ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ต้องเข้าใจว่า วิบาก เป็นผลของกรรม ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ จิตชาติวิบาก และเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย เป็นการกล่าวอย่างกว้างๆ ครอบคลุมวิบากทั้งหมด ทั้งที่มีเหตุเกิดร่วมด้วย และไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย แต่เมื่อกล่าวถึง มหาวิบาก แล้วต้องหมายถึงเฉพาะผลของมหากุศล ๘ ดวง เนื่องจากมหากุศลคือ กุศลที่เกิดขึ้นเป็นไปได้ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นในบุญกิริยาวัตถุประการต่างๆ ซึ่งหลากหลายมาก ดังนั้น เมื่อเหตุคือ มหากุศล มีแล้ว มหาวิบาก ก็เกิดขึ้นเป็นไปตามควรแก่เหตุ มหาวิบาก มี ๘ ดวง ซึ่งมาจากเหตุ คือ มหากุศล นั่นเอง เป็นธรรมที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิบากจิต คือ จิตที่เป็นผลอันสุกวิเศษ หมายถึง จิตที่เป็นผลของกรรม เมื่อกรรมมีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม วิบากจิตซึ่งเป็นผล จึงมีทั้งที่เป็นกุศลวิบากจิต ๒๙ ดวง และอกุศลวิบากจิต ๗ ดวง รวมวิบากจิต ๓๖ ดวง ซึ่ง วิบากจิต ก็เช่น ปฏิสนธิจิต ทวิปัญจวิญญาณจิต 10 เช่น จิตเห็น จิตได้ยิน เป็นต้น ภวังคจิต เป็นต้น
วิบากจิตซึ่งเป็นผลของมหากุศลจิต หมายถึง จิตที่เป็นผลของมหากุศลจิต เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กามโสภณวิบากจิต หรือ กามาวจรสเหตุกวิบากจิต ก็ได้ เป็นทวิเหตุกะ (เหตุ ๒) และติเหตุกะ (เหตุ ๓) อย่างละ ๔ ดวง เหมือนมหากุศลจิตและมหากิริยาจิต ที่ชื่อว่า มหาวิบาก มิได้เป็นไปในอาการมากมายเหมือนมหากุศลและมหากิริยาแต่เพราะเป็นผลของมหากุศลจิต จึงมีชื่อตามมหากุศล เพราะมหาวิบากจิตทำกิจปฏิสนธิ ภวังค์ จุติ และตทาลัมพณกิจ ไม่สามารถเป็นไปในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ไม่มีอธิบดี ๔ ไม่ทำให้เกิดวิญญัติรูป ไม่มีกรุณาและมุทิตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ทั้งวิรตี ๓ ก็ไม่เกิดกับมหาวิบาก มหาวิบาก ๘ ดวง มีความต่างกัน ๓ อย่าง คือ เวทนา ๑ (เป็นโสมนัส ๔ ดวง และอุเบกขา ๔ ดวง) สัมปยุตต์ ๑ (เป็นญาณสัมปยุตต์ ๔ ดวง และญาณวิปปยุตต์ ๔ ดวง) สังขาร ๑ (เป็นอสังขาริก ๔ ดวง และสสังขาริก ๔ ดวง) ชื่อบาลีเหมือนมหากุศลจิตทุกประการ
ดังนั้น มหาวิบาก เป็นส่วนหนึ่งของวิบาก ที่เป็น จิต เจตสิก ครับ
ขอยกคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ ดังนี้ ครับ
กรรมทำให้วิบากจิตและเจตสิกเกิด
กรรมซึ่งเป็นนามธรรม เป็นเจตนาเจตสิกเป็นปัจจัย ทำให้ปัจจยุปบัน คือ วิบากจิตและรูปเกิดขึ้น
โดยมากทุกท่านมักจะเห็นผลของกรรมเฉพาะแต่รูป ไม่ได้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว สภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรม ซึ่งรับผลของกรรม ซึ่งเป็นวิบากนั้น มี แต่เวลาที่ท่านผู้ฟังมักจะพูดกันว่า นี่เป็นผลของกรรม หรือนั่นเป็นผลของกรรม ท่านก็จะนึกถึงในด้านของวัตถุ เช่นในเรื่องของรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ โภคสมบัติ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม หรือถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็มักจะคิดถึงในเรื่องของรูปธรรมเท่านั้น คือ ในเรื่องของรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ หรือว่าความวิบัติของโภคทรัพย์ต่างๆ แต่ให้ทราบว่าสภาพธรรมที่เป็นปัจจยุปบัน เป็นผลของกรรม เป็นนามธรรมด้วย คือ จิตและเจตสิก ซึ่งเป็นวิบากจิต
เชิญคลิกที่นี่ ครับ
วิบากเป็นจิตและเจตสิกที่เกิด เพราะกรรมเป็นปัจจัย
ขออนุโมทนา
เข้าใจแล้วคะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ