1. อยากสอบถามว่าที่บอกว่าเห็นต้องดับก่อนจึงจะมีได้ยินหรือคิดนึกหรือกระทบสัมผัสมีวิธีพิสูจน์ไหมครับว่าแต่ละอย่างเกิดไม่พร้อมกันนอกจากการฟังธรรม เพราะท่านอ.บอกว่าเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วจนเหมือนว่าเกิดพร้อมกัน แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ก็ยากที่จะเชื่อว่าเกิดไม่พร้อมกัน
2. จากการศึกษาบอกว่าทุกอย่างที่เป็นธรรมะเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ แล้วทำไมผมถึงสามารถสั่งร่างกายให้เดิน มือหยิบนั่นหยิบนี่ หรือ คิดอ่านทำการงานได้
3. อาการที่สติปัฏฐานเกิดจากการอบรมปัญญาจนมั่นคง เป็นอย่างไร
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
1. อยากสอบถามว่าที่บอกว่าเห็นต้องดับก่อนจึงจะมีได้ยินหรือคิดนึกหรือกระทบสัมผัสมีวิธีพิสูจน์ไหมครับว่าแต่ละอย่างเกิดไม่พร้อมกันนอกจากการฟังธรรม เพราะท่านอ.บอกว่าเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วจนเหมือนว่าเกิดพร้อมกัน แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ก็ยากที่จะเชื่อว่าเกิดไม่พร้อมกัน
การพิสูจน์ คือ ปัญญา ก่อนการตรัสรู้พระพุทธเจ้า แสงสว่างไม่ปรากฎ สัตว์โลกไม่รู้ความจริง มากไปด้วยอวิชชาคือความไม่รู้ บอด เพราะไม่รู้ความจริงไม่มีปัญญา ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงเห็น มีปัญญาพระองค์แรก และเห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรมขณะนี้ ว่าแต่ละขณะเกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่เราเป็นธรรม บังคับบัญชาไม่ได้ และก็ได้ทรงแสดงความจริงให้กับสัตว์โลกที่มีปัญญาสะสมมาได้รู้ตาม มี ท่านพระสารีบุตร พระสาวกทั้งหลาย ก็รู้ตาม ก่อนนั้นท่านเหล่านั้น ก็มากไปด้วยอวิชชา ไม่รู้ว่าธรรมเกิดดับ เหมือนคนตาบอด ต่อให้พรรณนาว่า สถานที่นี้ เป็นแบบนี้ ก็เพียงแค่จินตนาการนึกเอาและไม่เชื่อคำอธิบาย เพราะตนเองยังไม่ได้เห็นเอง ในสถานที่เหล่านั้น แต่สิ่งที่ตนไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าสถานที่นั้นจะไม่มี ต่อเมื่อ พระสาวกทั้งหลาย เกิดปัญญารู้ความจริง ปัญญาของท่านเองย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าธรรมเกิดขึ้นและดับไป เห็นเกิด ได้ยิน ย่อมไม่เกิดในขณะที่เห็นเกิด เพราะจิตเกิดทีละขณะ มีอารมณ์ทีละอารมณ์ เห็น มี สีเป็นอารมณ์ ไม่ได้ มีเสียงเป็นอารมณ์ ขณะเห็น จิตเห็น จะทำหน้าที่ได้ยินเสียง ไม่ได้เลย จิตที่เกิดขึ้น จึงทำหน้าที่รู้อารมณ์แต่ละอย่าง ทีละอารมณ์เท่านั้น นี่คือ เราเข้าใจขั้นการฟัง ยังไม่ได้ประจักษ์ตัวจริง ตามที่พระสาวก และพระพุทธเจ้าได้รู้แล้ว ครับ ต่อเมื่อใด ปัญญาถึงพร้อม รู้ความจริงเช่นนี้ ปัญญานั้นเองที่เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงที่กำลังมี กำลังปรากฎ ที่สภาพธรรมไม่รวมกัน แต่ละหนึ่ง ไม่มีสัตว์ บุคคล เป็นแต่เพียงธรรม ครับ
2. จากการศึกษาบอกว่าทุกอย่างที่เป็นธรรมะเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ แล้วทำไมผมถึงสามารถสั่งร่างกายให้เดิน มือหยิบนั่นหยิบนี่ หรือ คิดอ่านทำการงานได้
หากเข้าใจความจริง ก็จะรู้ว่า ที่คิดว่าเป็นผมสั่ง แท้ที่จริงแล้ว เป็นเพียง จิตที่ทำหน้าที่ต้องการเดิน และ การจะเดินได้ ก็ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ ธรรมต่างๆ ประชุมพร้อม ที่แสดงถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม คือ มีธรรมแต่ละอย่างทำหน้าที่ให้เดินได้ ทั้งจิตที่คิดจะเดิน ชื่อว่า จิตก็ไม่ใช่เรา อาศัย รูป ธาตุลม ธาตุดิน ที่ควรเหมาะแก่การงาน คนอัมพาต แม้อยากจะเดิน มีจิตคิดจะเดินก็เดินไม่ได้ เพราะฉะนั้น อาศัยธรรมแต่ละอย่าง พร้อมกัน และ ความคิดที่จะเดิน ก็อนัตตา ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้คิดว่าจะเดิน ก็คิดว่าจะเดิน ก็แสดงถึงความเป็นอนัตตาของจิตที่บังคับไม่ได้ เพราะฉะนั้น ค่อยๆ เริ่มเข้าใจว่ามีแต่ธรรมไม่ใช่เรา ไปทีละน้อย ก็จะค่อยๆ เข้าใจความจริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงครับ
3. อาการที่สติปัฏฐานเกิดจากการอบรมปัญญาจนมั่นคง เป็นอย่างไร
การแสดงถึงความมั่นคงของการอบรมปัญญาจนสติปัฏฐานเกิด ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า สติปัฏฐาน คือ สติและปัญญาและสภาพธรรมฝ่ายดีที่เกิดรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ระลึกตัวลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งสภาพธรรมเหล่านั้นเป็นนามธรรม ที่เป็นสภาพธรรมที่รู้ แต่ไม่ได้ปรากฏเป็นลักษณะที่เป็นรูปธรรม ที่จะเห็นได้ด้วยตา แต่ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เห็นได้ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น อาการปรากฎของการอบรมปัญญาจนสติปัฏฐานเกิด นั่นคือ การรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ที่ตรงลักษณะที่กำลังปรากฏ อาการปรากฎ คือ รู้ความจริง ขณะนั้นรู้ความจริงว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม โดยไม่ได้คิดนึก แต่ ปัญญารู้ตรงลักษณะ ลักษณะของสภาพธรรมปรากฎเท่านั้นกับสติและปัญญา อาการปรากฎ คือ ละคลาย ละอวิชชา ละความเห็นผิด ทีละน้อย เพราะปัญญารู้ ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง และต้องอบรมปัญญาอย่างยาวนาน จนสติปัฏฐานรู้ทั่วทั้งหมด ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ จนแทงตลอดสภาพธรรม ถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงความจริง เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังคำจริงที่พระองค์ทรงแสดง ย่อมไม่สามารถเข้าใจตั้งแต่ต้นได้ แม้แต่ ความเป็นไปของจิต ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทุกขณะมีจิตเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด อย่างไม่ขาดสาย แต่ว่าจิตจะไม่เกิดพร้อมกัน ๒ - ๓ ขณะ แต่เกิดทีละขณะๆ จิตขณะหนึ่งดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที และเป็นลำดับด้วยดีด้วย ไม่สับลำดับกัน เช่น ก่อนจิตเห็น ก็ต้องมีจิตที่เกิดก่อนจิตเห็น นั่นก็คือ จักขุทวาราวัชชนจิต เมื่อจิตขณะนี้ดับไป จิตเห็นจึงจะเกิดขึ้นได้ เมื่อจิตเห็นเกิดแล้วดับไป จิตขณะต่อไป คือ สัมปฏิจฉันนจิต จึงเกิดขึ้น เป็นต้น นี้คือ ความแน่นอน ความเป็นจริงของจิต เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
-ไม่มีสภาพธรรใด อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ เพราะเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ไตร่ตรองในเหตุในผล ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ทำเห็นให้เกิดขึ้นได้ไหม? ทำได้ยินให้เกิดขึ้นได้ไหม? หรือ แม้แต่ที่บอกว่า ทำสิ่งต่างๆ ได้ ไปไหนมาไหนได้ ซึ่งความจริง ก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม นั่นเอง แต่ไม่รู้ จึงยึดถือว่าเป็นเรา เป็นเราที่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้
-ประการที่สำคัญ นั้น ก่อนที่จะไปถึงสติปัฏฐาน ขอให้ฟังให้เข้าใจ ขอให้กลับมาเริ่มต้นใหม่เพื่อจะได้เริ่มสะสมความเข้าใจที่ถูกต้องตั้งแต่ในขณะนี้ เพราะเหตุว่าพระธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ฟังพระธรรมให้เข้าใจในสภาพธรรม ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม อย่างมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นความเข้าใจในความจริงอย่างมั่นคง จึงจะเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิด ซึ่งจะต้องไม่ลืมว่าธรรม เป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ครับ.
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ ครับ
ก่อนจะถึง...สติ-ปัฏฐาน
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ