การที่บุคคลหนึ่ง มีความจน มีหนี้สิน ซึ่งก็คือ มีความทุกข์และต้องการที่จะออกจากทุกข์ทั้งกองนี้ เห็นความเป็นไปและสาเหตุแห่งทุกข์ และรู้ว่าไม่อยากเกิดอีกแล้ว เกิดนี้ เป็นทุกข์จริงๆ แม้ในอดีตชาติจะรำลึกไม่ได้ว่า สุขของเทวดาเป็นอย่างไร ก็ไม่ขอที่จะ สัมผัสในชาติหน้า รู้แต่ว่าปัจจุบันทุกข์เหลือเกิน ทุกข์ที่มีพ่อแม่พิการ ทุกข์ที่มีหนี้สิน ทุกข์จากการที่ต้องตอบสนองความต้องการของผู้ที่เลี้ยงมาที่ไม่ใช่บิดามารดาโดยกำเนิด ทุกข์จากการทิ่มแทงของเพื่อนร่วมงาน แต่ไม่ใช่ว่าอยากหนีทุกข์โดยละความรับผิดชอบ และละความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณที่ไม่ใช่บิดามารดาโดยกำเนิด รู้แต่ว่าไม่อยากทุกข์อีก และรู้ว่าทางที่จะไปนิพพานได้คืออริยมรรค มีองค์ ๘ ไม่ใช่ความอยาก ความต้องการในนิพพาน เช่นนี้เป็นสัมมาทิฏฐิหรือไม่?
สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูก ความเห็นชอบ สภาพธรรมคือปัญญาดังข้อความในพระไตรปิฎกดังนี้
เชิญคลิกอ่านที่นี่..
สัมมาทิฏฐิ [ธรรมสังคณี]
ทิฏฐิสัมปทา [ธรรมสังคณี]
สัมมาทิฏฐิ [มหาจัตตารีสกสูตร]
สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ เชื่อกรรมและผลของกรรม เชื่อว่าพุทธเจ้าตรัสรู้จริง เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าพระธรรมนำออกจากทุกข์ได้จริง ฯลฯ
คลิกฟัง
จะรู้สัมมาทิฏฐิโดยสมบูรณ์ได้อย่างไร
แม้แต่ความสุขในชีวิตก็เป็นสภาพธรรมที่ทุกข์ครับ เพราะว่าสังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง บีบคั้น แปรเปลี่ยน เกิดแล้วต้องดับ ไม่สามารถจะคงอยู่ได้นาน และที่สำคัญเห็นได้ยากยิ่ง ต้องเป็นปัญญาที่อบรมเจริญมาจนมีกำลังพอเท่านั้นจึงจะประจักษ์แจ้งแทงตลอดทุกข์ เห็นถึงความเป็นโทษภัย เกิดความสลด เบื่อหน่ายในความไม่มีสาระจริงๆ ของชีวิตได้ครับ
ขออนุโมทนาครับ
ทั้งหมดนั้น ก็เป็นทุกข์ที่เกิดกับผู้ที่เป็นปุถุชนทั่วไป ทุกข์เพราะกิเลส โลภะ ติดข้อง โทสะ ความไม่พอใจ โมหะ ความไม่รู้ในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ทุกข์เพราะเราทุกคน ยังมีความเป็น "เรา" อย่างเหนียวแน่น ต่อเมื่อไรที่ ปัญญาเจริญจนถึงความเป็นอริยะบุคคล เมื่อนั้น ทุกข์ก็จะค่อยๆ หมดไปตามลำดับขั้น แต่ตอนนี้ ชาตินี้ ก็ทุกข์ไปก่อน เพราะการเกิดเป็นทุกข์ และนำมาซึ่งทุกข์ที่จรมา อยู่แล้ว อบรมเจริญปัญญาไปจนกว่าจะ ไม่เกิดอีก ก็จะไม่ทุกข์
เชิญคลิกอ่านที่นี่-----
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยสัมมาทิฏฐิ
แม้ว่าจะทุกข์แต่ก็ต้องดำเนินชิวิตไปตามกรรมในอดีต แล้วก็ต้องสร้างกรรมที่เป็นกุศลใหม่ แต่หากที่จะศึกษาแต่ธรรมโดยไม่ได้ประกอบอาชีพ ก็คงจะไม่มีทรัพย์สำหรับเลี้ยงชีพ ก็ต้องแบ่งวิถีการดำเนินชิวิตไปเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ บางคนจนต้องปากกัดตีนถีบ เช่นนี้จะเอาเวลาไหนมาศึกษาธรรม? มีทางเดียวต้องบวชหรือไม่? แล้วผู้ที่เป็นสตรีล่ะ? จะบวชอย่างไรเพราะไม่มีภิกษุณี?
ขออนุโมทนาครับ
ผู้ที่ไม่บวชก็ศึกษาพระธรรมได้ ถ้าเราเห็นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม ย่อมมีเวลาเพื่อการศึกษาพระธรรมเสมอครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ