สนทนาธรรมไทย-ฮินดี นาคปุระ ๑๕ ธ.ค. ๖๖ บ่าย
โดย prinwut  12 ม.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 47249

สนทนาธรรมไทย-ฮินดี นาคปุระ ๑๕ ธ.ค. ๖๖ บ่าย


- ถ้าไม่รู้จักพระรัตนตรัย ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักพระธรรม จะรู้จักสังฆะ (พระสงฆ์) ไหม เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจพระธรรมแล้วจะเป็นพระภิกษุสงฆ์ได้

- พระภิกษุคือใคร พระสงฆ์ สังฆรัตนะคือใคร ถ้าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้จักพระธรรมไหม ถ้าไม่รู้จักธรรมเป็นภิกษุได้ไหม

- ในสมัยพุทธกาลผู้ที่รู้แจ้งธรรมเป็นพระโสดาบันก็มี ภิกษุที่บวชแล้วแต่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจะก็มี

- ภิกษุไม่ใช่ใครก็ได้อยากจะบวชเมื่อไหร่ก็บวชได้เพราะความหมายของภิกษุความหมายหนึ่งคือ “ผู้เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์“ ถ้าไม่รู้จักสังสารวัฏฏ์จะเป็นภิกษุได้ไหม

- เพราะฉะนั้นคนที่บวชแต่ไม่เข้าใจธรรมไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ ”ภิกษุในธรรมวินัย“ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ภิกษุก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ มีอะไรที่ต่างกัน

- อีกความหมายหนึ่งของภิกขุคือ ใครก็ตามที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นภิกขุ หรือ ผู้ที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจและประพฤติตามก็เป็นภิกขุ

- เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ของการเป็นภิกษุคือ เข้าใจธรรม เห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ สละบ้านเรือนทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่เป็นชีวิตของคฤหัสถ์เพื่อศึกษาธรรม

- ภิกษุสละบ้าน ญาติพี่น้อง เงินทอง ทรัพย์สมบัติทุกอย่างแล้วผู้ที่เป็นภิกษุจะรับเงินทองได้ไหม

- การเข้าใจความจริงซึ่งรู้ว่า ไม่ว่าใครถ้าฟัง เข้าใจ เห็นประโยชน์ ค่อยๆ ประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ต้องเป็นภิกษุก็รู้ความจริง รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้นพระอริยบุคคลที่เป็นคฤหัสถ์เป็นพระโสดาบันได้ เป็นพระสกทาคามีบุคคลได้ เป็นพระอนาคามีบุคคลได้ แต่เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วจึงเป็นคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้

- เพราะฉะนั้นเพศภิกษุเป็นเพศของพระอรหันต์ ความจริงเป็นความจริงเปลี่ยนความจริงไม่ได้เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นคนตรง สัจจะเป็นสัจจะบารมี

- ทุกพระชาติที่เป็นพระโพธิสัตว์มีชีวิตอย่างคฤหัสถ์แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ สัจจะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ตรงต่อความจริงไม่เป็นสัจจบารมีจะรู้แจ้งอริยสัจจะธรรมเดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริงไม่ได้

- เพศภิกษุเป็นเพศของพระอรหันต์แต่เราไม่รู้ว่า ใครเป็นพระอรหันต์ ใครไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะฉะนั้นบุคคลไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็น “สังฆรัตนะ” กลุ่มของบุคคลที่รู้แจ้งความจริงเป็นสังฆรัตนะ

- เพราะฉะนั้นเราเห็นภิกษุเดินบิณฑบาตหรือทำอะไรก็ตามถ้าไม่เป็นพระอริยบุคคลก็เป็นผู้ที่ยังไม่ใช่สังฆรัตนะ เพราะฉะนั้นมีความต่างกันของ “ภิกขุ” “สังฆะ” “สังฆรัตนะ”

- เพราะฉะนั้น “สงฆ์” หรือ ”สังฆะ“ หมายความถึงกลุ่มของบุคคลไม่ได้หมายความถึงภิกษุแต่ละรูป ความหมายเดิมความหมายจริงของ “สังฆะ” คือ หมู่ คณะ ถ้าเป็นมดหลายๆ ตัวก็เป็นหมู่มด เพราะฉะนั้นคนที่บวช ๑ คนเป็นภิกษุ ๑ ไม่ใช่เป็นสังฆะ เพราะฉะนั้นสังฆะหมายความถึงภิกษุมากกว่า ๑ รูป ถ้าภิกษุ ๑ รูปทำผิดไม่ใช่สงฆ์ทำผิดเพราะคำว่าสังฆะหมายความถึงผู้ที่รวมกันเป็น “สงฆ์”

- เพราะฉะนั้นมีคำว่า “สังฆกรรม” ในพระวินัย เมื่อเป็นสังฆกรรมภิกษุ ๑ รูปทำกิจนั้นไม่ได้ต้องเป็นคณะสงฆ์ กิจของสงฆ์มีหลายอย่างเพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า ภิกษุบุคคลทำกิจนั้นไม่ได้ต้องเป็นกลุ่มของภิกษุซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำกิจนั้นจึงเป็นสงฆ์

- ถ้าเป็นสังฆกรรมต้องเป็นภิกษุที่ได้มีการคัดเลือกรับรองให้ทำกิจหนึ่งที่เป็นสังฆกิจที่เป็นกิจของสงฆ์เพราะฉะนั้นภิกษุรูปหนึ่งจะบวชใครไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วแต่ว่าการทำกิจของสงฆ์เช่น การบวชต้องจำกัดว่ามีภิกษุกี่รูปและภิกษุแต่ละรูปจะมารวมกันให้ครบจำนวนที่ให้ทำอุปสมบทได้ก็ไม่ได้

- กิจของสงฆ์แต่ละกิจกำหนดจำนวนภิกษุที่รวมกันเป็นสงฆ์จึงจะทำได้ ภิกษุใดขอเป็นสงฆ์ในการทำกิจของสงฆ์ไม่ได้เลยต้องได้รับมอบหมายจากคณะสงห์ทั้งหมดให้บุคคลนี้ๆ เป็นสงฆ์คือคณะที่จะทำสังฆกรรมนั้นได้

- เราไม่รู้ว่า ใครเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์แสดงความเคารพต่อพระภิกษุในเพศของพระอรหันต์ การแสดงความเคารพนับถืออย่างจริงใจต้องเป็นเพราะบุคคลนั้นมีคุณความดี เพราะฉะนั้นภิกษุไม่รู้ว่าใครเป็นอรหันต์แต่ภิกษุที่บวชทีหลังต้องแสดงความเคารพภิกษุที่บวชก่อน และภิกษุณีแม้จะเป็นพระอรหันต์ก็ต้องกราบไหว้ภิกษุที่บวชก่อนแม้วันเดียว

- การแสดงความเคารพเป็นความดีของผู้แสดงความเคารพแต่ต้องตรงตามความเป็นจริงว่า เคารพในคุณความดี แต่เมื่อไม่รู้ว่าใครมีความดีถึงความเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ เพราะฉะนั้นผู้ที่บวชทีหลังจึงต้องแสดงความเคารพผู้ที่บวชก่อน และภิกษุณีก็ต้องแสดงความเคารพภิกษุ คฤหัสถ์ก็ต้องแสดงความเคารพภิกษุ แต่ต้องเคารพภิกษุที่เป็นภิกษุเพราะความดี ถ้าภิกษุรูปใดไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัยคฤหัสถ์ที่มีความเข้าใจไม่แสดงความเคารพภิกษุนั้นได้เพื่อภิกษุนั้นจะได้รู้ตัวว่า เขาไม่ประพฤติสมควรกับที่จะเป็นภิกษุ

- มีข้อความในพระไตรปิฎกที่เมื่อภิกษุประพฤติไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยคฤหัสถ์ไม่แสดงความเคารพ ถูกต้องไหม? แม้คฤหัสถ์ที่เป็นพระอนาคามีก็เคารพพระภิกษุเพราะเป็นเพศภิกษุ มีคำถามไหม

- (ทราบว่า ที่เมืองไทยมีเด็กบวชเณรเพื่อรู้จักพระธรรม จึงอยากจะให้ที่อินเดียมีแบบนั้นบ้าง ท่านอาจารย์มีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร) เด็กรู้จักธรรมจากใคร (จากผู้ใหญ่) แล้วผู้ใหญ่ “รู้” หรือยัง (ไม่รู้) เพราะฉะนั้นไม่ประมาท พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม คงไม่มีใครลืมคำที่พระองค์ตรัสก่อนปรินิพพาน

- เมื่อกี้นี้เราพูดถึง ภิกขุ สังฆะ และสังฆรัตนะ ภิกขุหนึ่งทำอะไรผิดถูกเป็นเรื่องของภิกขุนั้น ไม่ใช่เรื่องของสังฆะ สังฆะหมายความถึงภิกขุในธรรมวินัยรวมกันเป็นสังฆะ ภิกษุในธรรมวินัยต้องไม่ลืมว่า ไม่ใช่คำว่าภิกษุเท่านั้นแต่ภิกษุในธรรมวินัยหมายความว่า ศึกษาเคารพตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นแม้เป็นภิกษุรวมกันเป็นหมู่คณะแต่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็ไม่เป็นสังฆะรัตนะ

- ผู้ที่เป็นเด็ก ผู้ที่โตแล้ว ผู้ที่ฟังธรรมเข้าใจ ประพฤติปฏิบัติตามจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ว่าเป็นหญิง เป็นชาย เป็นใครก็ตาม เป็นหมู่ของผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมจึงเป็นสังฆรัตนะ เพราะฉะนั้นความเคารพจากใครจริงจะเคารพภิกขุ จะเคารพสังฆะ หรือจะเคารพสังฆรัตน เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม ”มีตนเป็นที่พึ่ง“ หมายความว่าอะไร

- มีตนเป็นที่พึง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต่างกันอย่างไร อะไรเป็นความจริง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งหรือมีตนเป็นที่พึ่ง (พึ่งรัตนตรัยเพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้) เพื่ออะไร (เพื่อที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเป็นคนที่ดี)

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร (อริยสัจจ์ ๔) แล้วพึ่งอะไร (พึ่งคำสอนและพยายามปฏิบัติตาม) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังศึกษาและปฏิบัติตามหรือเปล่า (เป็นแต่น้อยมากเพราะยังอีกไกลแต่วันหนึ่งก็เพิ่มขึ้นได้มากกว่านี้)

- ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่เข้าใจ พึ่งพระองค์หรือเปล่า (ไม่) เพราะฉะนั้นต้องฟังคำของพระองค์แล้วเข้าใจจึงจะพึ่งได้

- ทุกคนกำลังคิดว่า ทุกคนกำลังพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่เข้าใจขณะนั้นพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้น “พึ่ง” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจคำของพระองค์

- ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจอะไร (เพื่อเข้าใจคำสอน) คำสอนอะไรคำเดียว? ทีละคำ คำเดียว (ทุกข์)

- เดี๋ยวนี้มี ”ทุกข์“ ไหม (มี) อะไร (ขณะนี้มีการไม่รู้คำตอบ การไม่รู้ความจริงคือทุกข์ อยากให้อาจารย์สรุปให้ฟังก่อน) ถ้าดิฉันบอกเป็นความเข้าใจของดิฉันแต่ถ้าเขาตอบเป็นความเข้าใจของเขา คำถามนี้ไม่ใช่สำหรับคนหนึ่งคนใดแต่ถามทุกคน

- ทุกข์เป็นอริยสัจจ์หมายความว่าอะไรตอบคำเดียว ทุกคนได้ยินคำว่า “ทุกขอริยสัจจะ” ทุกข์เดี๋ยวนี้มีไหม (มี) อะไรเป็น “ทุกข์” เดี๋ยวนี้ เรากำลังฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกอย่าง ทรงแสดงธรรมทุกอย่างให้เรารู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกข์เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ว่า ทุกข์คืออะไร มีอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า ถ้าเราคิดเองตอบเองไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้ “ทุกข์“ เพราะฉะนั้นฟังคำของพระองค์ พระองค์ตรัสว่าทุกข์คืออะไร เดี๋ยวนี้มีทุกข์ไหม ถ้าตอบว่ามีต้องรู้ว่าอะไร ไม่ใช่มีแล้วไม่รู้ว่าอะไร

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเพียงว่ามีทุกข์ แต่พระองค์ตรัสว่า ทุกข์เดี๋ยวนี้มีไหม คืออะไร เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบไม่ได้ว่า ทุกข์เดี๋ยวนี้มีไหม ถ้ามีคนตอบต้องตอบว่า ทุกข์คืออะไร ถ้ามีคนตอบต้องตอบว่าทุกข์คืออะไรไม่ใช่เรื่องอื่นเพราะดิฉันเคารพสูงสุดในทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้คำเดียวลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจคำนั้นคำเดียวจะไม่เข้าใจคำอื่น ไม่ใช่ได้ยินคำเดียวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วคิดเองยาวมาก คำยาวๆ ของคนที่คิดเองไร้ค่า ไม่มีประโยชน์ ไม่ทำให้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ดิฉันมาทีนี่เพราะได้รับเชิญมากล่าวคำที่ลึกซึ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้แต่ละคนที่ได้ศึกษาธรรมร่วมกันพิจารณาว่า คำนั้นเป็นคำของพระพุทธเจ้าที่กล่าวถึงความลึกซึ้งของขณะนี้เดี๋ยวนี้หรือเปล่า ถ้าไม่มีความเป็นเพื่อน ไม่มีความหวังดี ดิฉันจะไม่มาที่นี่ เพราะฉะนั้นด้วยความเคารพในความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ที่นี่ ประสูติที่นี่ ปรินิพพานที่นี่และก่อนที่พระองค์จะปรินิพพานพระองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ทุกคนไม่ใช่เฉพาะคนที่นี่แต่ทั้งโลก สวรรค์ และทุกโลกสามารถที่จะมีปัญญาเข้าใจความจริงได้เพราะพระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- คำของพระองค์เป็นสิ่งที่จะค่อยๆ ลบเลือนเมื่อไม่มีการเป็นผู้ที่เคารพพระองค์ พิจารณาทุกคำด้วยความละเอียดเคารพอย่างยิ่งที่จะไม่เข้าใจผิดเพราะคิดเอง

- ทุกคนไม่รู้ว่าจะมีชีวิตถึงเย็นนี้หรือเปล่าเพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดก่อนที่จะจากโลกนี้ไปคือ มีโอกาสได้รู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ทุกคำที่ดิฉันพูดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นคนฟังฟัง คิด ไตร่ตรองเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเป็นคำของดิฉันเองเพราะเหตุว่า ดิฉันต้องพูดตามที่ได้ศึกษา เคารพและเข้าใจจึงสามารถที่จะช่วยคนที่ต้องการฟังให้ร่วมกันศึกษาเพื่อจะได้เข้าใจถูกต้อง

- เพราะฉะนั้นได้เริ่มฟังทีละคำจะรู้ว่า ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนหรือแม้จะพูดกันบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เข้าใจความหมายที่ถูกต้อง

- คนที่ไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยสักคำต่างกับคนที่เริ่มฟังและเริ่มเข้าใจว่า ทุกคำของพระองค์เป็นสิ่งที่มีจริงที่สามารถจะเข้าใจจนถึงประจักษ์แจ้งความจริงในอริยสัจจธรรมได้

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ “ธรรม” แต่เราไม่รู้ว่า ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้คืออะไร เพราะฉะนั้นทุกคนรู้หรือยังว่าธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้คืออะไร

- ถ้าเข้าใจจริงๆ แม้เพียงคำเดียวเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีละน้อยๆ ยิ่งเข้าใจมากขึ้นก็เพิ่มความรู้จักพระองค์มากขึ้น เพราะฉะนั้นต้องตรง จริงใจ มั่นคงที่จะรู้ว่า ความจริงรู้ได้แต่ไม่ใช่รู้ได้ด้วยตัวเองแต่โดยท่านที่ตรัสรู้คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ทุกคำที่พระองค์ตรัสไม่ใช่เพื่อฟัง ได้ยินแล้วพูดตามแต่ไม่เข้าใจ ทุกคนได้ยินคำว่า “อริยสัจจธรรม” ธัมมะ อริยะ สัจจะ หมายความว่าอะไร แต่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจแต่จำว่า มีเท่าไหร่

- เมื่อกี้เราพูดตามว่า ทุกขอริยสัจจะ ใครรู้จัก “ธรรม” ที่เป็นทุกข์ที่เป็นอริยสัจจะบ้าง คนที่ศึกษาอภิธรรมจะตอบได้ว่าทุกขอริยสัจจะคืออะไร แต่เข้าใจแต่ละคำหรือเปล่า? เพราะฉะนั้นไม่ใช่ตอบเพื่อสอบถ้ามีคนถามแล้วพูดตามแต่สามารถที่จะเข้าใจ “ธรรม” จริงๆ เพราะฉะนั้นเพียงเข้าใจคำว่า “ธรรม” จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งใน-สังสารวัฏฏ์

- เริ่มรู้ว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นประมาทแม้คำว่า “ธรรม” คำเดียวไม่ได้ ขณะนี้เวลามีน้อย เราจะสนทนากันเรื่องธรรมให้เข้าใจ “ธรรม” คำเดียวมั่นคง

- ถ้าเข้าใจธรรมคำเดียว เข้าใจคำต่อๆ ไปในพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้น ถ้าไม่เข้าใจ "ธรรม" คำเดียวจะไม่เข้าใจทั้งหมดของพระไตรปิฎก

- ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ถ้าธรรมไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร แต่คนอื่นไม่รู้จักธรรมจนกว่าจะได้ฟัง รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเปลี่ยนสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เดี๋ยวนี้อะไรมีจริงสิ่งนั้นแหละเป็นธรรม เพราะธรรมต้องเป็นสิ่งที่มีจริง จะไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่มีเพราะไม่มีประโยชน์

- ลืมสักคำไม่ได้ “ธรรม” คือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทุกอย่างที่มีจริงเป็น “ธรรม” สองประโยคตรงกันไหม

- เห็นมีจริงไหม กำลังเห็น “เห็น” มีจริงไหม (มีจริง) เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า เห็นเกิดหรือเปล่า ใครทำให้เห็นเกิด แล้วเห็นเกิดได้อย่างไร เดี๋ยวนี้เห็นเกิดแล้วไม่มีใครทำเลย เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นได้อย่างไร นี่คือการเริ่มเข้าใจธรรมที่จะละเอียดลึกซึ้งขึ้นตลอด ๔๕​ พรรษาให้มีความเห็นถูกต้องตามลำดับ

- ถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จะมี ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ได้ไหม คนที่ศึกษาพระธรรมจะรู้ว่า ความจริงคืออริยสัจจธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความลึกซึ้งจึงทรงแสดงความจริงตามลำดับ

- ประมาทได้ไหม ฟังเท่านี้รู้จักธรรมหรือยัง พอหรือยัง ต้องฟังแล้วเข้าใจอีกๆ จนเข้าใจทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

เห็นเกิดแล้ว ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็น ขณะนี้เห็นเกิดแล้วแสดงความจริงว่า เห็นมีจริงๆ และเกิดจริงๆ จึงมีเห็น เดี๋ยวนี้เห็นเกิด ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดได้เลย ใครทำให้เห็นเกิดได้

- เห็นเกิดแล้วได้ยินเกิดเพราะฉะนั้นก่อนได้ยิน เห็นต้องดับ ถ้ายังเห็นอยู่ ได้ยินไม่ได้ ใครรู้บ้าง เห็นเกิดแล้วดับ ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่ว ๑ ขณะจิต ถ้าไม่รู้ความจริงว่า ไม่มีอะไร ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ แต่มี “ธรรม” ที่เกิดแล้วดับเป็น “ทุกข์” ไหม

- ใครห้ามไม่ให้ไฟป่าเกิดได้ (นี่แหละทุกสิ่งที่เกิดแล้วดับเป็นธรรม) ทุกสิ่งที่เกิดไม่มีใครทำให้เกิด เกิดแล้วดับไม่เหลือเลย ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา จริงไหม

- ไม่มีอะไรที่จะทำให้เห็นเกิด เห็นเกิดได้ไหม (ไม่ได้) ไฟป่าไม่มีมีใครทำให้เกิด เห็นไม่มีใครทำให้เกิด เป็น “ธรรม” ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นทุกข์ไหม แค่นี้ไม่พอ ได้ยินคำว่า ทุกอย่างเกิดดับไม่กลับมาอีกเลย ไม่ควรจะเป็นสุขแต่ทุกคนกำลังหัวเราะ

- ชอบสิ่งที่เป็นทุกข์ไหม อยากได้สิ่งที่เป็นทุกข์ที่เกิดดับไหม (เข้าใจแค่นี้ก็ยังชอบอยู่) เพราะยังไม่ละเอียด เรากำลังพูดถึงความจริงแต่ความจริงนั้นยังไม่ปรากฏ

- เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมไม่ใช่เพียงฟัง เข้าใจ แต่ต้องประจักษ์แจ้งความจริง

- เราเห็นพริกสีแดงสวยมากอันหนึ่ง มีคนบอกว่าพริกนี้เผ็ดที่สุด ถ้าไม่ได้ชิมรสเผ็ดยังอยากได้พริกนั้นไหม แต่พอกินเผ็ดมากยังอยากได้ไหม เพราะขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับแต่ไม่รู้ว่าเกิดดับจึงอยากเห็น

- ดอกกุหลาบสวยมากแต่ไม่รู้ว่าเกิดดับ ยังอยากได้ดอกกุหลาบ แต่ถ้ารู้ว่าสิ่งที่สวยนั้นเกิดดับไม่กลับมาอีกเลย ยังต้องการไหม

- ทุกคนอยากเห็น อยากได้ยินเสียงเพราะๆ ได้กลิ่นหอม ได้รสอร่อย ได้สัมผัสที่เย็นสบายสุขสบาย ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย นี่คือความหมายของอริยสัจจะ

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ใครรู้บ้าง ถ้าไม่มีตาไม่มีสิ่งที่กระทบตา เห็นเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีหูที่กลางหูกระทบกับเสียง ได้ยินเกิดไม่ได้ เดี๋ยวนี้เห็นเกิดแล้วดับ ได้ยินเกิดแล้วดับ จริงไหม เพราะฉะนั้นเห็นเกิดเป็นเห็นไม่ใช่เราเห็น ได้ยินเกิดเป็นได้ยินไม่ใช่เราได้ยิน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้นเป็นลักษณะของจริงแต่ละ ๑

- เพราะฉะนั้นเปลี่ยนได้ไหม ใครทำให้เห็นเกิดได้ไหม ใครทำให้ได้ยินใครทำให้เสียงเกิดได้ไหม นี่แสดงให้เห็นว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้เพราะทรงประจักษ์แจ้งความจริงถึงที่สุด

- เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) กลิ่นเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) ทุกอย่างเป็นธรรมใช่ไหม ทุกอย่างที่มีจริงต้องเกิดจึงมีลักษณะที่ปรากฏให้รู้ได้ เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า ใครทำให้เสียงเกิดได้ (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย ทุกอย่างที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นเป็น “สังขารธรรม”

- เห็นเป็นเห็นหรือเห็นเป็นนก เห็นเป็นคนหรือเปล่า เห็นเป็นจิ้งจกหรือเปล่า เพราะเห็นเป็นเห็น เห็นเป็นได้ยินได้ไหม “เห็น” ไม่เห็นได้ไหม เห็นได้ยินได้ไหม ได้ยินเป็นเสียงใช่ไหม เสียงเป็นได้ยินใช่ไหม เสียงเป็นธรรมหรือเปล่า ได้ยินเป็นธรรมหรือเปล่า ได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า ได้ยินกับเสียงต่างกันอย่างไร



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 12 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ