่พูดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ที่สุดเบื้องต้น ย่อมไม่ปรากฏ
[๔๒๒] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัดทอนหญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดๆ ละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่านี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเรา โดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่า หญ้า ไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสังสาระนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนาน เหมือนฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านั้น พอทีเดียวที่จะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้
จบติณกัฏฐสูตรที่ ๑
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ควรอย่างยิ่งที่จะได้ศึกษา เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง การได้เกิดเป็นมาเป็นมนุษย์ ก็ต้องเกิดด้วยผลของกุศลกรรม นั่นย่อมเป็นเครื่องบ่งบอกว่าต้องเคยได้ทำดีมาแล้วในชาติก่อนๆ ก่อนที่จะมาเกิดในโลกนี้ ก็ไม่เคยคิดเลยว่าโลกนี้เป็นอย่างไร เพราะอยู่ในโลกก่อน แต่พอได้เกิดแล้ว จึงรู้ว่าโลกนี้เป็นเช่นนี้
ควรที่จะได้พิจารณาว่า อกุศลกรรมและกุศลกรรมที่แต่ละคนกระทำในชาติก่อนๆ รวมถึงชาตินี้ด้วย ย่อมสะสมสืบต่อไปในจิต แม้ว่าจะเกิดเป็นบุคคลใหม่ในชาติใหม่แล้วก็ตาม วิบาก คือ ผลของกรรมย่อมเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น ตามสมควรแก่เหตุ กรรมที่กระทำไว้ไม่ได้หายไปไหน แม้ผู้ทำกรรมจะลืมไปแล้ว แต่กรรมย่อมไม่ลืมที่จะให้ผล เมื่อได้เหตุปัจจัย ก็ทำให้ผลเกิดขึ้น โดยไม่มีใครทำให้เลย
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในชีวิตประจำวันย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แม้ในเรื่องกรรมและผลของกรรม ก็เช่นเดียวกัน ไม่พ้นไปจากธรรมเลย ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันด้วย ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ย่อมจะเป็นผู้มีความเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลแต่ละคน หรือแม้กระทั่งเกิดกับตัวเอง ไม่ว่าดีหรือร้าย น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนาก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะกรรมที่เคยได้กระทำมาแล้วทั้งสิ้น ไม่มีใครทำให้เลย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ผลที่จะเกิดย่อมมีไม่ได้ แต่เพราะมีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสที่กรรมจะให้ผล ผลจึงเกิดขึ้น
ความดีเป็นสิ่งที่ควรสะสมอบรมเจริญ ส่วนสิ่งที่ไม่ดี คือ อกุศลทั้งหลาย ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและแก่บุคคลอื่น ไม่ควรที่จะสะสมให้มีมากขึ้น เพราะเหตุว่า อกุสลกรรม เป็นที่พึ่งไม่ได้ แต่สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายทั้งในโลกนี้และในโลกหน้านั้น ก็คือ กุศลความดีทั้งหลาย เท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญา ซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงนั่นเอง ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณ Kuat639 และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ