ผู้ที่มีธรรมจริงๆ จะดูออกได้เลยว่า คู่สนทนานั้นแสดงธรรม หรือว่าแสดงโทสะแม้อย่างละเอียดได้ใช่ไหม
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ดังนี้
ท่านอาจารย์สุจินต์.....เรื่องของโทสะซึ่งใครๆ ก็รู้ใช่ไหมคะ แต่ว่าเป็นเราที่โกรธ แต่เวลาที่สติเกิดก็คือโทสะที่กำลังปรากฏนั่นแหละ แต่เริ่มค่อยๆ เข้าใจว่า ลักษณะนั้นเป็นสภาพธรรม
ลองคิดดูว่า เป็นเราโกรธกับเป็นสภาพธรรม เป็นความต่างไหม เราโกรธ นี่อย่างหนึ่งเลย เราโกรธ แต่พอรู้ว่าเป็นสภาพธรรม ขณะนั้นเป็นสภาพธรรม มีจริงๆ ลักษณะหนึ่ง แล้วต้องรู้ทั่วทุกอย่าง ขณะนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเสียง ไม่ว่าจะเป็นสี ไม่ว่าจะเป็นคิดนึก ทุกอย่าง ต้องเป็นทุกอย่างที่สติปัฏฐานระลึก จนรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมจริงๆ
เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องตรงกับการอบรมเจริญปัญญาที่จะต้องรู้ตามลำดับขั้นด้วย คือ ขั้นแรกเรารู้ว่าเป็นธรรม เมื่อรู้อย่างนี้เป็นขั้นปริยัติ ขั้นปฏิบัติก็คือมีการระลึกลักษณะของธรรมจริงๆ แล้วเริ่มเข้าใจว่า นั่นเป็นธรรม เพราะความเข้าใจว่าเป็นธรรมกับความเป็นเราโกรธต่างกันมาก
นี่ค่ะทุกอย่างไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้นคนนั้นก็จะเริ่มรู้ว่า สติระลึกทางไหน ถ้าระลึกลักษณะที่โกรธ แต่ทางตานี่ไม่เคยระลึกเลย คนนั้นก็รู้ว่า สภาพที่เป็นนามธรรมยังปรากฏไม่ได้แน่นอน เพราะความเข้าใจลักษณะของนามธรรมไม่พอที่สภาพนามธรรมจะปรากฏโดยความเป็นนามธรรม เพราะว่าความเข้าใจว่าเป็นธรรมกับความเป็นเราโกรธนี่ต่างกันมาก
เพราะฉะนั้นเราเริ่มเข้าใจความหมายของปัญญา ลักษณะของปัญญาเจตสิกว่า ปัญญาเจตสิกก็คือสภาพที่เข้าใจถูกต้องในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็มีหลายระดับมาก ขั้นฟังก็ยังอ่อนมาก คือ หมายความว่าเป็นเพียงเรื่องราวเท่านั้นเอง แต่เวลาที่สภาพธรรมมี แล้วก็อาศัยการฟังที่เคยเข้าใจมากๆ แล้ว ก็ทำให้มีสัมมาสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งระลึกได้ ไม่ใช่ไม่ได้ อย่าไปคิดว่า ยากเกินไป ยากเย็นเหลือเกิน ชาตินี้จะมีไหม นั่นคือไปมัวคิดเรื่อง เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามีปัจจัยที่สติจะเกิด สติเกิดเลย ไม่ต้องไปนั่งคิดว่า อีก ๑๐ ปี หรือว่าชาติหน้า เหมือนกับว่าเมื่อมีปัจจัยที่จะได้ยิน ได้ยินก็ต้องเกิด มีปัจจัยที่จะเห็น เห็นก็ต้องเกิด มีปัจจัยที่สัมมาสติจะเกิด สัมมาสติก็เกิด
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ให้เข้าใจว่าเป็นธรรมดา ธรรมเป็นธรรมดา ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องอยากให้สติเกิดอีกด้วยความไม่รู้ ใช่ไหมคะ แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างต้องเพื่อการละ ถ้าสติเกิดแล้วดับก็เป็นธรรมดา ทำไมจะต้องไปอยากอีก ก็แล้วแต่มีปัจจัยเมื่อไร สติก็เกิด คือให้เข้าใจถ่องแท้ถึงสภาพธรรมทุกอย่างที่กำลังปรากฏขณะนี้ มีปัจจัยจึงเกิด ไม่ใช่มีปัจจัยโดยเราไปนั่งเรียนปัจจัย แต่เพราะรู้ความเป็นปัจจัยว่า ต้องมีปัจจัย ไม่อย่างนั้นก็เกิดไม่ได้ เพียงแค่นี้เราก็ไม่เดือดร้อนแล้ว โลภะจะเกิดก็เพราะมีปัจจัย โทสะจะเกิดก็เพราะมีปัจจัย สภาพธรรมใดเกิดแล้วต้องดับ ไม่ใช่ไม่ดับ แล้วจะไปทำอะไรกับสภาพธรรมที่เกิดดับ นอกจากศึกษาด้วยสติสัมปชัญญะ รู้ความจริงว่าเป็นธรรมตรงกับที่ได้ฟัง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โทสะมีจริง เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมโทสะก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะเข้าใจธรรมหรือไม่เข้าใจธรรมก็ตาม นี้คือความจริง และ เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอพระคุณ และขออนุโมทยาสาธุ ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ทุกอย่างตามการสะสม บางคนสะสมเมตตา พร้อมที่จะช่วยเหลือเสียสละ บางคนก็สะสมความโกรธ โกรธง่าย ไม่มีใครทำอะไรกิเลสได้ นอกจากอบรมปัญญาจนกว่าจะดับกิเลสหมดบรรลุเป็นพระอรหันต์ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ