ผมภาวนามาสักพักนึง แล้ว อยู่ดีๆ เหมือนจิตมันเกิดการปรุงชั่ว มันแอบบอกว่าลองไปเล่นโทรศัพท์สิ เล่นโซเชี่ยลนิดเดียวไม่เป็นไรหรอก คราวนี้กลายเป็นติดโทรศัพท์เลยครับ ทำอย่างไรก็ไม่หาย จะภาวนาวิธีไหน จิตมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฟุ้งอยากจะจับโทรศัพท์มาเล่น แต่ไม่ได้ติดโซเชี่ยลนะครับ จิตเหมือนมันหลอกให้เราว่า ถ้าอยากชนะการเล่นโทรศัพท์ ก็จงเล่นหนักๆ เล่นจนมันเบื่อไปเลย เล่นไปเหอะเดี๋ยวก็เบื่อ ไปเอง และมีอาการขี้เกียจภาวนา แบบค่อยภาวนาเราก็บริกรรมตลอดถ้าจิตมันไม่หลงอยู่แล้ว เดี๋ยวค่อยสวดมนต์ ไม่เป็นไรหรอก สวดกับไม่สวดก็มีค่าเท่ากัน ชีวิตก็อยู่ได้ปกติ โดยสรุปแล้วเหมือนโดนความคิดมันยงการ พอจะภาวนาเพื่อขัดขืนความคิด จิตจะแกว่งส่ายไปมา ภาวนาไม่ได้เลยครับ
โดย ที่กล่าวมา มีวิธีไหนจะแก้อาการเหล่านี้ได้บ้างครับ แล้วอาการเหล่านี้มันเกิดจากกิเลสตัวไหนหรือครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอให้กลับมาตั้งต้นใหม่ทั้งหมดเลย เพราะเหตุว่า การทำอะไรด้วยความไม่รู้ นั่น ไม่ใช่ภาวนา แต่เป็นการปฏิบัติผิด เป็นการกระทำในสิ่งที่ผิด ที่ทำในสิ่งที่ผิดนั้น เป็นเรื่องของกิเลส ตัวหลักเลย คือ ความไม่รู้ ความติดข้อง และความเห็นผิด เพราะเหตุว่าภาวนา ไม่ใช่การท่องบ่น ไม่ใช่การไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่การปฏิบัติผิด แต่เป็นปัญญาที่อบรมเจริญขึ้น เป็นความรู้ความเข้าใจตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ ซึ่งเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาอย่างแท้จริง จะต้องไม่ขาดการฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงๆ ให้เข้าใจ
ชีวิตประจำวัน เป็นธรรม แต่ละขณะๆ ซึ่งปัญญาสามารถเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่ไม่ใช่เรา เป็นเรื่องที่เบาสบาย ไม่หนักที่จะไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความไม่รู้ ครับ
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้
"ต้องเข้าใจคำว่า “ภาวนา” หมายความว่าอบรม ทำให้ธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น แล้วธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเจริญขึ้น จึงใช้คำว่าภาวนา แสดงว่าปัญญาเพียงชั่วขณะ ๒ ขณะไม่พอ แม้ว่าเกิดเพียงครั้งเดียวก็จะต้องอบรมอีก ให้มากขึ้นอีก ให้เจริญขึ้นอีก จนกว่าที่จะถึงระดับที่เป็นโลกุตตรปัญญา เพราะฉะนั้นภาวนามยปัญญาคือ ขณะใดที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้วเข้าใจ ค่อยๆ อบรม จนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกต้องในลักษณะนั้น นั่นเป็นภาวนามยปัญญา"
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
อ้างอิงจาก ความคิดเห็นที่ 1 โดย khampan.a
ขอโทษนะครับ
ผมก็ยังไม่เข้าใจ ช่วยอธิบายสั้นสั้นแบบเข้าใจง่ายๆ ได้ไหมครับ
คือ ตอนนี้เวลาผมภาวนา ก็ตามรู้ตามดูจิต เมื่อเวลามันฟุ้งซ่านหรือ ไปคิดไปนึก กับเหตุการณ์ข้างนอก ซึ่งเวลาตามรู้ตามดูมันเกิดขึ้นเอง มันเป็นอัตโนมัติของมันเอง มีหลงลืมกายใจ มีเผลอมีเพ่งตามสติกำลังบ้าง บางทีจิตก็เกิดการตามรู้ตามดูความเป็นจริงของสภาวะ แต่ ภาวนาไปสักพักนึง เหมือนจิตมันหมดแรง เลยกลับมาทำ สมถะ ทำ สมถะก็ไม่รู้ จิตเกิดความกระวนกระวาย สมถะก็ทำไม่ไหว
ซึ่ง มันเกิดจาก อาการอยากเล่นโทรศัพท์ อยากรู้อยากดูสิ่งนั้นสิ่งนี้ พอจะไปทำอย่างอื่น เช่น อ่านหนังสือสวดมนต์ และอื่นอื่น ปรากฏว่า หากเกิดกิเลสในใจ จะไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่ว่าจะสมถะ หรือ ตามรู้ตามดูกายใจ ไม่ได้เลย พอกิเลสมันเกิด มันรู้สึกเหมือนยางที่มันเหนียวมากมาก มาเกาะที่ใจ มันรู้สึกเกาะที่สมอง เราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยครับ ถ้าไม่ตามใจกิเลส ที่ความอยากมัเกิดขึ้น พอขัดใจมัน เหมือนใจจะแตกเลยครับ สภาวะที่มันเกิดขึ้น มันใช่อนุสัยไหมครับ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือ ต้องฟังธรรมใน YouTube พอฟังก็เห็นจิตมันเริ่มสงบ เริ่มดีขึ้น แต่บางวัน ไม่ไหมจิงๆ เหมือนใจจะแตก ต้องคล้อยตาม ตามใจกิเลส ไม่งั้น จิตมันจะแตดเหมือนโดนยางเหนียวเหนียวที่มันร้อน เผาลงมาที่ใจ
อาการแบบนี้ เกิดจากจิตมี อวิชชาใช่ไหมครับ หรือเกิดจากอะไร ทำไมถึงแก้ไม่หาย ทำสมถะ ไม่รู้เลย ตามรู้ความจริงของกายใจยิ่งไม่ไหวเลยครับ
ขอบคุณครับ
เรียน ความเห็นที่ 4 ครับ
ภาวนา เป็นการอบรมเจริญปัญญาให้มีขึ้นให้เจริญขึ้น ด้วยหนทางที่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมจากผู้ที่ตรัสรู้ความจริงคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อย่างที่ท่านได้กระทำ ไม่ใช่ตัวตนที่ไปทำ การขัดเกลาละคลายกิเลส ไม่ใช่ด้วยความอยากความต้องการ เพราะนั่น เป็นอกุศล เป็นการเพิ่มอกุศล และ ทุกขณะที่เป็นอกุศล มีความไม่รู้เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ถ้าทำอะไร ด้วยความไม่รู้ ผล ก็คือ ไม่รู้
จึงขอให้ตั้งต้นใหม่ด้วยการค่อยๆ ฟังค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
....ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาคะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ