ความเจริญของพระพุทธศาสนาคือใจของแต่ละบุคคลที่เจริญในคุณธรรม เจริญใน ความดี เจริญด้วยปัญญา ความเจริญพระพุทธศาสนาจึงไม่ได้หมายถึงศาสนาวัตถุที่มี จำนวนมากมาย หากแต่ว่าหมายถึงใจของแต่ละคนที่เข้าใจคำสอนและน้อมประพฤติ ปฏิบัติตาม อันทำให้กุศลจิตและกุศลธรรมต่างๆ มีความเจริญขึ้น ทั้งการให้ทานการ รักษาศีลและความเมตตารวมทั้งความเข้าใจพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสังขารธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งก็ต้องมีความแตกดับ เสื่อมไป เป็นธรรมดา พระพุทธศาสนาก็เช่นกันนับจากสมัยพุทธกาล ความเสื่อมก็มีมาเรื่อยๆ อัน เนื่องมาจากขาดความเข้าใจพระธรรมและไม่น้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพราะเหตุนั้นใจ ของบุคคลจึงมากไปด้วยความไม่รู้และกิเลสมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณธรรมเสื่อม ศาสนา ก็เสื่อม พระศาสนาจึงเสื่อมลงตามใจของแต่ละบุคคล ความเสื่อมของพระพุทธศาสนา จึงไมได้เสื่อมเพราะศาสนาวัตถุมีจำนวนน้อยลงเป็นเหตุ แต่พระศาสนาเสื่อมที่ใจของ แต่ละคนที่ขาดความเข้าใจและโสภณธรรม สภาพธรรมฝ่ายดีลดน้อยลง มีเมตตาและ ปัญญา เป็นต้น
ในสมัยพระพุทธเจ้าในอดีต มีตัวอย่างมากมายให้เป็นอุทาหรณ์ถึงความเสื่อมของ พระพุทธศาสนาที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว ซึ่งหากเราได้ศึกษาได้อ่าน ทำความเข้าใจในเรื่องความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ว่าเป็น ธรรมดา ก็จะทำให้เข้าใจสังคมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดีว่าทุกอย่างเป็นธรรมและเป็น ธรรมดาว่าถึงเวลาที่พระพุทธศาสนาเสื่อมไปก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น ไม่ใช่เสื่อมเพราะ ใครเพราะใจของแต่ละคนนั่นเอง เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปในพระไตรปิฎกแสดงถึงความเสื่อมของพระศาสนาของ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะคือเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 ในกัปนี้ พระพุทธเจ้าของ เราคือพระพุทธเจ้าสมณโคมเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในกัปนี้ ศาสนาของพระพุทธ เจ้ากัสสปะเสื่อมลงเพราะอาศัยภิกษุผู้ไม่คำนึงถึงพระศาสนาเพราะได้ลาภ สักการะ จากภิกษูไม่ดี ภิกษุผู้ถูกประจบจากภิกษุไม่ดีจึงไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ลำเอียง เพราะรักจึงทำให้พระศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะเสื่อมนั่นเอง
ความเสื่อมของพระศาสนาเพราะอาศัยลาภ สักการะ
เมื่อพระพุทธเจ้ากัสสปะปรินิพพาน มีกุลบุตรผู้มีศรัทธา 2 ท่านผู้เป็นสหายกันออกบวชกุลบุตรทั้งสองเมื่อบวชแล้วก็เป็นผู้ศึกษาพระธรรมวินัยจนแตกฉาน และเป็นพระวินัยธร ฉลาดในการวินิจฉัยคดี ท่านทั้งสองเพราะอาศัยความรู้ในปริยัติ จึงมีบริวารเกิดขึ้น แต่ ละรูปมีภิกษุ 500 เป็นบริวาร ท่านทั้งสองได้แสดงพระธรรม ดังราวกับว่าเป็นสมัยที่ พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่คือเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก (เจริญด้วยความเข้าใจธรรม) ในสมัยนั้นมีภิกษุ 2 รูปคือภิกษุดีและภิกษุไม่ดี ภิกษุไม่ดีเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรม ภิกษุดี จึงกล่าวตักเตือนในการกระทำที่ไม่ดีของภิกษุรูปนั้น แต่พระภิกษุไม่ดีไม่เชื่อถ้อยคำ และรู้ว่าพระภิกษุดีจะนำเรื่องนี้ไปบอกกับพระวินัยธรให้ตัดสินคดีในเรื่องนี้ ตัวเองก็จะไม่ มีที่พึ่งในพระศาสนา เมื่อภิกษุไม่ดีรู้ดังนั้นจึงเข้าไปหาพระวินัยธรทั้งสองรูป ทำการ ประจบด้วยการบำรุงพระเถระทั้งสอง ดุจเหมือนทำวัตรปฏิบัติกับพระเถระ
วันหนึ่งภิกษุไม่ดี เข้าไปหาพระเถระทั้งสองไหว้แล้วก็ยังไม่ยอมไปไหน พระเถระจึง ถามว่ามีเรื่องอะไรที่จะพูดอีกหรือ? ภิกษุไม่ดี จึงกล่าวว่ามีขอรับ กระผมทะเลาะกับ ภิกษุรูปหนึ่ง เพราะอาศัยความประพฤติของผม ถ้าภิกษุนั้นมาที่นี้จะบอกเรื่องนี้ให้ วินิจฉัยคดี โปรดอย่าวินิจฉัยคดี พระเถระจึงกล่าวว่าการไม่วินิจฉัยคดีเป็นสิ่งที่ไม่ควร ควรจะวินิจฉัยคดี ภิกษุไม่ดีจึงขอร้องว่าหากท่านวินิจฉัยคดี ผมจะไม่มีที่พึ่งในพระ ศาสนา ความชั่วของผมจกยกไว้คือไม่นำมาวินิจฉัยคดีเถิด พระวินัยธรถูกภิกษุไม่ดีบีบ คั้นบ่อยๆ และเพราะเห็นแก่ ลาภ คำสรรเสริญที่ภิกษุไม่ดีมีให้ในอดีตจึงยอมรับคำของ ภิกษุไม่ดี
เมื่อพระภิกษุไม่ดีได้ที่พึ่ง (พระวินัยธรยอมช่วย) จึงเข้าไปหาพระภิกษุดีและกล่าวว่า เรื่องจบแล้วและก็พูดและกระทำในสิ่งที่ไม่ดีต่อหน้าพระภิกษุดีอีก พระภิกษุดีจึงคิดว่า ภิกษุไม่ดีได้ที่พึ่งแล้ว เข้าไปหาพระภิกษุผู้เป็นบริวารของพระวินัยธร 1,000 รูป กล่าว ว่าเรื่องนี้ควรวินิจฉัยคดีมิใช่หรือ แต่ทำไมพระเถระทั้งสองถึงไม่วินิจฉัยคดีเพราะเหตุ อะไร ภิกษุเหล่านั้นก็นิ่งเสีย ด้วยคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา พระอาจารย์ของเรารู้แล้ว พระภิกษุชั่วได้โอกาสก็พูดด่าว่าพระภิกษุดีและก็กล่าวว่าท่านแพ้แล้ว ภิกษุดีจึงเข้าไป หาพระเถระทั้งสองที่เป็นพระวินัยธรแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายไม่คำนึงถึงพระศาสนา คำนึงแต่รักษาบุคคลว่าภิกษุไม่ดีจะบำรุงเรา ไม่รักษาพระศาสนาแต่รักษาบุคคล และ กล่าวว่า พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วในวันนี้ แล้วก็ ร้องด้วยเสียงอันดังว่า คร่ำครวญอยู่ว่า พระศาสนาของพระพระศาสดาพินาศแล้วและก็หลีกไป ภิกษุเหล่านั้นได้ยินคำนั้นสลดใจ เกิดความรังเกียจว่าเรารักษาบุคคลโยน รัตนะคือพระศาสนาลงในเหว เมื่อตายไม่อาจไปเกิดในสวรรค์ชั้นสูงได้ไปเกิดเป็นยักษ์
จะเห็นได้ว่าพระศาสนาเสื่อมเพราะอาศัยภิกษุไม่ดีที่มุ่งคอยประจบ เพื่อให้ตัวเองเป็นอยู่ ไมได้คำนึงถึงความถูกต้องเพื่อรักษาพระศาสนา เมื่อภิกษุไม่ดีมี ที่พึ่ง มีอำนาจ คือพระวินัยธรเชื่อเพราะอคติเพราะรัก ภิกษุดีก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะพระวินัยธรไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้อง ไม่ได้เชื่อถ้อยคำของภิกษุดี พระศาสนา จึงเสื่อม เสื่อมที่ใจที่ขาดคุณธรรม เมื่อเราเทียบกับเรื่องนี้กับสังคมในปัจจุบัน จึงเห็นได้ว่าคล้ายคลึงกันและเป็นธรรมดา เพราะพระศาสนาล่วงเลยมาแล้ว 2500 กว่าปี พระศาสนาจึงเสื่อมไปตามความเข้าใจ และคุณธรรมที่มีในคนยุคปัจจุบัน การรักษาพระศาสนาจึงเริ่มที่ตัวเรา ศึกษาพระธรรม ด้วยความเข้าใจถูก ที่สำคัญน้อมประพฤติปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ ไม่ใช่เพื่อเหตุ อย่างอื่นนอกจากการขัดเกลากิเลส เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ใจก็ประกอบด้วยโสภณธรรม ธรรมที่ดีงามคือมีเมตตามากขึ้น พร้อมอยู่ด้วยความเข้าใจในสังคมปัจจุบัน ทุกอย่างเมื่อเจริญก็ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา หากแต่ว่าตัวเรานั่นเองจะเป็นส่วนหนึ่ง ให้พระศาสนาเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงขึ้นอยู่กับความเข้าใจและการน้อมประพฤติปฏิบัติ ตามพระธรรม การรักษาพระศาสนาจึงขึ้นอยู่กับใจของแต่ละคน
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
" ... พระศาสนาเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงขึ้นอยู่กับความเข้าใจและการน้อมประพฤติ ปฏิบัติ ตามพระธรรม การรักษาพระศาสนาจึงขึ้นอยู่กับใจของแต่ละคน ... "
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ลาภ สักการะ และคำสรรเสริญ ไม่ทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้หมดจดจากกิเลสได้ ยิ่งถ้าเป็นผู้ที่ถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำจิตใจแล้ว ย่อมกระทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการ โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าจะเป็นโทษเป็นภัยมากน้อยเพียงใดจึงกล่าวว่าเป็นของทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย แต่การดำเนินตามทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอริยสาวกทั้งหลายดำเนินมาแล้ว นั่นก็คือ การอบรมเจริญปัญญาจึงจะเป็นไปเพื่อการดับกิเลสดับทุกข์ได้ในที่สุด
ในชีวิตประจำวันการที่จะได้รับลาภ สักการะ สรรเสริญ หรือ แม้กระทั่งความเสื่อมลาภ ได้รับการนินทา เป็นต้น ก็เป็นเพราะกรรมที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีใครทำให้เลยผู้ที่ไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่มีปัญญา เมื่อได้รับลาภ สักการะ และการสรรเสริญ ก็จะหลงระเริง เพลิดเพลิน มัวเมา หรือในทางตรงกันข้าม ถ้าได้รับการโลกธรรมฝ่ายเสื่อม ก็จะหวั่นไหวไปด้วยความไม่พอใจ ด้วยความโกรธ อย่างรวดเร็วแต่สำหรับผู้ที่มีปัญญา มีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมจะไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา จึงเป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นที่พึ่งในชีวิตอย่างแท้จริง เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสที่ได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์
ทุกอย่างเสื่อมไปตามกาลเวลา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ดีที่สุดคือการสะสมกุศล สะสมปัญญา สะสมความดี สะสมคุณธรรม
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ