-จิตที่กำลังถูกฝึกอยู่ ทำอย่างไรจะให้มันเชื่องได้ครับ?
-จิตที่ถูกฝึกมาดีแล้วมีประโยชน์อย่างไรบ้างครับ?
-จิตที่มีอารมณ์หนึ่งเดียวเป็นอย่างไรครับ?
อนุโมทนาขอบคุณครับอาจารย์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจพื้นฐานก่อนครับว่า ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน มีแต่ธรรม คือ จิต เจตสิก รูป และไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ดังนั้น จึงไม่มีตัวเราที่ฝึก ที่จะทำ แต่เป็นสภาพธรรม ที่ทำหน้าที่เกิดขึ้นเป็นไป คือ สติและปัญญาที่เกิดขึ้น ขณะนั้น ฝึกจิตจากที่เคยสะสมอกุศลมามากมาย ก็ทำให้อกุศล หรือ กิเลสน้อยลง เป็นการฝึกจิตให้ตรง จากที่เคยคดด้วยกิเลส ก็ตรงขึ้นด้วยสภาพธรรมที่ทำหน้าที่ฝึก คือ สติและปัญญา ไม่ใช่เราที่จะฝึกจิต หรือ จะทำ
ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า การฝึกจิตภาวนา ก็คือ การเจริญวิปัสสนา ที่เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะใดที่รู้ความจริง ปัญญาเกิด ในขณะนั้น กำลังฝึกจิตแล้ว ฝึกให้ตรงด้วยกุศลธรรม ฝึกจิตให้พ้นจากอกุศลธรรม เพราะปัญญาเกิดขึ้นนั่นเอง
ซึ่งลำดับการเจริญวิปัสสนา ที่เป็นการฝึกจิต ก็คือ เริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ปัญญานั้นเอง จะทำหน้าที่ให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเป็นผู้ศีลมากขึ้น ได้ความสงบแห่งจิต มีเมตตา เพิ่มขึ้น เป็นต้น และเกิดความรู้ความเข้าใจในสภาพธรรมในขณะนี้ ที่กำลังปรากฎว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นการเจริญวิปัสสนาให้เกิดขึ้น จนถึงการดับกิเลสในที่สุด แต่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน นั่นคือเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมไปเรื่อยๆ ปัญญาที่เจริญขึ้น จะทำหน้าที่ปรุงแต่งให้ปฏิบัติไปตามลำดับเอง ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องการฝึกจิตในธรรมบท
การฝึกจิตด้วยอริยมรรค 4 ในอรรถกถา
ผลดีจากการฝึกจิต
ผลร้ายจากการไม่ฝึกจิต
จิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ จิตที่เป็นการเจริญสมถภาวนาได้ฌานจนถึงอัปปนาสมาธิ มีอารมณ์เป็นหนึ่งในขณะนั้น ครับ
...ขออนุโมทนา ครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก็ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นว่า จิต คือ อะไร เป็นสิ่งที่มีจริงๆ หรือไม่?
จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ในขณะที่จิตเกิดขึ้น ก็ต้องรู้อารมณ์ทีละหนึ่งตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ แต่ละขณะไม่พ้นไปจากจิตเลย มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา จิต เป็นธรรมที่เกิดขึ้น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น ชั่วขณะสั้นๆ นั้น มีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ต้องมีเจตสิกธรรมเกิดร่วมด้วย (เอกัคตตาเจตสิกซึ่งเป็นเจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตรู้ ก็เกิดร่วมด้วยพร้อมกับเจตสิกประการอื่นๆ ) ต้องมีที่อาศัยให้จิตเห็นเกิด ต้องมีอารมณ์ คือ สี ซึ่งเกิดก่อนแล้ว และมีกรรมเป็นปัจจัยทำให้มีจิตเห็นเกิดขึ้น, จิตเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครบังคับหรือทำให้เกิดขึ้นได้เลย
การจะฝึกจิต (ไม่มีตัวตนที่ฝึก) จากที่เป็นอกุศล ตกไปในฝักฝ่ายของอกุศล บ่อยๆ เนืองๆ ให้ลดน้อยลง เริ่มเป็นกุศลที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน ได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ เพราะเหตุว่า เมื่อปัญญาเจริญขึ้นไป ย่อมจะช่วยบรรเทาอกุศลจิตให้ลดน้อยลงได้ และที่สำคัญ ปัญญานี้เอง จะสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับมรรค สูงสุด คือ ปัญญาขั้นอรหัตตมรรค ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่เกิดอีกเลย จึงขอให้ตั้งต้นที่การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาบุญ
ขอบคุณครับอาจารย์
ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิตที่เห็นได้แสนยาก ละเอียดยิ่งนัก มักตกไปในอารมณ์ตามความใคร่ (เพราะว่า) จิตที่คุ้มครองไว้ได้ เป็นเหตุนำสุขมาให้
ขออนุโมทนาครับ
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ