ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕
~ ต้องไม่ลืม ว่า ธรรมลึกซึ้ง ไม่ใช่ไปเข้าใจว่าคำนี้หมายความว่าอะไร แต่ว่า ธรรมอยู่ไหน นี่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่ คนก็จะคิดถึงเรื่องธรรมหมด แต่ไม่รู้จักธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แล้วพระองค์ทรงแสดงให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปฟังชื่อฟังเรื่องฟังคำ แต่ไม่คิดว่าจะต้องเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีที่ลึกซึ้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่กว่าจะรู้ความจริงที่ลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ ความลึกซึ้งของทุกคำ เป็นความลึกซึ้งของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมเลย ถ้าเพียงจำคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกชาติ แล้วไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่มีประโยชน์เลย เพราะฉะนั้น ทุกคำที่เขาได้ยินและเข้าใจ เขาต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมี
~ อย่าลืมว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เขาเข้าใจ เป็นความเข้าใจที่ต้องเข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งจะเป็นที่พึ่งสูงสุดของเขา และเขาก็จะเป็นที่พึ่งของคนอื่นเมื่อเขาเข้าใจแล้ว เพราะเขาได้ดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้คนได้รู้ความจริงซึ่งไม่มีใครรู้ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ
~ อยู่ในเหวลึกของความไม่รู้ ลึกลงๆ กว่าจะขึ้นมา แล้วก็มีแสงสว่างคือปัญญาที่ได้ฟังจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เริ่มเข้าใจสิ่งที่อยู่ในความมืดเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมว่า ต้องเข้าใจจริงๆ ถามจนกว่าจะเข้าใจ จนกระทั่งแน่ใจว่าหมายความถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ ทุกครั้งที่สนทนากัน จะต้องไม่ลืมว่า กำลังอยู่ในความมืดสนิท เพราะความจริงไม่ได้ปรากฏให้รู้เลย จนกว่าจะมีคำที่ทำให้เริ่มเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งความจริงไม่ใช่อย่างที่กำลังปรากฏ เพราะตั้งแต่เกิดจนตาย สิ่งที่ปรากฏ เป็นโลก เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคน เป็นวัตถุต่างๆ ซึ่งความจริงไม่ใช่อย่างนั้น
~ เดี๋ยวนี้อยู่ในความมืดสนิท เพราะสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะฉะนั้น เริ่มฟังแต่ละคำ เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า ในขณะนี้เดี๋ยวนี้ในความมืด มีอะไรที่สามารถจะเข้าใจได้
~ ความจริง คือ โลกมืดหรือโลกสว่าง? นี่เป็นเหตุที่เราจะพูดถึงทีละคำ เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดที่ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่มีใครสามารถรู้ได้
~ ขณะที่เห็น หมายความว่า กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ใช่ไหม? สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่เสียงใช่ไหม? ไม่ใช่กลิ่น ใช่ไหม? ไม่ใช่แข็ง ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เห็นเป็นอย่างหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างหนึ่ง ใช่ไหม?
~ ได้ยิน มีเสียงที่ปรากฏให้ได้ยินและมีได้ยินเสียงนั้นด้วย
~ ขณะที่สีสันวรรณะปรากฏ มีสภาพรู้ ขณะที่เสียงปรากฏ มีสภาพรู้ ขณะที่แข็งปรากฏ มีสภาพรู้ ใช่ไหม? ถ้าไม่มีสภาพรู้เลย จะมีอะไรที่จะปรากฏให้รู้ได้ไหม?
~ ขณะที่กำลังคิด มืดหรือสว่าง?
~ ชาวโลกไม่ได้ตรัสรู้ความจริง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงทุกขณะ ให้รู้ตามความเป็นจริง ว่า โลกไม่ได้ปรากฏอย่างที่ชาวโลกจำและคิดและเห็น
~ เริ่มเข้าใจความจริง ว่า ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งได้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงอย่างที่กำลังได้ฟัง เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ลึกซึ้งมาก ให้รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ซึ่งลึกซึ้งที่สุด ไม่ใช่เพียงให้จำชื่อ
~ เดี๋ยวนี้รู้จักจิตหรือยัง กำลังมีจิตเดี๋ยวนี้? รู้จักความจริงว่า จิตเป็นอย่างนี้ จิตไม่สว่าง จิตมืด จิตเป็นสภาพรู้ เกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้
~ ทุกสมัยทุกกาล ธรรมทั้งหมด มืด มีธรรมเดียวที่สว่าง คือ สิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นอย่างเดียว ถ้าไม่เข้าใจมั่นคงอย่างนี้จะรู้จักไหม ว่า จิต ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่เป็นธาตุที่เกิดขึ้นแต่ละทาง เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย คิดถึงแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นให้ได้ยินให้ได้กลิ่นให้ลิ้มรส แต่ไม่รู้ความจริงเลย ว่า ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่ปรากฏแม้เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ จะละการยึดถือด้วยความเห็นผิดว่าเป็นเราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่จะต้องเข้าใจจริงๆ มั่นคงขึ้น ในสิ่งที่มีจริงว่า เป็นอะไร จึงจะรู้ว่า ไม่ใช่เรา
~ ธรรม มี ๒ อย่างที่ต่างกัน เป็นประเภทใหญ่ๆ คือ อย่างหนึ่งไม่รู้อะไร ไม่ใช่เพียงตอบว่า รูปธรรม แต่ต้องหมายความถึงเดี๋ยวนี้ ว่า อะไรที่ไม่รู้ ที่ไม่สามารถจะรู้ได้ (ไม่ใช่สภาพรู้) และ สภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นธาตุรู้ซึ่งกำลังรู้จริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
~ ตรงต่อความเป็นจริงของธรรมซึ่งไม่มีใครทั้งสิ้น ไม่มีเรา ไม่มีอะไร แต่มีสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ต้องมีความมั่นคง มั่นใจเป็นสัจจะ ที่จะไม่เปลี่ยนว่าไม่มีเรา แต่ที่คิดว่าเป็นเรา เพราะเป็นจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เป็นเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) เป็นรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้)
~ ต้องชัดเจน มั่นคง ไม่เปลี่ยน จึงจะเป็นการเริ่มเข้าใจความจริงว่าเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น มีสิ่งที่ถูกเห็น ใช่ไหม? จะเรียก ว่า สว่างหรือจะเรียกอะไรก็ได้ ไม่เรียกเลย ถูกต้องที่สุด แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น เห็น สว่างไหม? เห็นกับสิ่งที่ถูกเห็น ต่างกันหรือเหมือนกัน? เพราะฉะนั้น สภาพที่เห็น ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่สี ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส ไม่ใช่อะไรใช่ไหม? เพราะฉะนั้น คำตอบว่า เห็น เป็นนามธรรม ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าไม่รู้ว่านามธรรมหมายความถึงอะไร เป็นธาตุรู้ซึ่งไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนทั้งสิ้น จำได้ไหม?
~ เห็นไม่แข็ง เห็นไม่ดัง เห็นไม่หวาน เห็น ไม่หอม แต่เห็นเป็นธาตุรู้ที่ไม่มีรูปร่างเลย และเราก็ตั้งต้นด้วยคำว่า ทั้งหมดที่เป็นธรรมมีสิ่งเดียวที่ปรากฏทางตาได้ คือ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้เท่านั้น อย่างอื่นไม่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้เลย มีใครเห็นเสียงไหม? ไม่มีใครเห็นเสียง แต่ได้ยินเสียง มีไหม? เพราะฉะนั้น ได้ยิน ไม่ใช่เสียง เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้กลิ่น ไม่ใช่กลิ่น เพราะฉะนั้น ต้องรู้ความจริงว่าสิ่งที่ไม่ปรากฏเลยทางตา คือ สิ่งอื่นทั้งหมดนอกจากสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบตาและกำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ต้องฟังให้เข้าใจจริงๆ
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกๆ ท่าน
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาคะ
กราบอนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ และกราบอนุโมทนา ในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขอถาม
เห็นกับสิ่งที่ถูกเห็น
ขอคำอธิบายหน่อยค่ะ
กราบอนุโมทนากุศลธรรมค่ะท่านอาจารย์
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เรียน ความคิดเห็นที่ ๑๐ ครับ
เห็น เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นจิตประเภทหนึ่ง คือ จิตเห็น หรือ จักขุวิญญาณ
ส่วน สิ่งที่ถูกเห็น เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร คือ เป็นสี ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตเห็น (เป็นสิ่งที่จิตเห็น รู้ นั่นเอง) ดังนั้น เห็น กับ สิ่งที่ถูกเห็น จึงเป็นสภาพธรรม คนละอย่างกัน ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...